ในประตูทลาย พลังระเบียบที่หนาใหญ่ราวกับรุ้งยาวสลับทับซ้อน ปกคลุมอยู่กลางฟ้าดิน กลิ่นอายปานทำลายล้างพลุ่งพล่านดุจกระแสน้ำ
นี่คือภาพที่สามารถทำให้ระดับจักรพรรดิสิ้นหวัง
พูดอย่างไม่เกินจริง หากไม่มีแท่นมรรคนี้คุ้มครอง บุคคลที่แข็งแกร่งอย่างระดับจักรพรรดิบุกเข้าไปโดยพลการก็ต้องตายไม่เหลือรอด!
ปีนั้นยามจวินหวนมาเยือน ก็ต้องจากไปด้วยรู้ถึงความยากลำบากนี้
ส่วนจี้เสวียนที่ไม่ยอมแพ้ กลับต้องพบเจอการเข่นฆ่าอันน่ากลัว ถูกกำราบจนถึงวันนี้ สติรับรู้เลอะเลือนเกือบจะชะตาขาด
ฮูม…
แท่นมรรคนั่นแบกรับตัวของหลินสวิน ดั่งเรือเล็กไหลผ่านบนแม่น้ำที่แปลงมาจากระเบียบมหามรรค สลายพลังระเบียบมากมายที่สามารถสังหารระดับจักรพรรดิได้
ตลอดทางไร้อันตราย
เดินหน้าไม่รู้นานเท่าไหร่ จู่ๆ เบื้องหน้าก็ปรากฏกำแพงหินสูงเสียดฟ้า ขวางอยู่ตรงหน้า
กำแพงหินนี้เงางาม พื้นผิวมีพลังมหามรรคที่ลึกลับและคลุมเครือไหลพล่านอยู่ แปลงเป็นลักษณ์และกฎเกณฑ์ประหลาดต่างๆ อุบัติขึ้นบนกำแพงอย่างไม่รางเลือน
และที่มุมหนึ่งของกำแพงหิน กลับปรากฏหลุมหนึ่ง
เดิมทีกำแพงหินนี้ให้ความรู้สึกเหมือนสมบูรณ์แบบไร้บกพร่อง แต่การปรากฏของหลุมนี้กลับทำลายท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์สมบูรณ์นั่น เผยภาพ ‘มหามรรคบกพร่อง’ ออกมา
แท่นมรรคนั่นหยุดอยู่ตรงนี้แล้วไม่ขยับอีก
บนแท่นมรรค หลินสวินที่หลับใหลอยู่ก็ไม่ขยับเช่นกัน
มีเพียงพลังระเบียบทั่วฟ้านั่นที่โผบินทะยานอยู่กลางฟ้าดินอันเร้นลับนี้ บรรยากาศคลุมเครือและเงียบสงบ
หลายวันผ่านไป
แท่นมรรคไม่ขยับสักนิด หลินสวินเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตื่นจากการหลับใหล
แม้แต่จี้เสวียนที่ซ่อนตัวอยู่ในยันต์บังฟ้า และวิญญาณกระบี่เย่จื่อที่จำศีลอยู่ในเส้นผมของหลินสวิน หลังจากเข้าสู่ประตูทลายยังจมสู่ความเงียบงัน
พลังของพวกเขาถูกกักขังโดยสมบูรณ์ ไม่สามารถสัมผัสทุกสิ่งในนี้ได้!
และในประตูทลายก็ประหนึ่งไม่รู้สึกถึงการผันผ่านของเวลาสักนิด กระทั่งครึ่งเดือนให้หลัง
บนท้องฟ้าจู่ๆ ก็ปรากฏกลิ่นอายด่านเคราะห์ปานต้องห้ามสายหนึ่ง
นี่หากอยู่ในโลกภายนอก เกรงว่าคงดึงดูดความสนใจของคนน่ากลัวนับไม่ถ้วนแล้ว เพราะกลิ่นอายนั่นต้องห้ามและน่ากลัวเกินไป ประหนึ่งวันสิ้นโลกมาเยือน ชวนให้คนสิ้นหวัง
แต่ในโลกของประตูทลายนี้ เมื่อกลิ่นอายด่านเคราะห์ปานต้องห้ามนี้ปรากฏ พลังระเบียบมหามรรคที่ปกคลุมอยู่ในความว่างเปล่าโดยรอบประหนึ่งถูกกระตุ้น ทะยานฟ้าออกไปโดยพลัน
ตูมโครม!
เสียงกัมปนาททึบหนักดังก้องในส่วนลึกของเวิ้งฟ้า
สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าพลังด่านเคราะห์ปานต้องห้ามนั่นปรากฏเค้าลางพังทลายแทบจะในทันที ถูกพลังระเบียบมหามรรคที่ปกคุลมอยู่บนโลกฝั่งนี้ทำลาย!
ในเวลาเดียวกัน หลินสวินที่นิ่งไม่ขยับมาครึ่งเดือน ปลายนิ้วสั่นเบาๆ คราหนึ่ง
จากนั้นร่างที่บาดเจ็บสาหัสและเปื้อนคราบเลือดมานานของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงของพลังที่น่าตกใจ
ราวกับต้นไม้แห้งเหี่ยวกลับฟื้นคืน!
และในร่างของหลินสวิน พลังปราณที่เหือดแห้งไปนานแล้ว สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณที่ว่างเปล่า ตอนนี้ก็มีพลังชีวิตมหัศจรรย์อย่างที่ถาโถมออกมา ราวกับสายธารเชี่ยวกราก ไหลพุ่งทุกส่วนทั่วร่างอย่างต่อเนื่อง
แขนขา เส้นเลือด เส้นปราณ อวัยวะภายใน จุดชีพจร กระดูก ผิวหนัง… ล้วนราวกับพื้นดินที่แห้งไปนานแล้ว กำลังถูกฝนฤดูใบไม้ผลิรินรด เปล่งประกายพลังชีวิตรูปแบบใหม่
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ดำเนินไปเจ็ดวันต่อเนื่อง
เจ็ดวันหลังจากนั้น
บาดแผลภายนอกของหลินสวินฟื้นตัวนานแล้ว ผิวพรรณแวววาวเป็นประกาย ทุกอณูรูขุมขนล้วนมีท่วงทำนองมรรคอัศจรรย์ไหลพล่าน ราวกับเกิดใหม่
ส่วนภายในร่าง กึกก้องดั่งฟ้าร้อง!
นั่นเป็นพลังเทพที่กำลังเดือดพล่าน ราวกับแม่น้ำใหญ่ยาวทะลวงไปตามอวัยวะตันห้ากลวงหกและแขนขาทุกส่วนของหลินสวิน
เมื่อมองอย่างละเอียด เส้นปราณของเขาแวววาวราวกับทำมาจากหยกเทพ ประทับกฎเกณฑ์มหามรรคเป็นกลุ่มๆ ราวกับลวดลายแน่นขนัด แผ่แสงประกาย กระดูกทุกท่อนล้วนขาวสว่างประหนึ่งหลอมจากเหล็กเทพ ดูราวกับอาวุธเทพศาสตราคม ฟูมฟักลายกระดูกมหามรรคที่ลึกลับออกมา…
ลายกระดูกเร้นมรรค!
ที่อวัยวะตันห้าของเขา ร่างแยกมหามรรคห้าที่อยู่ภายใน แต่ละร่างดุจดั่งเทพไท้ อาบแสงเทพสีเขียว ขาว เหลือง ดำ แดงห้าชนิด แต่ละชนิดล้วนแฝงไว้ด้วยอานุภาพยิ่งยง
ส่วนถ้ำผสานที่เสมือนต้นแบบโลกหล้าของเขาได้กลายเป็นโลกหนึ่งนานแล้ว พลังวิญญาณอันพลุ่งพล่านไร้จำกัดกลายเป็นภูผาธาราสรรพสิ่ง วัฏจักรหมื่นลักษณ์ประดับอยู่ภายใน!
โลกแปลงถ้ำผสาน!
นอกจากนี้ห้วงนิมิตและพลังจิตของเขาก็กลายเป็นรูปจำลองเทพองค์หนึ่ง รูปร่างเหมือนเขาไม่มีผิดเพี้ยน ยืนตระหง่านกลางอากาศ รอบๆ มีกฎเกณฑ์มหามรรคมากมายคอยพิทักษ์ ท่าทางเคร่งขรึม เปล่งแสงสว่างไสว ราวกับห่วงนิมิตใหญ่ส่องสว่าง!
ควบรวมจิตรับรู้ รูปจำลองถือกำเนิด
นี่ก็คือ ‘ลักษณ์เทพจิตวิญญาณ’!
ไม่ว่าจะเป็นลายกระดูกเร้นมรรค โลกแปลงถ้ำผสาน หรือลักษณ์เทพจิตวิญญาณที่ควบรวมออกมา นี่ล้วนเป็นลักษณะเฉพาะที่ระดับกึ่งจักรพรรดิเท่านั้นจึงจะมี
เห็นได้ชัดว่าในการหลับใหลอันเงียบสงบนี้ หลินสวินได้ทะลวงระดับแล้ว ก้าวเข้าสู่ระดับกึ่งจักรพรรดิ!
และก็เป็นตอนนี้เอง สติของหลินสวินค่อยๆ ฟื้นคืนจากความขุ่นมัว ราวกับตื่นจากฝัน และสังเกตเห็นทันทีว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าพลิกดินกับตน
เขารู้สึกถึงพลังที่ไม่คุ้นเคยทั้งยังน่าสะพรึงยิ่งยวดในร่าง ทำเอาตัวเองยังอดอึ้งงันไม่ได้ ตะลึงอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะตระหนักได้ว่า ตนถึงกับบรรลุระดับโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งแล้ว!
แต่หลินสวินกลับไม่อาจดีใจ ในใจมีเพียงความกังวล
การทะลวงระดับครั้งนี้ ได้ก้าวสู่มกุฎมรรคาหรือไม่
มกุฎกึ่งจักรพรรดิ ต่างจากกึ่งจักรพรรดิทั่วไปราวกับฟ้ากับดิน!
เขาไตร่ตรอง หวนคิดถึงเรื่องในอดีต
ภาพที่ไม่ปะติดปะต่อและพร่าเบลอคล้ายถูกล้วงจากห้วงความจำ แต่ละเหตุการณ์เมื่อเจ็ดวันก่อนเริ่มวาบขึ้นในหัว
วันนั้นด่านเคราะห์ต้องห้ามปรากฏในส่วนลึกของเวิ้งฟ้า กลับถูกพลังระเบียบมหามรรคในประตูทลายสลายไป…
‘นี่ น่าจะเป็นเคราะห์ทะลวงระดับของข้า!’
ในใจหลินสวินสะท้าน ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว
เจ็ดวันก่อนเคยมีมหาเคราะห์แห่งยุคปรากฏในส่วนลึกของเวิ้งฟ้า หมายจะสังหารตน แต่กลับถูกระเบียบมหามรรคที่ปกคลุมที่แห่งนี้โจมตีสลายไปอย่างไร้รูป
ส่วนตนซึ่งอยู่ในสภาวะงงงวยกลับก้าวผ่านพิบัติเคราะห์น่ากลัวนี้ ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าพลิกดิน และทำให้ตนก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิในคราเดียว!
หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่ง สัมผัสพลังที่ไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิงในร่างเงียบๆ
สุดท้ายเขาถอนหายใจราวกับยกภูเขาออกจากอก
เขาตัดสินได้แล้วว่ามรรควิถีที่ตนครอบครอง ไม่ใช่สิ่งที่กึ่งจักรพรรดิทั่วไปจะเทียบได้อย่างแน่นอน!
ควรรู้ว่าหลินสวินเคยต่อสู้กับระดับกึ่งจักรพรรดิตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ระดับกึ่งจักรพรรดิที่ตายในมือสิบนิ้วยังไม่พอนับ
และก่อนมาร่วมงานชุมนุมถกมรรค เขาก็เคยต่อสู้กับระดับกึ่งจักรพรรดิสำนักยุทธ์เสวียนจีหลายคนด้วยพลังของตนคนเดียวมาแล้ว
นี่ทำให้เขารู้ถึงพลังที่ระดับกึ่งจักรพรรดิทั่วไปครอบครองเป็นอย่างดี
อย่างมรรควิถีที่เขามีตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นระดับความหนาแน่นหรือคุณลักษณะสูงต่ำ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่กึ่งจักรพรรดิทั่วไปจะเทียบได้
หากเปรียบเทียบพลังของระดับกึ่งจักรพรรดิทั่วไปเป็นทะเลสาบ เช่นนั้นพลังที่มกุฎกึ่งจักรพรรดิครอบครองก็เหมือนดั่งมหาสมุทรอันกว้างใหญ่!
‘ข้าปลดปล่อยมรรควิถีแห่งตนในการต่อสู้สูงสุด เผชิญมหาเคราะห์ภายใต้สติเลือนรางว่างเปล่า… เช่นนี้ ก็นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงและนิพพานเกิดใหม่ถึงที่สุดแล้ว…’
หลินสวินพึมพำในใจ
ความรู้สึกพึงพอใจที่ไม่เคยมีมาก่อนพวยพุ่งขึ้นในใจเขา
หากเพียงเพื่อเข้าสู่ประตูทลายนี้ เขาไม่จำเป็นต้องใช้วิธีอื่นจริงๆ แค่สำแดงอภินิหารหยุดเวลาก็ไม่มีใครสามารถขวางได้แล้ว
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินต้องการ!
เขาในตอนนั้นเป็นผู้ฝึกปราณระดับมกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์แล้ว แต่กลับไม่เคยมีใครสามารถกดดันเขาจนต้องปลดปล่อยถึงขีดสุดได้อย่างแท้จริง
นี่ทำให้ในใจเขามักมีความรู้สึกเสียดายอยยู่บ้าง
แต่ในศึกนองเลือดอันเป็นประวัติการณ์นั้น กลับทำให้เขาสมปรารถนา ต่อสู้เต็มที่ พิสูจน์ตนเอง
‘ทั่วหล้าบนล่าง คนในรุ่นเดียวกันล้วนไม่ใช่ศัตรูของข้า อย่างน้อยบนเส้นทางระดับอริยะ มรรคข้า… เรียกได้ว่าไร้ศัตรู!’
‘ก็ไม่รู้ว่าเมื่อเทียบกับศิษย์พี่เสวียนคงในตอนนั้น จะเป็นอย่างไร…’
หลินสวินคล้ายขบคิด
ไม่นานเขาลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นคือพลังระเบียบมหามรรคเป็นสายๆ ที่ร่ายระบำเต็มฟ้าดุจรุ้งเทพอันพร่างพราว
นี่คือในประตูทลาย!
ถึงตอนนี้หลินสวินได้สติอย่างสิ้นเชิงแล้ว มองเห็นแท่นมรรคที่อยู่ใต้ร่างตน และเห็นกำแพงหินที่สูงเสียดฟ้า
เขานั่งขัดสมาธิทอดสายตามองไปทั่วทิศ
มหาสมบัติแรกกำเนิดที่ทุกคนในใต้หล้าให้ความสนใจ… ซ่อนอยู่ที่นี่หรือ
หลินสวินสังเกตอย่างละเอียด ระมัดระวัง ไม่กล้าไปจากแท่นมรรค และไม่กล้าปล่อยจิตรับรู้ออกมา กลัวแต่ว่าจะสัมผัสกับพลังระเบียบมหามรรคที่อยู่ใกล้ๆ ชักนำเคราะห์สังหารมาสู่ตน
ครู่ใหญ่คิ้วของหลินสวินค่อยๆ ขมวดขึ้น
ที่นี่มีมหาสมบัติแรกกำเนิดที่ไหน นอกจากพลังระเบียบที่แน่นขนัดดุจสายฝนนับไม่ถ้วนแล้ว ก็เป็นกำแพงหินที่อยู่ข้างหน้า กับแท่นมรรคที่นั่งอยู่…
แท่นมรรคหรือ
ทันใดนั้นหลินสวินคล้ายตระหนักได้ถึงบางอย่าง เปลี่ยนจากนั่งขัดสมาธิเป็นลุกขึ้นยืน ก้มหน้าพินิจแท่นมรรคที่อยู่ใต้เท้า
แท่นมรรคนี้มหัศจรรย์อย่างที่สุด ไม่เห็นพลังระเบียบกลางฟ้าดินในสายตา สามารถโลดแล่นในประตูทลายได้อย่างอิสระ
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ก็เพราะพลังประทับที่ศิษย์พี่จวินหวนทิ้งไว้ ทำให้หลินสวินกับแท่นมรรคนี้เกิดการตอบสนองอันเป็นเอกลักษณ์ ไม่อาจแยกจากได้ ส่งผลให้เกิดการปิดล้อมโจมตีของเหล่าผู้กล้า
แต่ก็เพราะแท่นมรรคนี้ ทำให้หลินสวินมีโอกาสเข้าสู่ประตูทลายแห่งนี้!
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือพวกหมีอู๋หยา ล้วนไม่เคยคิดว่าแท่นมรรคนี้จะเป็นมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้นหรือเปล่า!
เป็นแท่นมรรคนี้จริงๆ หรือ
หลินสวินใช้จิตรับรู้เข้าสัมผัส
ครู่ใหญ่หลังจากนั้น พลังเจตจำนงอันคลุมเครือสายหนึ่งส่งคลื่นระลอกหนึ่งออกมาเงียบๆ
“ข้าคือวิญญาณเขาปู้โจว แปลงจากพลังเจตจำนงแห่งเขาปู้โจว เมื่อนานมาแล้วเคยมีหญิงผู้หนึ่งใช้วิชาลับบอกข้าว่า หลังจากนี้จะมีคนพาข้าจากไป ดูท่า… จะเป็นเจ้า”
วิญญาณเขาปู้โจว!
ในใจหลินสวินสะท้านไหว ขณะเดียวกันก็เดาออก ว่าหญิงที่วิญญาณเขาปู้โจวพูดถึงจะต้องเป็นศิษย์พี่จวินหวนแน่
“มิน่า…”
หลินสวินพึมพำ พลันตระหนักได้ถึงบางอย่างจึงพูดว่า “คงไม่ใช่ว่า… เจ้าก็คือมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้นหรอกนะ”
แสงอันคลุมเครือไหลพล่านแท่นมรรค ส่งคลื่นออกมา “ไม่ ข้าเป็นเพียงพลังแห่งเจตจำนงสายหนึ่ง มหาสมบัติแรกกำเนิดที่แท้จริงคือเขาปู้โจวลูกนี้”
หลินสวินเบิกตาโพลงทันที ราวกับถูกฟ้าผ่า เผยสีหน้ายากจะเชื่อ
เขาปู้โจว?
มหาสมบัติแรกกำเนิด?
ก่อนหน้านี้แทบจะทุกคนล้วนรู้จักเขาปู้โจว แต่ใครจะคิดว่าเขาปู้โจวจะเป็นมหาสมบัติแรกกำเนิดที่พวกเขาปรารถนา
“ไม่รู้ถึงโฉมหน้าแท้จริงของภูเขาเทพ เพียงเพราะอยู่ในเขาแท้ๆ…”
หลินสวินหัวใจกระเพื่อมไหว