โหวเจิ้งส่งเสียงข่มขู่หลิงเคอจื่อ ท่าทีไม่เกรงใจสักนิด
“นี่เรียกได้ว่าหาเรื่องใส่ตัว”
กลับเห็นเสวียนจิ่วอิ้นอดดีใจไม่ได้ ส่งเสียงหัวเราะคราหนึ่ง จู่ๆ เงาร่างก็หายไปกลางอากาศ ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวตรงหน้าโหวเจิ้ง ฝ่ามือราวกับดาบ ฟันทแยงลงมา
เสียงฉัวะดังขึ้นคราหนึ่ง ห้วงอากาศราวกับกระดาษ ถูกตัดขาดอย่างง่ายดาย พลังฝ่ามือที่ดุร้ายหาใดเปรียบแผ่กลิ่นอายมหามรรคที่เร้นลับอย่างที่สุดออกมา
“คิดว่ากลัวเจ้าหรือ”
โหวเจิ้งตวาด เข้าปะทะตรงๆ
ทั้งสองประมือกัน ทว่าเพียงพริบตาก็ตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว
พรูด!
เสวียนจิ่วอิ้นใช้กระบี่มรรคสีเงินเล่มหนึ่งฟันอย่างเดือดดาล ฟันศาสตราจักรพรรดิของโหวเจิ้งจนยับเยินอย่างง่ายดาย และฟันศีรษะของเขาลงมาด้วย
ท่ามกลางเลือดสดที่สาดกระเซ็น เสวียนจิ่วอิ้นเก็บกระบี่อย่างสง่างาม เอ่ยปากอย่างเกียจคร้าน “ยังมีใครอยากรนหาที่ตายอยู่อีกหรือไม่”
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ลงมือมาโดยตลอด ฉะนั้นไม่ว่าพลังกายหรือสภาพร่างกายล้วนอยู่ในจุดสูงสุด การสังหารผู้แข็งแกร่งที่บาดเจ็บมานานแล้วอย่างโหวเจิ้งจึงย่อมง่ายดาย
ในความเป็นจริง หน้าประตูทลายตอนนี้นอกจากเขากับหลิงเคอจื่อ คนอื่นๆ แทบไม่มีใครที่ไม่บาดเจ็บ!
การตายของโหวเจิ้งทำให้ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ผวา ล้วนไม่กล้าอยู่ต่อ แตกกระเจิงแยกกันไป
เสวียนจิ่วอิ้นเผยสีหน้าขุ่นเคือง ใช้มือสางผมพลางพึมพำว่า “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่า พวกเขาไม่มีสักคนที่สามารถสู้ได้… ข้าแข็งแกร่งเกินไป… หรือพวกเขาอ่อนแอเกินไป”
หลิงเคอจื่อที่กำลังเก็บทรัพย์หลังศึกถ่มน้ำลายคราหนึ่ง
มือที่สางผมอยู่ของเสวียนจิ่วอิ้นชะงักโดยพลัน เอ่ยว่า “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
หลิงเคอจื่อหดหัว ชี้เลือดบนพื้นแล้วพูดว่า “ข้าเห็นเลือดแล้วสะอิดสะเอียน อยากอาเจียน”
เสวียนจิ่วอิ้นโมโห ภิกษุนี่เห็นชัดว่ากำลังแดกดัน!
ทว่าไม่รอให้เขาพูด หลิงเคอจื่อก็เอ่ยขึ้นมาเองว่า “เจ้าจะรอหลินสวินที่นี่หรือ”
เสวียนจิ่วอิ้นกล่าว “เขตต้องห้ามเซียนโบราณเป็นพื้นที่แห่งมหันตภัย แต่ก็มีวาสนาใหญ่มากมายซ่อนอยู่ นอกจากมหาสมบัติแรกกำเนิดนี่ ที่อื่นๆ ก็มีของดีไม่น้อย”
“อย่างเช่นต้นไม้เล็กที่ฝังรากอยู่ใต้ภูเขาไฟกลับหัว มีสามผลที่เหมือนทารก ดูสุดยอดมากแล้ว ข้าว่าจะไปดูสักหน่อย เจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่”
หลิงเคอจื่อส่ายหน้า “ต้นไม้เล็กต้นนั้นแปลกประหลาดน่ากลัว ที่ผ่านมามีระดับจักรพรรดิไม่รู้เท่าไหร่ฝังร่างไว้ที่นั่น วาสนานี้ยิ่งใหญ่เกินไป ข้าไม่มีบุญพอให้ไปรับได้”
เสวียนจิ่วอิ้นแบะปาก “ขี้ขลาด!”
หลิงเคอจื่อเก็บทรัพย์หลังศึกเสร็จก็เดินเข้ามา เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ขี้ขลาด ข้าเพียงแค่อยากปิดด่าน”
สุดท้ายหลังจากทั้งสองหารือกัน ให้หลิงเคอจื่อเป็นตัวแทนรับผิดชอบทรัพย์หลังศึกเหล่านี้ ในอนาคตมีโอกาสจะคืนให้กับหลินสวิน ส่วนเสวียนจิ่วอิ้นเริ่มออกเดินทางเพียงลำพัง
จากที่เขาบอก หากไม่ไปดูต้นไม้เล็กแปลกประหลาดนั่นแล้วลิ้มลองรสชาติผลของมัน ในใจเขาก็รู้สึกไม่จำยอมอยู่บ้าง
หลิงเคอจื่อเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ ทำได้เพียงเตือนเขาให้ระวังให้มาก
ไม่นานทั้งสองก็ไปจากประตูทลายนี่ทีละคน
ในเวลาเดียวกัน นอกเขตต้องห้ามเซียนโบราณก็ไม่สงบอีกต่อไป แม้ไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าประตูทลายในเขาปู้โจวได้
แต่หลังจากเกิดการต่อสู้นองเลือดที่น่าตะลึงนี้ ผู้ยิ่งใหญ่ระดับจักรพรรดิเหล่านั้นก็ยังเดาความจริงบางอย่างออก!
ตอนที่การต่อสู้หน้าประตูทลายปะทุขึ้น
ข้างเขาเมฆา ตะเกียงชีวิตที่อยู่ตรงหน้าบุคคลระดับจักรพรรดิเริ่มทยอยดับไป ตะเกียงพวกนี้ล้วนเป็นตัวแทนผู้แข็งแกร่งที่หลินสวินสังหารยามต่อสู้
แต่ที่น่าเสียดายคือ พวกไท่ซูหง จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงไม่รู้และคาดเดาไม่ออก
สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถคาดเดาได้คือ การต่อสู้ช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้น มีความเป็นไปได้สูงมากว่าปะทุขึ้นอย่างสิ้นเชิงแล้ว!
ชั่วขณะนี้เหล่าจักรพรรดิในที่นั้นต่างเริ่มวิเคราะห์และอนุมาน เฝ้าดูตะเกียงชีวิตเบื้องหน้าแต่ละคนในที่นั้นอย่างตื่นเต้น
“เป็นไปไม่ได้ เฟิงเป่ยหลิงของตระกูลข้าจะร่วงหล่นเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร ในมือเขา… ครอบครองแส้หางม้าคร่าวิญญาณเชียวนะ!”
ไม่นานเสียงเดือดดาลของระดับจักรพรรดิเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ตระกูลเฟิงดังขึ้น ดึงดูดให้ผู้คนไม่น้อยเหลียวมอง
เฟิงเป่ยหลิง!
พลังต่อสู้ของเจ้าหมอนี่ไม่ธรรมดายิ่ง ร่วงหล่นเร็วขนาดนี้ก็น่าประหลาดใจจริงๆ
และต่อจากนั้นทยอยมีระดับจักรพรรดิเริ่มหน้าเปลี่ยนสีไป บ้างตะโกนเดือดดาล บ้างสีหน้าไม่น่าดู ไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว
เหตุผลเพราะตะเกียงตรงหน้าพวกเขาดับลงเช่นกัน นี่ก็หมายความว่าผู้สืบทอดในปกครองของพวกเขา ได้ร่วงหล่นในการต่อสู้เพื่อช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดโดยสิ้นเชิงแล้ว!
บรรยากาศอึดอัด
เหล่าระดับจักรพรรดิอย่างพวกไท่ซูหงหัวใจบีบรัดขึ้นมา
แสงตะเกียงเหล่านั้นส่ายไหว ทำเอาจิตใจของพวกเขาก็ไหวกระเพื่อมไปด้วย
“ข้าให้ดาบไร้วิชากับซางจื่อเหยี่ยนไป เหตุใดตะเกียงจึงมีสัญญาณว่าจะดับ หรือเขาบาดเจ็บสาหัสแล้ว”
มหาจักรพรรดิศิลาเมฆาแห่งเรือนมรรคยุทธจักรเผยสีหน้าตกใจ
และคำว่า ‘ดาบไร้วิชา’ ของเขาก็ทำเอาระดับจักรพรรดิคนอื่นๆ หัวใจสะท้าน ราวกับคิดไม่ถึงว่าซางจื่อเหยี่ยนจะนำศาสตราจักรพรรดิพลิกฟ้าอย่างดาบไร้วิชาเข้าไปด้วย
ที่เหลือเชื่อที่สุดคือ ในสถานการณ์ที่ครอบครองดาบไร้วิชา ซางจื่อเหยี่ยนกลับมีสัญญาณว่าจะร่วงหล่น!
เมื่อวิเคราะห์เช่นนี้ การต่อสู้ที่ประตูทลายนั่นจะดุเดือดและน่ากลัวเพียงใด
เหล่าจักรพรรดิล้วนไม่สามารถสงบได้แล้ว
ไม่ใช่เพราะสภาวะจิตของพวกเขาไม่มั่นคงพอ แต่การต่อสู้ครั้งนี้เกี่ยวโยงถึงมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นหนึ่ง ทำให้พวกเขาไม่อาจไม่จับตามองอย่างใกล้ชิด
“ก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายศุภโชคนี้จะถูกใครช่วงชิงไป”
“เฮ้อ ไม่ว่าอย่างไรการบาดเจ็บและสูญเสียก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าหวังเพียงว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะจบลงโดยเร็ว”
“ข้าว่าหมีอู๋หยา จิ่งเทียนหนาน หลิงหงจวง เวินอวี๋ เสวียนจิ่วอิ้นห้าคนนี้ มีหวังได้ครองศุภโชคนี้ที่สุด”
เหล่าจักรพรรดิถกเถียงวิเคราะห์กัน
“พวกเจ้าลืมเศษเดนคีรีดวงกมลนั่นไปได้อย่างไร”
จู่ๆ จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงก็พูดขึ้น เสียงเผยความเย็นเยียบ “แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่ว่าเขาจะร้ายกาจอย่างไร เกรงว่ายากจะหนีด่านเคราะห์ได้!”
สีหน้าของระดับจักรพรรดิไม่น้อยซับซ้อนขึ้นมา
คิดๆ แล้วก็จริง เขาสังหารพวกหวงฝู่เซ่าหนงและข่งเจา เกรงว่าคงทำให้พวกร้ายกาจมากมายตื่นตัวนานแล้ว
บวกกับเขาก็เป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ขอเพียงแค่ปรากฏตัวที่เขาปู้โจว จะต้องถูกผู้แข็งแกร่งมากมายมองเป็นศัตรูแน่!
“ข้าไม่อยากให้เจ้าหมอนั่นร่วงหล่นเช่นนี้หรอกนะ…”
จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นแห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์กล่าวเนิบๆ ความหมายลึกซึ้ง
เหล่าจักรพรรดิสายตาวูบไหว ล้วนรู้ดีว่าหากหลินสวินมีชีวิตอยู่ถึงจะสามารถเป็นเหยื่อล่ออย่างแท้จริง เกิดประโยชน์ยามการเคลื่อนไหวในเขตต้องห้ามเซียนโบราณสิ้นสุดลง
เหยื่อที่ตายไปแล้วคนหนึ่ง ประโยชน์ย่อมมีจำกัด
ก็เหมือนคำสั่งที่ผู้สืบทอดสามเรือนมรรคใหญ่อย่างเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ จักรวาล และยุทธจักรได้รับ ยามเล่นงานหลินสวิน หากสามารถจับเป็นได้จะดีที่สุด เว้นแต่ไม่มีทางเลือกจึงลงมือสังหาร!
ทั้งหมดนี้ล้วนเพื่อให้เหยื่อล่ออย่างหลินสวินสามารถดึงดูดปลาใหญ่ได้ง่ายยิ่งกว่า!
เสียดายก็แต่ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงหรือจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้น คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ถึงว่าการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่กำลังอุบัติขึ้นนี้ ต่างจากที่พวกเขาจินตนาการและคาดเดาโดยสมบูรณ์
“อะไรกัน เวินอวี๋ของตระกูลข้าร่วงหล่นแล้วหรือ”
ระดับจักรพรรดิคนหนึ่งร้องเสียงหลง ทำให้ทั้งที่นั้นต่างหันมอง
เมื่อครู่นี้ยังบอกว่าเวินอวี๋มีโอกาสไปช่วงชิงศุภโชคนั่น แต่ไม่ทันไรบุคคลที่ประหนึ่งปีศาจแห่งยุคคนหนึ่งก็ร่วงหล่นแล้ว!
และนี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น
หลังจากนั้นตะเกียงทยอยดับไปดวงแล้วดวงเหล่า ล้วนเป็นบุคคลแห่งยุคซึ่งเป็นที่คาดหวังอย่างมาก
การร่วงหล่นของพวกเขาทำให้เหล่าจักรพรรดิในที่นั้นต่างไม่กล้าจินตนาการ ว่าศึกนองเลือดที่เกิดขึ้นในเขาปู้โจวจะน่ากลัวเพียงใด!
กระทั่งเห็นตะเกียงชีวิตของพวกจิ่งเทียนหนาน หลิงหงจวงสลัวราง ในใจระดับจักรพรรดิต่างกังวลขึ้นมา
จนถึงตอนนี้ปีศาจแห่งยุคส่วนใหญ่ที่ถูกพวกเขาคาดหวังมาโดยตลอดกลับคล้ายส่อแววจะร่วงหล่น นี่น่าตกใจเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ในการต่อสู้ครั้งนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เป็น… เป็นไปได้อย่างไร”
ทันใดนั้นมหาจักรพรรดิศิลาเมฆาส่งเสียงอีกครั้ง เผยความยากจะเชื่อ
ทุกคนมองไป แต่ละคนต่างก็รู้สึกตกใจระลอกหนึ่ง นั่นเป็นตะเกียงซึ่งเป็นตัวแทนของหมีอู๋หยา กลับมีสัญญาณว่าจะดับด้วย!
ชั่วขณะเดียวในที่นั้นเงียบกริบ ระดับจักรพรรดิทุกคนล้วนประหลาดใจไม่สามารถสงบได้ มีความไม่เข้าใจและสงสัยพวยพุ่งขึ้นในใจมากเกินไป
คนที่แข็งแกร่งอย่างหมีอู๋หยายังพบเจออันตรายที่เสี่ยงถึงชีวิต นี่น่ากลัวเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย และก็ดูออกว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยตัวแปรมากมาย!
“จะใช้เจ้าเศษเดนคีรีดวงกมลหรือไม่”
จู่ๆ ก็มีคนพูดขึ้น
ฉับพลันนั้นพวกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นต่างขมวดคิ้ว ในใจไม่พอใจอยู่บ้าง
“เศษเดนอย่างเขาตัวคนเดียว จะมีพลังพลิกฟ้าเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ในการต่อสู้ชุลมุนย่อมเกิดความขัดแย้งและเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน ในศึกชุลมุนนี้บางทีเจ้าหมอนี่อาจสำแดงความสามารถสะดุดตายิ่ง แต่ถ้าบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขา จะต้องเป็นเรื่องตลกอย่างแน่นอน”
ทุกคนวิพากษวิจารณ์ ตัดหลินสวินออกโดยตรง เหตุผลเพราะพวกเขาไม่คิดว่าหลินสวินจะมีพลังกำราบผู้กล้าแห่งยุคเหล่านี้ได้
อย่าว่าแต่หลินสวิน แม้เป็นหมีอู๋หยา พวกเขาก็คิดเช่นนี้!
“ไม่ว่าอย่างไร เมื่อทุกอย่างนี้จบลง ความจริงก็จะปรากฏเอง”
ไท่ซูหงสูดหายใจลึก เอ่ยพูดอย่างเนิบช้า
ตอนนี้ห่างจากการการปิดม่านในเขตต้องห้ามเซียนโบราณแค่ประมาณหนึ่งเดือนเท่านั้น
เหล่าจักรพรรดิต่างคนต่างมีความคิดในใจ
อันที่จริงสำหรับพวกเขา เรื่องจริงคืออะไรไม่สำคัญนัก สิ่งสำคัญคือ สุดท้ายใครจะได้มหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้น
เช่นเดียวกัน ยามเมื่อเขตต้องห้ามเซียนโบราณปิดม่านลง เรื่องสนุกที่แท้จริงจึงจะเริ่มขึ้น!
……
พลั่ก!
หลังจากหลินสวินเข้าสู่ประตูทลาย พลังกายก็ไม่เพียงพอแล้ว ล้มนอนบนแท่นมรรค ทั้งภายในและนอกร่างกายล้วนมีความง่วงงุนและเจ็บปวดที่พูดไม่ออก
การต่อสู้ครั้งนี้ แม้สุดท้ายทำให้เขาเข้าสู่ประตูทลายได้สำเร็จ แต่ค่าตอบแทนที่เสียไปกลับมากยิ่ง พลังกายของเขาหมดสิ้นแล้ว ร่างกายที่ฉีกขาดพักพังก็ใกล้จะทรุดทลายแล้ว
ตอนนี้ ถึงขั้นแม้แต่นิ้วมือนิ้วเดียวยังยกไม่ขึ้น
ความเหนื่อยล้าประหนึ่งกระแสน้ำพุ่งโจมตีจิตใจของเขา ทำให้ทั้งตัวเขาจมสู่ความรู้สึกด้านชาว่างเปล่า
สุดท้ายหลินสวินก็ทนความง่วงงุนและเหนื่อยล้าไม่ไหว สลบไปแล้ว
ในประตูทลาย ระเบียบมหามรรคกลายเป็นสายฝนสวยงามนับไม่ถ้วนสาดพรม แสงประกายพริบวาบออกมา สามารถทำให้ระดับจักรพรรดิยังหวาดกลัว
ที่มหัศจรรย์คือ ยามพลังระเบียบมหามรรคเหล่านี้เข้าใกล้หลินสวิน ก็ถูกแท่นมรรคที่อยู่ใต้ร่างของเขาสลายไป
หลินสวินหมดสติหลับไปได้ไม่นาน แท่นมรรคนั่นก็ราวกับถูกขานเรียก พาหลินสวินเคลื่อนไปยังส่วนที่ลึกยิ่งกว่าของประตูทลาย…