หลินสวินเลิกคิ้ว “เพราะอะไร”
เด็กหนุ่มผมเทากล่าว “เพื่อต้นบ่อเกิดแรกกำเนิด”
ประโยคเดียวทำให้ต้นบรรพชนหลอมจิตกล่าวไม่พอใจทันที “นี่เป็นแค่ข่าวลือไร้สาระเท่านั้น”
เด็กหนุ่มผมเทาเหลือบมองต้นไม้เทพที่เคยติดตามฝึกปราณอยู่กับมหาจักรพรรดิแยกฟ้าต้นนี้เล็กน้อยแล้วกล่าว “หากไม่ได้ทำเพื่อต้นบ่อเกิดแรกกำเนิด ทำไมเจ้าต้องหลอมรากแห่งต้นกำเนิดของต้นเทพฝูซางด้วย”
“ข้าแค่ทำเพื่อฝึกปราณ!”
ต้นบรรพชนหลอมจิตกล่าวโต้แย้ง
นัยน์ตาของเด็กหนุ่มผมเทาฉายแววอำมหิต แววตาที่เยียบเย็นนั้นทำให้ต้นบรรพชนหลอมจิตไหวสั่นไปทั้งตัว ร้องออกมา “เจ้าคิดจะทำอะไร”
เด็กหนุ่มผมเทาถอนสายตากลับ กล่าวกับหลินสวิน “นายท่านน้อย ฝูซาง ชางอู๋ เจี้ยนมู่ คุนอู๋ สี่ไม้เทพบรรพกาลนี้ล้วนเกิดจากบ่อเกิดแรกกำเนิด มีลายมรรคของบ่อเกิดแรกกำเนิดตามธรรมชาติ”
“ลือกันว่าแค่รวบรวม ‘รากปฐมจิตวิญญาณ’ ของไม้เทพทั้งสี่นี้ให้ครบถ้วน ใช้เจตวัตถุฟ้าประทานทั้งสี่อย่างดินปราณแรกกำเนิด ดินอัศจรรย์ห้าสี ทรายวิญญาณดาราขุ่นใส วารีแรกปฐมมาบ่มเพาะ ก็จะปลูกต้นกล้าของต้นบ่อเกิดแรกกำเนิดได้!”
“ถึงตอนนั้นก็ค่อยฝังต้นกล้านี้ไว้ในร่าง มีคุณประโยชน์อย่างคาดไม่ถึงต่อการฝึกปราณมรรคจักรพรรดิ”
“ข้าเคยได้ยินนายท่านเทียนเชวียบอกว่า ในการต่อสู้ระดับจักรพรรดิ ใครครอบครองต้นบ่อเกิดแรกกำเนิดต้นหนึ่งได้ ก็เหมือนหยั่งถึง ‘กฎเกณฑ์แรกกำเนิด’ ครองรากฐานของพลังมรรคแรกกำเนิดแล้ว ไม่ใช่ผู้ที่บุคคลระดับจักรพรรดิคนอื่นเทียบได้”
พอหลินสวินได้ฟังเรื่องพวกนี้ แววตาก็ดูแปลกออกไป มองไปที่ต้นบรรพชนหลอมจิต
เขาจำได้ชัดเจนว่าปีนั้นในแดนลับตำหนักใต้ดินของโลกมารโลหิตที่สมรภูมิเก้าดินแดน ยามจะพาต้นบรรพชนหลอมจิตต้นนี้มาด้วย เจ้าหมอนี่กลับยื่นข้อเรียกร้องมากมาย
ตัวอย่างเช่นขอดินปราณแรกกำเนิด ดินอัศจรรย์ห้าสี ทรายวิญญาณดาราขุ่นใสจากตนเป็นต้น
ตอนนั้นเขายังคิดว่าเจ้าหมอนี่แค่โลภมาก เห็นชัดว่าไม่คิดจะไปกับตน
แต่ตอนนี้ดูท่าว่าเจ้าหมอนี่คงวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างเห็นได้ชัด!
ต้นบรรพชนหลอมจิตถูกสายตาของหลินสวินจับจ้อง ทำเอาอึดอัดไปทั้งตัวทันที กระแอมกล่าว “ต้นบ่อเกิดแรกกำเนิดน่ะหรือ แน่นอนว่าข้าก็เคยได้ยินมาก่อน ปีนั้นข้ากับมหาจักรพรรดิแยกฟ้าท่องตระเวนทั่วห้วงอากาศไร้สิ้นสุดด้วยกัน เป้าหมายก็คือเสาะหาไม้เทพทั้งสี่อย่างฝูซาง คุนอู๋ เจี้ยนมู่ ชางอู๋…”
ไม่รอให้พูดจบก็ถูกหลินสวินตัดบทกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว ตอนนี้เจ้าน่ะอยู่นิ่งๆ!”
สายตาเขามองไปที่เด็กหนุ่มผมเทาแล้วกล่าว “ในเมื่อจิตวิญญาณของต้นเทพฝูซางนี้ถูกมหาจักรพรรดิอีกามารเอาไปแล้ว รากแห่งต้นกำเนิดของมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วไม่ใช่หรือ”
เด็กหนุ่มผมเทาส่ายหัว “ขอแค่มีรากแห่งต้นกำเนิดของมัน ก็ให้กำเนิดจิตวิญญาณสายหนึ่งได้อีกครั้ง จากนั้นจึงกลายเป็น ‘รากปฐมจิตวิญญาณ’ ”
หลินสวินเข้าใจแล้ว ยามมองไปยังต้นเทพฝูซางที่ยืนหยัดค้ำฟ้าต้นนี้อีกครั้ง แววตาก็ต่างออกไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
ต้นไม้เทพต้นนี้ยังเกี่ยวข้องกับการฝึกปราณมรรคจักรพรรดิ เป็นสมบัติจากธรรมชาติที่เหล่าจักรพรรดิยังต้องเสาะหาอย่างยากลำบาก!
บางทีนี่อาจเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของเผ่าอีกาทอง สมบัติชิ้นอื่นเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วดูจางไปไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด
“นายท่านน้อยรอสักครู่ ข้าจะเก็บต้นไม้นี้ให้ท่านเอง”
เด็กหนุ่มผมเทาพูดพลางทะยานสู่ฟากฟ้า ยื่นมือออกไปคว้าทันที
ตูม!
ต้นเทพฝูซางที่แดงเพลิงตลอดต้น ยืนหยัดค้ำฟ้า พลันไหวสั่นอย่างรุนแรงขึ้นมาทันที เหมือนว่ามันยังคงขัดขืน
แต่ภายใต้แรงกดดันของเด็กหนุ่มผมเทา ลำต้นของมันหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็กลายเป็นไม้เทพต้นหนึ่งที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ บริสุทธิ์เหมือนเจียระไนจากหยกงามหมอกเพลิง ไอคลุมเครือไหลบ่า หมอกเซียนพวยพุ่ง งดงามยิ่งนัก
“นายท่านน้อย พลังของต้นเทพฝูซางถูกข้าพันธนาการไว้แล้ว รอภายหน้าหากท่านหาดินอัศจรรย์ห้าสีได้ สามารถเลี้ยงมันไว้ในนั้นก่อน”
เด็กหนุ่มผมเทาพูดพลางนำไม้เทพฝูซางที่เล็กเท่าฝ่ามือมอบให้หลินสวินด้วยสองมือ
ต้นบรรพชนหลอมจิตน้ำลายแทบหกอยู่ข้างๆ ดูมุ่งหวังปรารถนาหาใดเปรียบ
แต่หลินสวินไม่ใส่ใจมัน เก็บต้นเทพฝูซางลงไปอย่างระมัดระวังแล้วกล่าว “ขอบคุณมาก”
เด็กหนุ่มผมเทาเผยให้เห็นฟันขาวดุจหิมะเรียงเป็นระเบียบ ยิ้มสดใสกล่าว “นายท่านน้อย ท่านเป็นนาย ข้าเป็นบ่าว การทำเรื่องพวกนี้เดิมทีก็เป็นสัจธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้”
โดยทั่วไปยิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบ ยามคิดจะก้มหัวให้คนรุ่นหลังที่อ่อนแอกว่าตน ย่อมไม่มีใครไม่รู้สึกอับอาย แขวนหน้าไว้ไม่อยู่
แต่เด็กหนุ่มผมเทากลับดูเป็นธรรมชาติ ท่าทางเปิดเผย ทั่วร่างไม่มีไอพลังดุร้ายแม้เศษเสี้ยว กลับมีกลิ่นอายบริสุทธิ์ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่น ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
หลินสวินคิดไปคิดมาก็เอ่ยถาม “พวกอูเฟิงจื่อ… ตายหมดแล้วหรือ”
เด็กหนุ่มผมเทาพยักหน้า ส่วนลึกของนัยน์ตาฉายแววดุดันอย่างยากสังเกตเห็น “แม้ว่าพวกเขาจะตาย แต่เผ่าอีกาทองยังไม่ถึงขั้นมลายสิ้นอย่างแท้จริง บนทางเดินโบราณฟ้าดารายังมีพวกเศษเดนของเผ่านี้อยู่ไม่น้อย”
“มหาจักรพรรดิอีกามารหรือ”
“ถูกต้อง”
“จริงสิ เคยมีผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ชื่อว่า ‘เฟยหลัน’ พูดถึงเจ้ากับข้า บอกว่าพวกเจ้าเป็นเพื่อนสนิทกัน”
“เฟยหลัน…”
เด็กหนุ่มผมเทาอึ้งงัน ตื่นเต้นอย่างยากจะได้เห็นอยู่บ้าง “เขายังมีชีวิตอยู่หรือ ถ้าเช่นนั้นเขาก็หาจุดเปลี่ยนของการแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิได้แล้วหรือ”
หลินสวินบอกเล่าเรื่องราวที่ชายหนุ่มจักจั่นทองพาพวกเฟยหลัน จ้าวหยวนจี๋มุ่งหน้าไปที่ทางเดินโบราณฟ้าดาราออกมาทันที
เด็กหนุ่มผมเทายิ้มสดใส “เช่นนั้นก็ดียิ่ง! นายท่านน้อยคงไม่รู้ เฟยหลันเหมือนกับข้า ร่างเดิมของเขาก็คือ ‘ระฆังมหามรรครวมศูนย์’ ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วพวกเราสองคนต่อยตีกันจนรู้จัก ต่อมาได้ผ่านเหตุการณ์บางอย่าง พวกเราสองคนจึงพูดได้ว่าเป็นเพื่อนตาย ในเมื่อเฟยหลันเคยพูดถึงข้ากับนายท่านน้อย นั่นก็หมายความว่าเขาเชื่อมั่นในตัวนายท่านน้อยยิ่งนัก”
สายตาที่เขามองไปทางหลินสวินเจือความสนิทชิดเชื้อสายหนึ่ง ไม่มีกลิ่นอายที่แม้จะถ่อมตนแต่กลับดูห่างเหินเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
คิดดูแล้วก็ใช่ เด็กหนุ่มผมเทาอยู่มาชั่วกาลแต่ไม่ดับสลาย ท่าทางดูเหมือนเด็กหนุ่มแปลกประหลาด แต่ความจริงก็เรียกได้ว่าเป็นเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตคนหนึ่ง
ทำให้คนอย่างเขายอมรับหลินสวินในฐานะ ‘นายท่าน’ จากก้นบึ้งหัวใจได้ เห็นชัดว่าไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเช่นนั้น
หลินสวินเองก็รู้ดี แต่เขาก็มองออกว่า ท่าทีที่เด็กหนุ่มผมเทามีต่อตนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
เด็กหนุ่มผมเทากล่าว “นายท่านน้อย ข้าอาจต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งในการเก็บตัวฟื้นฟู ก่อนจะถึงตอนนั้นมีคำขอที่ไม่สมเหตุผลข้อหนึ่ง”
หลินสวินกล่าว “พูดมาเถอะไม่เป็นไร”
เด็กหนุ่มผมเทากล่าว “ข้าต้องการสมบัติอริยะ ยิ่งมากยิ่งดี มีเพียงดูดกลืนความยอดเยี่ยมของสมบัติพวกนี้ ถึงจะฟื้นฟูพลังที่ถูกทำลายไปในกาลนิรันดร์ที่ผ่านมาได้อย่างสมบูรณ์”
หลินสวินไม่แม้แต่จะคิดก็ตกปากรับคำอย่างยินดี
บนตัวเขาสิ่งที่ไม่เคยขาดเลยก็คือสมบัติอริยะนานัปการ ล้วนเป็นทรัพย์หลังศึกที่ได้มาหลังผ่านการต่อสู้ในช่วงหลายปีมานี้
เด็กหนุ่มผมเทามองหลินสวินอย่างลุ่มลึกวูบหนึ่ง ไม่ลังเล ไม่ใคร่ครวญก็ตอบรับคำขอของตนแล้ว ไม่ผิดเลยที่ตนยอมรับเขาเป็นนาย!
เขากล่าวเสียงแผ่วเบา “นายท่านน้อย มีบางคำที่ข้าต้องบอกท่าน เจ้านายคนก่อนของข้าชื่อว่า ‘เทียนเชวีย’ เขาเคยถูกมหาจักรพรรดิอีกามารวางแผนใส่ร้าย ผูกปมความแค้นบัญชีเลือด ภายหน้าสักวันหนึ่งข้าจะมุ่งหน้าไปที่ทางเดินโบราณฟ้าดารา ล้างแค้นให้นายท่านเทียนเชวีย”
“นี่เป็นกฎกรรมใหญ่ สำหรับนายท่านน้อย หากเข้ามาพัวพันด้วย เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นมหันตภัยใหญ่หลวง…”
ไม่รอให้พูดจบหลินสวินก็ยิ้มกล่าว “ข้ารู้ แต่เจ้าคิดว่านับจากนี้ไปมหาจักรพรรดิอีกามารจะไม่แค้นข้าหรือ”
เด็กหนุ่มผมเทาชะงัก เพียงพริบตาก็เข้าใจแล้ว
วันนี้หุบเขาตะวันคล้อยนี่ถูกเหยียบย่ำ ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองที่อาศัยอยู่ภายในแทบจะพังพินาศทั้งกองทัพ แม้แต่ต้นเทพฝูซางก็ยังถูกเอาไป
ความแค้นใหญ่เช่นนี้ ภายหน้าหากถูกมหาจักรพรรดิอีกามารรู้เข้า มีหรือจะยอมวางมือยุติเรื่องราว
หลินสวินสีหน้าไม่สะทกสะท้านกล่าวต่อ “ในเมื่อข้าเลือกจะมาช่วยเจ้า ก็รู้ชัดถึงผลดีผลเสียของมันนานแล้ว ดังนั้นภายหน้าต่อให้ต้องเจอมหันตภัยใหญ่หลวง เจ้ากับข้าแค่ต้านมันไปด้วยกันก็พอ”
เด็กหนุ่มผมเทาตะลึงงัน
มกุฎอริยะแท้อย่างหลินสวิน บนโลกนี้อาจเรียกได้ว่ามีอำนาจสูงส่ง แต่ในสายตาเขากลับไม่ถึงขั้นร้ายกาจอะไร
แต่ความอาจหาญและมาดสง่างามที่หลินสวินเผยให้เห็นในยามนี้ กลับทำให้เด็กหนุ่มผมเทาอดไหวหวั่นไม่ได้ ตอนนี้ถึงได้ตระหนักว่านายท่านน้อยคนนี้ไม่ธรรมดายิ่งกว่าที่ตนคิดอยู่มาก
เขาสูดหายใจลึกกล่าว “นายท่านน้อย ภายหน้าข้า ‘อู้เชวีย’ จะทุ่มเทเต็มกำลัง ช่วยนายท่านน้อยกรำศึกบนมรรคา!”
หลินสวินอมยิ้มพยักหน้า เจ้านายคนก่อนของเขาชื่อว่าเทียนเชวีย และตั้งชื่อให้เขาว่าอู้เชวีย เห็นได้ชัดว่าฝากความหวังบางอย่างไว้
เขาอยากรู้จริงๆ ว่าวิญญาณอาวุธของสมบัติจะแจ้งมรรคแล้วกลายเป็นจักรพรรดิได้ไหม
หรือพูดได้ว่าบนโลกนี้ยังมีเรื่องที่คาดไม่ถึงเช่นนี้จริงหรือ
อย่างน้อยเท่าที่ฟังเด็กหนุ่มผมเทาอู้เชวียกล่าวมาทั้งหมด ‘เฟยหลัน’ วิญญาณอาวุธของระฆังมหามรรครวมศูนย์ ก็เห็นได้ชัดว่ากำลังเสาะหาจุดเปลี่ยนของการแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิอยู่
อีกทั้งเรื่องนี้หลินสวินยังเคยเห็นกับตาตัวเองในป่าต้นหม่อนมาก่อน!
หลังจากนั้นอู้เชวียก็กลายร่างเป็นหมอกขาวสายหนึ่งกลับเข้าไปในธนูวิญญาณไร้แก่นสาร ส่วนหลินสวินก็นำสมบัติอริยะที่ไม่จำเป็นต้องใช้บางส่วนมอบให้อู้เชวียทั้งหมด
หลินสวินเฝ้ารอเป็นอย่างยิ่ง ว่ายามอู้เชวียฟื้นฟูพลังต่อสู้กลับมาดังเดิมจะแข็งแกร่งเพียงใด!
…
“พี่ใหญ่”
ไม่ทันไรพวกเจ้าคางคก อาหลู่ก็พุ่งโฉบมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
แต่เจ้านกดำกลับหน้าตากลัดกลุ้ม ด้วยปีกทั้งสองของมันถูกเจ้าคางคกและอาหลู่ยึดไว้แน่นหนา มีท่าทีเป็นห่วงว่ามันจะหนีไป
หลินสวินชะงัก “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
อาหลู่หัวเราะพลางกล่าว “เจ้านกขี้ขโมยนี่ขูดรีดสมบัติชั้นดีไปไม่น้อย พวกเราสองคนห่วงว่าจะถูกมันกอบโกยไปหมด ดังนั้นจึงคุมตัวมันไว้ชั่วคราว”
“มารดามันเถอะ ข้าใช่คนแบบนั้นรึ” เจ้านกดำตะโกนออกมาอย่างน้อยใจ
เจ้าคางคกยิ้มแย้มกล่าว “เจ้าไม่ใช่คน เป็นนก ใจนกยากหยั่งถึง”
หลินสวินบื้อใบ้
อาหลู่ใช้มือข้างหนึ่งตบหัวของเจ้านกดำดังป้าบแล้วกล่าว “เร็วเข้า นำสมบัติสองชิ้นนั้นออกมา”
เจ้านกดำโกรธจนร้องเสียงดัง แต่สุดท้ายก็ต้านแรงกดของเจ้าคางคกและอาหลู่ไม่ได้ ได้แต่อ้าปากคายออกมาด้วยจำยอม
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ศรเทพสองดอกปรากฏออกมา
ดอกหนึ่งขาวดุจหิมะ เปล่งแสงเงินยวงขาวโพลน ปลายศรเยียบเย็น ตัวศรหนาประมาณนิ้วโป้ง บนนั้นสลักอักษรมรรคที่เฉียบคมน่าพรั่นพรึงอยู่สองคำ…
แสงโชค!
อีกดอกหนึ่งเปล่งแสงเทพน้ำเงินเข้มคล้ายมายา เหมือนกับศรเทพแสงโชคไม่มีผิด แต่ตัวศรกลับสลักอักษรมรรคสองคำว่า ‘เสี้ยวปีก’ อยู่รางๆ
ศรเทพทั้งสองลอยคว้าง สาดแสงสว่างไสว กลิ่นอายล้วนน่าพรั่นพรึงหาใดเปรียบ ทำให้ห้วงอากาศใกล้เคียงเกิดคลื่นสะเทือนรุนแรง
นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัด ฉายแววอัศจรรย์
แสงโชค เสี้ยวปีก!
นี่เป็นถึงหนึ่งใน ‘ศรเทพทั้งเก้า’ ของเผ่าต้าอี้บรรพกาลเหมือนศรนภาครามและศรนิรันดร์ มหัศจรรย์หาใดเปรียบ พลังทำลายล้างก็น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง!
………