อาหูสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง มือถือกิ่งท้อแบนเดินมุ่งนำหน้าไปก่อน
‘ในโบราณสถานคุนหลุนมีคำกล่าวว่าเห็นป่าอย่าเข้าสืบเรื่อยมา สามารถฟันธงได้ว่าในป่าทึบแถบนี้ก็ต้องซุกซ่อนมหันตภัยเอาไว้เช่นกันเป็นแน่ อีกเดี๋ยวตอนที่พวกเราเคลื่อนไหวต้องระวังตัวหน่อย’
นางสื่อจิตกำชับ
พรึ่บ!
หลินสวินเรียกดาบหักออกมา สะพายธนูวิญญาณไร้แก่นสารไว้ด้านหลัง แล้วเอาเสื้อเกราะสีเงินอ่อนนุ่มชุดหนึ่งมาสวมทับทั่วร่าง
เสื้อเกราะชุดนี้เป็นหนึ่งในทรัพย์หลังศึกที่ชิงมาจากมือบุตรนรกยามอยู่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ มีชื่อเรียกว่า ‘คลื่นเกราะ’ ภายในบรรจุลายมรรคป้องกันหกสิบสี่ชุด ค่อนข้างล้ำค่าหายาก
ไม่นานทั้งคู่ก็เข้าไปในป่าทึบ เบื้องหน้าพลันมืดสนิท กลิ่นอายแปลกพิศวงที่ยะเยือกเย็นและน่าสะพรึงลอยปะทะเข้าหน้า
อาหูสีหน้าเริ่มเคร่งขรึมขึ้นมาเช่นกัน
ภายในป่าทึบต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้า เครือเถาวัลย์ใหญ่หนาดุจงูเหลือมมังกรห้อยแขวนลงมา บนพื้นกองสุมด้วยใบไม้ร่วงเน่าเปื่อยหนาเตอะ ย่างเหยียบลงไปบนนั้นส่งเสียงกรอบแกรบบดแตกดังออกมา
กลางห้วงอากาศเจือกลิ่นเหม็นเน่าที่เย็นเฉียบชื้นแฉะ ก้าวเดินภายในนั้นใบไม้แผ่ครอบคลุมเวิ้งฟ้า มืดสลัวลึกเร้น เงียบสงัดจนทำให้จิตใจผู้คนรู้สึกโหวงเหวง
‘จากข้อมูลที่ข้าได้รับมา ในป่าทึบผืนนี้มีแมลงพิษที่หายากแปลกพิสดารมากมายจำศีลอยู่ ล้วนน่ากลัวสุดขีด ในกาลเวลาที่ผ่านมา ผู้แข็งแกร่งที่มุ่งหน้ามาเสาะหาต้นท้อแบนจำนวนมากล้วนโชคไม่ดีประสบเคราะห์อยู่ที่นี่ ซากศพไม่มีเหลือ’
ระหว่างทางอาหูสื่อจิตกล่าว ‘แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงหยุดผู้ฝึกปราณให้มุ่งหน้ามาไม่ได้ เพราะต้นท้อแบนอัศจรรย์เกินไป สามารถทำให้คนบ้าคลั่ง ยอมเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟโดยไม่นึกเสียดาย’
‘ที่นี่แปลกพิสดารยิ่งจริงๆ เดินอยู่ในนี้ทำให้สภาวะจิตของข้าไม่เสถียร คล้ายกับมีพลังบางอย่างกำลังก่อกวนจิตวิญญาณของข้าอย่างไร้สุ้มเสียงอยู่’
หลินสวินขมวดคิ้วกล่าว
‘นี่ปกติมาก ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกปราณมากมายหลงทางอยู่ในนี้ก็เพราะจิตวิญญาณถูกกัดเซาะ เป็นผลให้ประสบเคราะห์ในตอนที่ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ’
ตลอดทางทั้งคู่เดินหน้าอย่างระวังตัว มองเห็นภาพที่น่าสะพรึงมาไม่น้อย มีเสียงคำรามสัตว์ร้ายที่เกรี้ยวกราดน่ากลัวดังขึ้น สะเทือนจนป่าไม้ไหวโคลง
มีนกปีศาจเหินโฉบฟ้า แผ่กลิ่นอายเหี้ยมเกรียมประหนึ่งนายเหนือหัวออกมา แค่ทอดมองจากไกลๆ ก็ทำให้หลินสวินและอาหูตัวสั่นเทิ้ม น่าสะพรึงเกินไปแล้ว
ขณะเดียวกันยังมีสัตว์ปีศาจไม่น้อยที่โลกภายนอกไม่มีปรากฏตัวขึ้น
อย่างเช่นหอยทากสีดำที่ใหญ่มหึมาเท่าภูเขา ตะขาบสีเขียวเข้มที่มีตารวมกันนับร้อยนับพัน…
ต่อให้เป็นหลินสวินและอาหูก็ยังได้แต่ถอยเลี่ยงไปห่างๆ เพราะสัตว์ปีศาจเหล่านั้นกลิ่นอายแข็งแกร่งชวนตกใจ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถต่อกรได้เลยสักนิด
ยังดี พวกเขาระวังตัวอย่างที่สุดตลอดทาง สัมผัสถึงความไม่เข้าทีก็รีบหลบเลี่ยงแต่เนิ่นๆ นี่ถึงได้เดินเข้ามาแบบรอดหวุดหวิดจนถึงตอนนี้ได้
“ที่นี่น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ หากบุ่มบ่ามบุกเข้ามาในนี้ ไม่ว่าใครเกรงว่าล้วนต้องประสบเคราะห์กันทั้งนั้น”
หลินสวินรู้ดียิ่ง หากไม่ใช่เพราะอาหูนำทาง พวกเขาไม่มีทางเดินมาจนถึงเวลานี้ได้เด็ดขาด เพราะเคราะห์สังหารตลอดเส้นทางนี้มากเกินไปจริงๆ
“ในโบราณสถานคุนหลุน แดนแห่งอันตรายเช่นนี้มีจำนวนไม่หวาดไม่ไหว เมื่อเทียบกันแล้วแท่นสักการะนั่นต่างหากที่เป็นแดนแห่งมหันตภัยที่ร้ายแรงที่สุด”
อาหูรีบกล่าวรวดเร็ว “ก่อนหน้าที่จะมาแหล่งสถานคุนหลุน ข้าใช้เวลานานหลายปีรวบรวมรายละเอียดและข้อมูลมากมายถึงกล้ามุ่งหน้ามาเสี่ยง”
ทันใดนั้นหลินสวินขนลุกซู่ ทั่วร่างมีประกายศักดิ์สิทธิ์พรั่งพรูออกมาและห่อหุ้มอาหูเข้าด้วยกัน หลบเลี่ยงออกไปไกลๆ ทันควัน
บริเวณที่พวกเขาที่อยู่แต่เดิมปรากฏรูโบ๋ขนาดใหญ่รูหนึ่งอย่างไร้สุ้มเสียง หนอนหลากสีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือฝูงหนึ่งทะลักออกมาจากรูราวกระแสน้ำหลาก เบียดเสียดแน่นขนัด แต่ละตัวกลิ่นอายเย็นเยียบเกรี้ยวกราด
“หนอนศพหลากสี!”
ดวงตาอาหูแข็งทื่อ หน้าเปลี่ยนสีทันควัน
นางกับหลินสวินถอยหลบไปไกลๆ ต่างเก็บงำกลิ่นอาย เนื่องจากหนอนชนิดนี้ตามตำนานเล่าว่าหลอมรวมขึ้นจากไอศพดึกดำบรรพ์ อันตรายอย่างยิ่ง
ฆ่าพวกมันตายง่ายแสนง่ายนัก แต่ไอศพที่แผ่ออกมาหลังจากพวกมันตายกลับเป็นพิษร้ายที่น่าสะพรึงหาใดเปรียบ สัมผัสโดนเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้จิตวิญญาณผุสลาย มรรควิถีเปื่อยยุ่ย!
ครืน…
หนอนศพหลากสีมีมากขึ้นเรื่อยๆ หลังกรูกันออกมาจากรูนั่นก็กระจายไปยังสี่ทิศแปดทาง
หลินสวินและอาหูต่างไม่กล้าหยุดเท้า มุ่งหน้าด้วยความรวดเร็ว
ทันใดนั้นเสียงขลุ่ยอื้ออึงสายหนึ่งก็ดังขึ้นจากส่วนลึกของป่าทึบ ดุจดั่งเสียงสะอื้นไห้ของเหล่าเทพ ทำเอาผู้คนขนลุก
หลังจากนั้นก็เห็นหนอนศพหลากสีพวกนั้นราวกับถูกบังคับควบคุม ล้วนพุ่งไปทางหลินสวินและอาหู!
อาหูหน้าเปลี่ยนสี “สมควรตาย ถึงกับมีคนเชี่ยวชาญวิชาควบคุมหนอนศพหลากสี หมายจัดการกับพวกเราในเงามืด!”
นัยน์ตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ จิตรับรู้แผ่กว้าง ลัดเลาะแผ่พุ่งไปตามทิศทางที่เสียงขลุ่ยดังลอยมา
ท่ามกลางความเลือนราง พอจะตรวจจับได้ถึงเงาร่างสายหนึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเงาตะคุ่มของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง กลิ่นอายคล้ายมีแต่ไม่มี
ครืน…
แต่ไม่รอให้หลินสวินจับพิกัดได้อย่างละเอียด ในพื้นที่ใกล้เคียงหนอนศพหลากสีมืดฟ้ามัวดินก็พุ่งเข้ามา
หนอนพวกนี้กลิ่นอายเย็นเยียบเกรี้ยวกราด แผ่ไอศพที่ชวนให้ผู้คนคลื่นเหียนออกมา แผ่ครอบทั่วทั้งสี่ทิศแปดทาง ทำให้คนหมดทางหนี หลบไม่พ้น
“มีแต่ต้องฝ่าวงล้อมออกไปเท่านั้นแล้ว”
เนตรงามของอาหูเจือแววดุร้าย แต่หลินสวินห้ามนางไว้ก่อน
สวบ!
แทบจะพริบตาเดียวเงาร่างของเสี่ยวอิ๋นโฉบพุ่งออกจากตัวหลินสวิน เขากวาดสายตามองหนอนศพหลากสีที่บุกโจมตีเข้ามาพวกนั้น ใบหน้าเล็กที่หล่อเหลาห้าวหาญไร้ทัดเทียมฉายแววเหยียดแคลนและขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูกออกมา
ตูม!
เขาสาวเท้าเหยียบห้วงอากาศ แผ่กลิ่นอายดุกร้าวออกมา นั่นเป็นพลังสายเลือดที่เป็นของหนอนกินเทพ
หนอนศพหลากสีที่พุ่งเข้ามาจากสี่ทิศแปดทางไม่มีตัวไหนไม่สั่นเทิ้ม ร่วงเกรียวหล่นตุบจากห้วงอากาศ ตัวสั่นสะท้าน ร้องโหยหวน ราวกับกำลังก้มหัวศิโรราบต่อผู้เป็นราชัน!
เสียงขลุ่ยเป็นระลอกเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นร้อนรนและเร่งเร้า คล้ายสัมผัสได้ถึงความไม่เข้าที กำลังควบคุมหนอนศพหลากสีสุดกำลัง
แต่ทั้งหมดล้วนเปลืองแรงเปล่า
ภายใต้บารมีสะท้านสะเทือนของเสี่ยวอิ๋น หนอนที่เกรี้ยวกราดน่าสะพรึงสามารถทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดก็ตามหน้าเปลี่ยนสีพวกนี้ ล้วนเชื่องเชื่อจนเหมือนทาสไพร่ที่ต้อยต่ำอย่างไรอย่างนั้น
หลินสวินและอาหูสบตากันสบตากันปราดหนึ่ง ล้วนเผยสีหน้าตื่นตกใจ นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า หนึ่งสิ่งโค่นหนึ่งสิ่ง[1] หรือ
ควรรู้ว่าเสี่ยวอิ๋นยังไม่ได้ลงมือแต่อย่างใด ลำพังแค่อาศัยกลิ่นอายก็ข่มความโอหังของหนอนศพหลากสีพวกนี้ได้แล้ว!
“ไป!”
ภาพเหตุการณ์ที่ชวนตกใจยิ่งกว่าปรากฏขึ้น เมื่อเสี่ยวอิ๋นออกคำสั่ง หนอนศพหลากสีพวกนั้นร้องระงมทะยานขึ้นมาพร้อมกัน บุกกรูไปยังทิศทางที่เสียงขลุ่ยดังลอยมา
“แย่แล้ว!” ห่างออกไปหลายพันจั้ง ชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งหน้าเปลี่ยนสีทันควัน เก็บขลุ่ยในมือแล้วหันตัวหนีไปทันที
“นายท่าน พวกเราจะไล่ตามไปหรือไม่”
เสี่ยวอิ๋นไอสังหารพลุ่งพล่าน “ข้าสัมผัสได้ว่าในป่าทึบแถบนี้มีหนอนแมลงมากมายจำศีลอยู่ แต่สายเลือดของพวกมันล้วนเทียบข้าไม่ติด ข้าสามารถทำให้พวกมันเชื่อง ฟังคำสั่งจากข้าได้!”
ประโยคเดียวทำเอาหลินสวินและอาหูแววตาลุกวาว ตอบตกลงโดยไม่ลังเลสักนิด
จากนั้นเสี่ยวอิ๋นนำทางอยู่เบื้องหน้า มีหนอนศพหลากสีฝูงหนึ่งล้อมอยู่ใกล้ๆ ราวกับผู้คอยเบิกทาง
หลินสวินและอาหูเดินตามอยู่ข้างหลัง ในใจก็อดยินดีอย่างแปลกประหลาดขึ้นมาไม่ได้
ป่าทึบแถบนี้มีอันตรายซุ่มอยู่รอบด้าน หนทางเบื้องหน้าสำหรับทั้งคู่ไม่มีใครไม่ระแวดระวังตัวสุดขีด มีอยู่หลายครั้งยิ่งเกือบประสบเคราะห์
แต่ตอนนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว
มีเสี่ยวอิ๋นอยู่ สามารถบังคับหนอนพิษเหี้ยมโหดชั่วร้ายที่กระจายตัวอยู่ในป่าทึบแถบนี้พวกนั้นได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ อันตรายที่พบเจอทั้งหมดตลอดทางก็ย่อมลดลงถึงที่สุดด้วย!
ครืน…
กลางป่าทึบหนอนแมลงที่มากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มปรากฏตัว รวมเข้ากับกองทัพมใต้บัญชาของเสี่ยวอิ๋น
หนอนพวกนี้มี ‘หนอนผีหน้าเขียว’ ที่ตัวใหญ่เท่าฝ่ามือ มี ‘หนอนมารไผ่สะท้อน’ ที่ลำตัวเรียวเล็กเหมือนเข็มเป็นต้น
พวกมันรวมตัวกันแน่นขนัด ปกคลุมฟ้าดิน ทำเอาหลินสวินและอาหูมองจนอดสูดหายใจเย็นไม่ได้ ล้วนไม่กล้าจินตนาการ ว่าในป่าทึบผืนนี้มีหนอนแมลงพิษร้ายแรงแปลกพิสดารจำศีลอยู่มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร
ตูม!
บนทางเบื้องหน้า หอยทากสีดำที่ใหญ่มหึมาเท่าภูเขาตัวหนึ่งถูกทำให้ตื่นตกใจ
กลิ่นอายของมันน่าสะพรึงถึงขีดสุด หากเป็นตอนแรกหลินสวินและอาหูต้องถอยหลบไปห่างๆ ไม่กล้าเฉียดใกล้อย่างแน่นอน
แต่ขณะนี้สิ่งที่ทำให้พวกหลินสวินปากอ้าตาค้างคือ หอยทากสีดำที่ใหญ่มหึมาตัวนี้ถึงกับหนีลิบลิ่วปานหมอกควัน ทับต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าโค่นล้มไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
เห็นได้ชัดว่าหอยทากสีดำตัวนี้ก็รู้ว่าเสี่ยวอิ๋นและกองทัพใหญ่หนอนแมลงใต้บัญชาของมันไม่อาจหาเรื่องได้ง่าย
“รู้เช่นนี้แต่แรก ก่อนเดินทางให้เสี่ยวอิ๋นออกมาซะก็ดี”
หลินสวินทอดถอนใจ วันนี้ถือว่าเขาได้เปิดโลกแล้ว ได้สัมผัสอำนาจบารมีแท้จริงของหนอนกินเทพ ราวกับราชันแห่งหนอนแมลงจริงๆ มากบารมีถึงขีดสุด
“นายท่าน ป่าทึบผืนนี้ถูกขนานนามว่า ‘รังหนอนเซียนโบราณ’ นับตั้งแต่ช่วงบุพกาลก็คงอยู่สืบมาจนปัจจุบัน หนอนแมลงที่กระจายตัวอยู่ในนี้ล้วนพิทักษ์ปกป้อง ‘แดนลับป่าท้อ’ ที่อยู่ด้านหลังรังหนอนเซียนโบราณ”
ระหว่างทางเสี่ยวอิ๋นและหนอนพวกนั้นพูดคุยสื่อสารกัน ได้รู้ความลับไม่น้อยทีเดียว
เพียงแต่หนอนพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่มีสติปัญญา สิ่งที่รู้จึงมีจำกัดอย่างมาก
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ทำเอาหลินสวินและอาหูรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
แดนลับป่าท้อ!
ต้นท้อแบนที่ดุจดั่งตำนานต้นนั้นก็ต้องอยู่ในนั้นแน่นอน!
…
ขณะเดียวกันในส่วนลึกของป่าทึบ ชายหนุ่มชุดดำคนนั้นเคลื่อนย้ายหายตัว สีหน้าร้อนรนราวกับผวาตกใจ
สุดท้ายเขามาถึงพื้นที่โล่งเตียนแถบหนึ่งในส่วนลึกของป่า ที่นี่ว่างเปล่าโล่งโถง ต้นหญ้าไม่เจริญงอกงาม มีเพียงห้วงอากาศที่จุดกึ่งกลางปรากฏบานประตูซึ่งมีประกายแสงไหลเวียนบานหนึ่ง
เบื้องหน้าบานประตูมีผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งเฝ้าคุ้มกันอยู่ มีทั้งชายหญิง ล้วนมาดสง่าไม่ธรรมดา สวมใส่เสื้อผ้าเครื่องประดับแบบเดียวกัน เห็นได้ชัดว่ามาจากขุมอำนาจเดียวกัน
“แย่แล้ว มีคนเข้ามาใกล้ รีบไปรายงานนายน้อยเร็วเข้า!”
ทันทีที่ชายหนุ่มชุดดำมาถึงก็ร้องโพล่งเสียงตื่น
ชายหญิงเหล่านั้นต่างอึ้งไป สีหน้าแปลกพิกล
“เส้นทางรังหนอนเซียนโบราณนี่มีแต่พวกเรา ‘สำนักวิญญาณหมื่นปฐม’ เท่านั้นที่รู้ คนอื่นจะเข้าใกล้ได้อย่างไร”
“เป็นไปไม่ได้กระมัง ตลอดทางนี้อันตรายชุกชุม คนทั่วไปไม่รอดชีวิตเดินมาถึงที่นี่ได้หรอก”
“อีกอย่างนายน้อยเพิ่งจะเข้าสู่แดนลับป่าท้อ เขาสั่งการไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว ไม่ว่าใครล้วนไม่สามารถมารบกวนได้ตามใจชอบ”
ผู้สืบทอดจากสำนักวิญญาณหมื่นปฐมเหล่านี้ต่างออกความเห็นกันสารพัด สีหน้าออกจะไม่ค่อยเห็นด้วย
ชายหนุ่มชุดดำร้อนรนจนเหงื่อกาฬท่วมหัว กล่าวว่า “พวกเจ้าไม่เข้าใจสักนิด ชายหนึ่งหญิงหนึ่งคู่นั้นไม่กลัววิชาควบคุมหนอนของพวกเราเลยด้วยซ้ำ หนำซ้ำพวกหนอนในรังหนอนเซียนโบราณถึงกับถูกพวกเขาควบคุมและบงการ กำลังแห่เข้ามาทางนี้!”
ในลานเงียบงันไปชั่วขณะ ชายหญิงเหล่านั้นล้วนเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา
ควรรู้ว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดารา สำนักวิญญาณหมื่นปฐมของพวกเขาบางทีอาจไม่สามารถเทียบรัศมีกับหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ได้
แต่ในวิชาควบคุมหนอน กลับมีน้อยขุมอำนาจนักที่จะเทียบพวกเขาได้!
และตอนนี้ถึงกับเกิดเรื่องผิดวิสัยเช่นนี้ได้ ใครบ้างจะไม่ตกใจ
วู้มๆๆ…
เสียงหวีดคำรามที่ปานกระแสคลื่นระลอกหนึ่งดังก้องขึ้นมาจากระยะไกลโดยฉับพลัน
หลังจากนั้นผู้สืบทอดสำนักวิญญาณหมื่นปฐมเหล่านี้ต่างหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดชายหนุ่มชุดดำถึงได้ลนลานจนกลายเป็นสภาพนี้
——
[1] หนึ่งสิ่งโค่นหนึ่งสิ่ง หมายถึง ไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม ย่อมมีอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถปราบมันได้