“สามหาว!”
ไม่รอให้ซ่งชิงอวิ๋นเอ่ยปาก ก็มีคนตบโต๊ะลุกพรวดขึ้นมาแล้ว
นี่คือชายในชุดหรูหราคนหนึ่ง มองปราดเดียว็รู้ว่าเป็นลูหลานตระกูลใหญ่ เขาชี้หลินสวินแล้วตวาดลั่น “เจ้าตาบอดเรอะ ไม่เห็นหรือว่าพวกเรากำลังสังสรรค์กันอยู่”
คนอื่นๆ ต่างก็ไม่สบอารมณ์
คนหนุ่มที่จู่ๆ ก็เดินขึ้นมาบนชั้นสองนี่กก็คือหลินสวิน เขาเหลือบมองชายชุดหรูหราปราดหนึ่ง
ฝ่ายหลังแข็งทื่อไปทั้งตัว ทั่วร่างล้วนสั่นเทิ้มราวกับถูกเทพสวรรค์กวาดตามอง หัวใจผุดความสะพรึงกลัวยิ่งใหญ่
ตุ้บ!
สองเข่าของเขาอ่อนยวบ ถึงกับนั่งเกร็งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง แววตาแข็งค้าง
ทันใดนั้นทุกคนต่างตกใจ
และเวลานี้เอง แววตาซ่งชิงอวิ๋นขยับวูบกล่าวว่า “สหายมาหาข้าผู้แซ่ซ่งมีธุระอันใด”
หลินสวินกล่าวว่า “ตามข้ามา”
พูดจบเขาก็หันตัวออกไป
ตั้งแต่ต้นจนจบกล่าวเพียงสองประโยค ประโยคแรกคือ ‘ซ่งชิงอวิ๋น?’ นี่เป็นการยืนยันตัวตนของเป้าหมาย
ประโยคที่สองคือ ‘ตามข้ามา’ เป็นสามคำที่แสนราบเรียบยิ่ง ถึงขั้นพาให้ผู้คนสัมผัสไม่ได้ถึงความวูบไหวของอารมณ์ใดๆ สักเสี้ยว
ที่พาให้ในใจทุกคนหวาดผวาคือ ขณะนี้หลังจากได้ยินสามคำนี้ ซ่งชิงอวิ๋นกลับหยัดกายเหยียดตรง เดินตามออกไป
จนกระทั่งเงาร่างของหลินสวินและซ่งชิงอวิ๋นหายไป กลุ่มคนในที่นี้ต่างอดมองหน้ากันเลิ่กลั่กไม่ได้ รู้สึกมืดแปดด้าน หรือว่าคนแปลกหน้าผู้นี้รู้จักกับซ่งชิงอวิ๋น
พวกเขามองไม่ออก
เพราะพวกเขาไม่รู้เลยสักนิด ด้วยอำนาจบารมีระดับมกุฎราชันอมตะเคราะห์ด่านเจ็ดของหลินสวิน ยามเมื่อใช้บนตัวผู้แข็งแกร่งที่เพิ่งมีปราณระดับกระบวนแปรจุติอย่างซ่งชิงอวิ๋น ชั่วอึดใจนั้นก็เพียงพอจะสูบกลืนวิญญาณของเขา ควบคุมจิตใจของเขาได้แล้ว!
……
นอกเมือง ในเงาตะคุ่มของเนินเขาแห่งหนึ่ง เงาร่างของหลินสวินปรากฏขึ้นกลางอากาศ โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เงาร่างของซ่งชิงอวิ๋นก็ร่วงตุ้บลงกับพื้น
เวลานี้ซ่งชิงอวิ๋นเพิ่งได้สติ หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ กล่าวเสียงสั่นว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้ อาจารย์ของข้าคือเหมิงชิวจิ้งผู้อาวุโสสายในของสำนักกระบี่เทียมฟ้า หากข้าน้อยล่วงเกินท่านประการใด โปรดเห็นแก่หน้าของอาจารย์ข้า อภัยให้สักครั้งด้วยเถิด”
ในฐานะผู้สืบทอดสายในของสำนักกระบี่เทียมฟ้า มีหรือเขาจะดูไม่ออก ว่าคนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้เป็นไปได้สูงว่าอาจเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่ง!
“ศิษย์เบื้องท้ายคนสำคัญของเหมิงชิวจิ้ง คนที่ตามหาก็คือเจ้านั่นแหละ”
หลินสวินกล่าวสบายๆ “ข้าต้องการให้เจ้าช่วยข้าสักเรื่อง หากให้ความร่วมมือ ก็ไม่ต้องกังวลอันตราย…”
ไม่รอให้พูดจบซ่งชิงอวิ๋นรีบพยักหน้าหงึกๆ ทันที “ร่วมมือ ต้องร่วมมืออยู่แล้ว!”
หลินสวินอึ้งไป เจ้าหมอนี่ก็ช่างใจเสาะเกินไปแล้ว เมื่อเทียบกับอวิ๋นชิ่งไป๋ที่ถือมาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหมือนกัน ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างสิ้นเชิง
“ข้าต้องการทำความเข้าใจเรื่องราวส่วนหนึ่ง เจ้าอย่าได้ขัดขืนเป็นดีที่สุด เพราะขัดขืนไปก็ไร้ประโยชน์ ตรงข้ามจะทำให้เจ้าพบเจอกับความเจ็บปวดที่จินตนาการไม่ออก”
หลินสวินเองก็คร้านจะเสียเวลากับพวกขี้ขลาดตาขาวคนหนึ่ง ออกคำสั่งตรงๆ “เสี่ยวอิ๋น ตาเจ้าลงมือแล้ว”
สวบ!
เงาร่างของเสี่ยวอิ๋นพุ่งโฉบออกมา ดุจดั่งลำแสงเงินสายหนึ่ง เจาะเข้าไปในห้วงนิมิตกลางหว่างคิ้วของซ่งชิงอวิ๋น
“เจ้า… เจ้าจะ…”
ซ่งชิงอวิ๋นตกใจยกใหญ่ แต่ยังไม่ทันได้ขัดขืนสีหน้าของเขาก็แข็งค้างอยู่อย่างนั้น ราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง
หลินสวินรอคอยอย่างเงียบๆ
เสี่ยวอิ๋นเป็นทายาทหนอนกินเทพ จากความสามารถของมกุฎราชันที่เหยียบย่างระดับอมตะเคราะห์ของเขา เพียงพอจะสูบกระชากความทรงจำทั้งหมดในจิตวิญญาณของซ่งชิงอวิ๋นออกมาได้!
หนำซ้ำยังรับรองได้ว่าเป็นความทรงจำขนานแท้ ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกตบตา
“นายท่าน ได้แล้ว”
ครู่ต่อมาเงาร่างของเสี่ยวอิ๋นก็พุ่งโฉบออกมา เห็นได้ชัดว่าผ่อนคลายยิ่ง
หลินสวินพยักหน้า ตามแผนการของเขา ครั้งนี้หากหมายจะฆ่าเหมิงชิวจิ้ง เหมิงหรง องค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจิน เป็นไปไม่ได้ที่จะบุกฝ่าไปสำนักกระบี่เทียมฟ้าโต้งๆ ทำได้เพียงเลือกใช้ทางอื่นเท่านั้น
ผ่านการสืบข่าวสองวันมานี้ สุดท้ายเขาก็เลือกซ่งชิงอวิ๋น
คนผู้นี้เป็นศิษย์เบื้องท้ายคนสำคัญของเหมิงชิวจิ้ง ได้รับความสำคัญจากเหมิงชิวจิ้งอย่างมาก และยังมองว่าเขาเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งที่สามารถถ่ายทอดมรดกวิชาให้ได้อีกด้วย
จากความเห็นของหลินสวิน ขอเพียงควบคุมซ่งชิงอวิ๋น ก็สามารถทำตามแผน ล่อเหมิงชิวจิ้งออกมาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าได้
ถึงตอนนั้นขอแค่ควบคุมเหมิงชิวจิ้ง พวกเหมิงหรงและจ้าวจิ่งเจินสองคนนี้ที่ได้แต่พึ่งพาการคุ้มครองของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ก็ต้องหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน
“นายท่าน ข้าค้นพบเรื่องที่น่าสนใจอย่างหนึ่งความทรงจำของคนผู้นี้” เสี่ยวอิ๋นกล่าวด้วยสีหน้าผิดแปลก
“เรื่องอะไร” หลินสวินถาม
เสี่ยวอิ๋นกล่าวว่า “เจ้าหมอนี่ดันเป็นลูกลับๆ ของเหมิงชิวจิ้ง! เพียงแต่ถูกเหมิงชิวจิ้งปกปิดเรื่อยมา แม้แต่คนอื่นๆ ในสำนักกระบี่เทียมฟ้ายังไม่รู้”
สีหน้าของหลินสวินก็เปลี่ยนเป็นผิดแปลกทันทีเช่นกัน มิน่าเจ้าคนที่ใจเสาะคนหนึ่งเช่นนี้ ถึงสามารถได้รับการบ่มเพาะและเอาใจใส่จากเหมิงชิวจิ้งเช่นนี้ ที่แท้ต้นตอก็อยู่ตรงนี้นี่เอง…
“ดูเหมือนว่า แผนการของพวกเราคงต้องเปลี่ยนแปลงสักหน่อยแล้ว”
หลินสวินทอดมองซ่งชิงอวิ๋นที่อยู่บนพื้น คล้ายไตร่ตรองใคร่ครวญ
……
บ่ายวันนั้น ในเมืองก็มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งขึ้นมา…
“ซ่งชิงอวิ๋นศิษย์สายในสำนักกระบี่เทียมฟ้า เพราะใช้กำลังฉุดกระชากเด็กสาวโฉมงามคนหนึ่ง ระหว่างนั้นถูกยอดฝีมือที่จรผ่านพบเข้า ภายใต้เพลิงโทสะจึงจับตัวเขามัดประจานอยู่บนประตูเมือง!”
ทั่วเมืองเดือดพล่าน
นครหยกขาวแห่งนี้เป็นถึงถิ่นที่ตั้งของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ยามนี้ถึงกับมีคนจับตัวผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าแขวนประจานอยู่เหนือเมือง ความกล้านี้ช่างใหญ่ยิ่งนัก!
หนำซ้ำบ่ายวันนั้นคนมากมายในเมืองต่างมองเห็น ซ่งชิงอวิ๋นถูกมัดอยู่บนเหนือประตูเมืองจริงๆ ทั้งตัวผมเผ้ารุงรัง เห็นได้ชัดว่าหมดสติ
“นี่เป็นฝีมือใครกัน”
คนนับไม่ถ้วนสงสัย นี่เท่ากับหักหน้าสำนักกระบี่เทียมฟ้าชัดๆ
“เฮ้อ เป็นช่วงเวลาแห่งปัญหานัก หลายวันมานี้สำนักกระบี่เทียมฟ้ามีอริยะสามคนร่วงหล่นอย่างต่อเนื่อง พาให้ทั่วทั้งสำนักแตกตื่นอยู่ไม่สุขตั้งนานแล้ว ยามนี้ซ่งชิงอวิ๋นนี่ก็ถูกจับตัวประจาน นี่คิดว่าอำนาจบารมีของสำนักกระบี่เทียมฟ้ายิ่งใหญ่ไม่เท่าแต่ก่อนแล้วหรือ”
คนมากมายทอดถอนใจ
“เฮอะ ข้าเคยได้ยินมานานแล้ว ซ่งชิงอวิ๋นนี่นิสัยโอ้อวด ลามกวิตถาร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาก่อเรื่องใช้กำลังฉุดผู้หญิงแบบนี้ เพียงแต่ครั้งนี้… ฮ่าๆ น่าจะเตะโดนแผ่นเหล็ก หาเรื่องคนที่ไม่ควรหาเรื่องเข้า!”
และมีคนมีความสุขบนคราวเคราะห์ของผู้อื่น
คืนวันนั้นข่าวก็แพร่เข้าสู่สำนักกระบี่เทียมฟ้า เรียกเสียงฮือฮามากมาย
ตำหนักแสงเมฆา
ตอนที่เหมิงชิวจิ้งรู้ข่าวนี้ บนหน้าก็มีประกายอึมครึมแวบผ่าน จิตใจเดือดดาล ช่วงเวลาหน้าสิ่งหน้าขวานเช่นนี้ เจ้าชั่วนั่นถึงกับมีแก่ใจไปทำเรื่องโสมมเช่นนี้ด้วยหรือ
“รังแกกันเกินไปแล้ว ไม่เห็นสำนักกระบี่เทียมฟ้าของพวกเราอยู่ในสายตาสักนิด ไม่ว่าเป็นฝีมือใครล้วนต้องฆ่าให้จงได้ ไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”
“อาจารย์ พวกเรารีบเคลื่อนไหวจะดีกว่า ศิษย์พี่ซ่งถูกแขวนประจาน นี่… นี่เป็นความอัปยศยิ่งใหญ่ชัดๆ”
ตำหนักแสงเมฆา มีเงาร่างศิษย์ปรากฏตัวไม่ขาดสาย แต่ละคนแค้นใจกับความไม่เป็นธรรม เอ็ดตะโรหมายมั่นจะบุกเข้าไปช่วยเหลือซ่งชิงอวิ๋น
“หุบปาก ยังขายหน้าไม่พอเรอะ!”
เหมิงชิวจิ้งตะโกนลั่น ประโยคเดียวทำเอาคนทั้งหมดเงียบกริบปานจักจั่นหน้าหนาว
“ศิษย์น้องเหมิง ซ่งชิงอวิ๋นเป็นศิษย์เบื้องท้ายของเจ้ากระมัง เรื่องงามหน้าครั้งนี้เจ้ามาจัดการเองเถิด ภายใต้ตะวันค้ำฟ้า ถึงกับทำเรื่องต่ำช้าหน้าไม่อายเช่นนี้ โทษของเขายากจะหนีพ้น ข้าต้องการคำตอบที่น่าพอใจ!”
ทันใดนั้น เสียงน่าเกรงขามหาใดเปรียบสายหนึ่งก็ดังก้องขึ้นเหนือตำหนักแสงเมฆา
“ขอรับ ศิษย์พี่เจ้าสำนัก!”
เหมิงชิวจิ้งหน้าเปลี่ยนสีทันที รีบร้อนประสานมือคารวะ
“ศิษย์น้องเหมิง พักนี้สำนักของพวกเรามีเรื่องร้ายติดต่อกัน สั่นสะเทือนทั้งบนล่าง เรื่องทำนองนี้ข้าหวังว่าต่อไปจะไม่เกิดขึ้นอีก”
เสียงน่าเกรงขามสายนั้นกล่าวเสร็จก็อันตรธานหายไปทันที
สีหน้าของเหมิงชิวจิ้งมืดทะมึนดุจสายน้ำ ในใจแทบทนไม่ไหว อยากตบเจ้าเดรัจฉานที่รังแต่จะเพิ่มปัญหาวุ่นวายให้ตนนั่นให้ตายในฉาดเดียว!
“พวกเจ้าออกไปให้หมดเถอะ ข้าจะไปดูเอง”
ครู่ใหญ่กว่าเหมิงชิวจิ้งจะสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง โบกมือขับไล่ผู้สืบทอดทั้งกลุ่ม
ยืนนิ่งเงียบอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดเหมิงชิวจิ้งก็สะกิดเท้าคราหนึ่ง เงาร่างเหินทะยานขึ้นไป มุ่งหน้าไปยังฟากฟ้าระยะไกล
‘ข้าล่ะอยากเห็นนัก มันผู้ใดใจกล้าปานนั้น ถึงกับกล้าหยามเกียรติลูกชายข้า!’
กลางชั้นเมฆยามค่ำคืน สีหน้าเหมิงชิวจิ้งเยียบเย็น ไอสังหารในใจเดือดพล่าน
พักนี้เกิดเรื่องร้ายขึ้นมากมายจริงๆ ทำให้เหมิงชิวจิ้งเองก็สะสมเพลิงโทสะไว้เต็มอก ยามนี้ถึงขั้นบีบมาถึงตัวเขา เรื่องนี้ทำให้เขาไม่อาจอดทนได้อีก
‘หืม? ไม่สิ เหตุใดวันนี้จึงเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นแบบไร้ต้นสายปลายเหตุ กลางวันแสกๆ เป็นไปได้หรือที่เจ้าเด็กชิงอวิ๋นนั่นจะทำเรื่องโง่เขลาพรรค์นี้ ซ้ำยังถูกคนจับได้อีกด้วย’
ระหว่างทางเหมิงชิวจิ้งขมวดคิ้วขึ้นมาทันที รู้สึกว่าไม่ค่อนเข้าทีนัก
‘ยิ่งกว่านั้น ใต้หล้าใครบ้างไม่รู้ว่านครหยกขาวนี้เป็นถิ่นของสำนักกระบี่เทียมฟ้า เว้นแต่เบาปัญญา ใครจะกล้าหยามเกียรติศิษย์สายในของสำนักกระบี่เทียมฟ้าภายใต้สายตาจับจ้องของกลุ่มคน คร้านจะมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร’
เหมิงชิวจิ้งยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกชอบกล
ในฐานะสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคนหนึ่ง แผนการชั่วร้ายที่เขาประสบพบพานมาชั่วชีวิตนี้นับไม่หวาดไม่ไหว เหตุที่ก่อนหน้านี้ระเบิดอารมณ์ก็เพราะถูกเพลิงโทสะบังตา
ตอนนี้เมื่อสงบอารมณ์ลองคิดดู พลันรู้สึกถึงความแปลกพิกลทันที
‘หรือว่า… อยากจัดการข้า?’
เหมิงชิวจิ้งชะงักเท้าทันที ยืนอยู่กลางอากาศ สีราตรีดุจหมึก แสงดาราสลัวรางสายหนึ่งเบียดชั้นเมฆออกมา ส่องสะท้อนสีหน้าของเขาจนวูบไหวไม่คงที่
มุ่งหน้าตรงไปอีกไม่ถึงพันลี้ ก็คือเมืองที่ซ่งชิงอวิ๋นถูกจับตัว
แต่ยามนี้ เหมิงชิวจิ้งกลับรู้สึกว่ากลางเมืองแห่งนั้นถูกคนกางตาข่ายไว้อย่างประณีต รอแค่ตนเข้าไปติดกับเท่านั้น
เขายิ่งลังเลมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในใจขัดขืนไม่นิ่ง
ไม่มีใครรู้ ความจริงแล้วซ่งชิงอวิ๋นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ในฐานะพ่อ มีหรือเขาจะปล่อยให้ตายโดยไม่ช่วยเหลือ
แต่หากนี่เป็นแผนร้ายที่พุ่งเป้าจัดการตนเล่า
สุดท้ายควรช่วยหรือไม่ช่วย
ทันใดนั้นเหมิงชิวจิ้งก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที ‘หากจะจัดการตน ใครจะทำเช่นนี้กันแน่ แม้แต่ตัวตนยังไม่กล้าเปิดเผย แต่กลับเอาชิงอวิ๋นมาขู่บีบให้ข้าปรากฏตัว…’
‘คงไม่ใช่… เจ้าสารเลวนั่น!?’
ทันใดนั้นในหัวของเหมิงชิวจิ้งก็ผุดชื่อหนึ่งขึ้นมา หลินสวิน!
ชั่วขณะหนึ่งเขาเย็นวาบไปทั้งตัว สูดหายใจเฮือก
เขามีลางสังหรณ์แรงกล้าอย่างหนึ่ง ต้องเป็นเจ้าเด็กนี่แน่ และก็มีแต่เจ้าเด็กนี่ถึงจะมีแรงจูงใจวางสถานการณ์มาจัดการกับตน!
ก่อนหน้านี้เขาก็เดาได้แล้ว พร้อมๆ กับที่อวิ๋นชิ่งไป๋ตายไป หลินสวินจะต้องรีบตะบึงออกมาจัดการเขากับเหมิงหรง และจ้าวจิ่งเจินเป็นแน่
ดังนั้นเขาจึงส่งเหมิงหรงและจ้าวจิ่งเจินล่วงหน้าไปก่อน
นี่เดิมทีเป็นเพียงวิธีกันไว้เท่านั้น แต่เหมิงชิวจิ้งกลับคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะถึงกับโผล่มารวดเร็วเช่นนี้!
“ไม่ได้ ต้องกลับไป!”
เหมิงชิวจิ้งกัดฟัน ทำการตัดสินใจ เบือนหน้าแล้วเผ่นหนี
หลินสวินผู้นี้ ขนาดอริยะยังฆ่าทิ้งได้ ตนย่อมไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ได้อย่างแน่นอน
แผนการในตอนนี้มีแต่ทอดทิ้งชิงอวิ๋นเด็กคนนี้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของตนเองเท่านั้นแล้ว ขอเพียงซ่อนตัวอยู่ในสำนักกระบี่เทียมฟ้าไม่ยอมออกมา ต่อให้เขาหลินสวินมีฝีมือคับฟ้า ก็หมดแผนจนอุบาย!
“เพียงแต่น่าสงสารชิงอวิ๋น…”
ในใจเหมิงชิวจิ้งราวกับมีมีดกรีดเฉือน รู้สึกถึงความโศกเศร้าและเดือดดาลอย่างบอกไม่ถูก และมีความโชคดีแบบบอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง
บางทีอาจเป็นโชคดี ที่มองออกถึงเคราะห์สังหารอย่างหนึ่ง
สรุปแล้ว จิตใจของเหมิงชิวจิ้งในยามนี้ซับซ้อนยิ่ง
แต่ในเวลานี้เอง ฝีเท้าของเขาพลันหยุดชะงัก หน้าเปลี่ยนสีทันควัน เพราะเส้นทางเบื้องหน้าที่จะหวนกลับไป ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ถูกเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งขวางไว้
——
Related