หนอนมากมายมืดฟ้ามัวดินมาเยือน เนืองแน่นแออัด ล้วนแผ่กลิ่นอายเกี้ยวกราดดุกร้าวออกมา ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านทั้งที่ไม่ได้หนาว
“ลงมือ!”
ผู้สืบทอดสำนักวิญญาณหมื่นปฐมเหล่านั้นตกใจจนวิญาณแทบหลุดลอย ล้วนแล้วแต่ออกโจมตีสุดกำลังตามจิตใต้สำนึก
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ต่อให้สิ่งที่พวกเขาถนัดมากที่สุดจะเป็นวิชาควบคุมหนอน แต่ก็ยังไม่เคยประสบเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงเช่นนี้มาก่อน
ตูมโครม!
พวกเขาต่างเรียกสมบัติของตนออกมา โคจรวิชาอัศจรรย์ออกโจมตี
เสี่ยวอิ๋นที่อยู่ไกลๆ เห็นเช่นนี้ก็โบกมือคราหนึ่งด้วยสีหน้าเลือดเย็น “ฆ่าพวกเขาซะ”
วู้มๆๆ…
กระแสหนอนล้นทะลัก ดุจดั่งระลอกคลื่นสีดำโหมซัดมาเยือน
เพียงไม่กี่อึดใจผู้สืบทอดสำนักวิญญาณหมื่นปฐมเหล่านั้นล้วนไม่เหลือให้เห็น มีเพียงโครงกระดูกที่แตกหักเกลื่อนพื้น เลือดเนื้อและจิตวิญญาณล้วนถูกกัดแทะหมดสิ้น!
หลินสวินและอาหูต่างตกใจ
ความแข็งแกร่งในพลังเข่นฆ่าของหนอนพิษพวกนี้เหนือจินตนาการของพวกเขา ในหมู่ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นล้วนไม่ขาดบุคคลระดับมหาอริยะ แต่กลับรับการโจมตีของพวกมันไม่ได้สักนิด!
จากนั้นเสี่ยวอิ๋นก็ไล่หนอนที่พิษสงร้ายกาจพวกนั้นออกไป หลินสวินและอาหูจึงเดินไปเบื้องหน้า และหยุดอยู่หน้าบานประตูว่างเปล่าที่แสงหลากสีสันไหลเวียนบานนั้น
ที่นี่ก็คือทางเข้าที่เชื่อมสู่แดนลับป่าท้อ
“พวกเจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ หากมีคนเข้าใกล้ ฆ่าตายสถานเดียว!”
เสี่ยวอิ๋นสั่งการลงไป หนอนพิษที่ประหนึ่งกระแสน้ำเหล่านั้นล้วนก้มหัวรับคำสั่ง
“ดูสิ เจ้าตัวน้อยนี่ตอนนี้บารมีมากกว่าเจ้าโขแล้ว”
อาหูแซวหนึ่งประโยค
หลินสวินยิ้มขื่นระลอกหนึ่ง ความจริงแล้วในใจก็ค่อนข้างภาคภูมิใจในตัวเสี่ยวอิ๋นอยู่เหมือนกัน ครั้งนี้เจ้าหนูนี่สร้างความชอบครั้งใหญ่แล้ว!
พวกเขาไม่มัวอืดอาด เข้าไปในบานประตูว่างเปล่าบานนั้นด้วยกัน
…
วู้ม…
ดุจดั่งจันทร์เคลื่อนดาราคล้อย เบื้องหน้าสายตาผันแปรทันใด
“งามยิ่งนัก!”
อาหูเผยสีหน้าตรึงใจออกมา ในครรลองสายตาเป็นป่าดอกท้อที่ทอดยาวไร้ขอบเขตผืนหนึ่ง ดอกไม้กำลังบานสะพรั่ง ประดับเต็มกิ่งก้าน เกสรดอกไม้ชมพูใสวาวมีแสงระเรื่อรินไหล
ท้องามแย้มพรายพราวสะพรั่ง ดอกแดงปลั่งงามฉูดฉาดวิลาศหรู กลางห้วงอากาศล้วนคละคลุ้งด้วยกลิ่นหอมสดชื่นจรรโลงใจ
ลำธารใสแวววาวสายหนึ่งไหลคดเคี้ยวกลางป่าท้อ ที่น่าตกใจคือลำธารที่ใสแวววาวนั่นถึงกับควบรวมมาจากไอวิญญาณเข้มข้น!
“ไอวิญญาณแน่นเกินไปแล้ว นี่เป็นแดนมงคลเปี่ยมโชคที่น่าทึ่งแห่งหนึ่งอย่างแน่นอน!”
หลินสวินก็ตกใจเช่นกัน ภายในแดนลับแห่งนี้นอกจากต้นท้อที่แผ่ทั่วป่าแล้ว ยังมีหินโบราณ ต้นไม้ใบหญ้าจำนวนหนึ่ง ต่างไม่ธรรมดาถึงขีดสุด ล้วนเป็นของวิเศษมหัศจรรย์
หนำซ้ำกลิ่นอายมหามรรคกลางฟ้าดินพร้อมพรั่งดั่งกระแสน้ำ ไหลเวียนไม่หยุดหย่อน ให้ความรู้สึกอยู่ใกล้แค่เอื้อม เพียงแตะสัมผัสก็คว้ามาได้แก่ผู้คน
“ตามคำเล่าลือ บริเวณที่ต้นท้อแบนหยั่งราก เป็นแหล่งรวมสายแร่วิเศษชั้นหนึ่งในโบราณสถานคุนหลุน ตอนนี้ได้เห็นแล้ว ชื่อเสียงสมคำเล่าลือจริงๆ”
อาหูกล่าวพลาง กลางฝ่ามือกำกิ่งท้อแบนกิ่งนั้น และสัมผัสโดยละเอียด
ครู่ต่อมานางเงยหน้าขวับ มองไปทางส่วนลึกของป่าท้อ “อยู่ทางนั้น ไป”
พวกเขามุ่งหน้าไปตลอดทาง หลังจากเข้าสู่ป่าดอกท้อรู้สึกเพียงว่าทั่วร่างเหมือนแช่อยู่ท่ามในน้ำแร่ไอวิญญาณ สิ่งที่สูดหายใจเข้าไปล้วนเป็นพลังชีวิตมหามรรคที่เข้มข้น จิตใจปลอดโปร่ง เบาเนื้อเบาตัว
มองอย่างละเอียด ต้นท้อแต่ละต้นนั้นล้วนแข็งแกร่งเป็นพิเศษ กิ่งใบเขียวชอุ่ม ราวแกะสลักออกมาจากหยกมรกต มีประกายแสงสีเขียวไหลเวียน แปลกมหัศจรรย์หาใดเปรียบ
น่าเสียดาย พวกมันหาใช่ต้นท้อแบนของแท้ เป็นเพียงพืชวิญญาณทั่วไปเท่านั้น แต่เหนือชั้นกว่าต้นไม้โบราณจำนวนหนึ่งของโลกภายนอกหลายโข
“หยุดนะ!”
ทันใดนั้นเบื้องหน้าปรากฏเงาร่างหลายสายขึ้นมา แต่ละคนล้วนอานุภาพไม่ธรรมดา โดยเฉพาะชายหนุ่มเกราะทองที่เป็นผู้นำ ยามลืมตามีลำแสงเทพวาบผ่าน ชวนสยองถึงขีดสุด
เมื่อมองอย่างถี่ถ้วน คนพวกนี้ไม่มีใครไม่ใช่มกุฎมหาอริยะ!
หลินสวินและอาหูสีหน้ารายเรียบ ไม่ได้แปลกใจอะไร
ก่อนหน้านี้ตอนเข้าสู่ที่นี่ ก็มีผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งคุ้มกันอยู่หน้าทางเข้าแดนลับ เห็นชัดว่ามีคนเข้ามาในนี้อยู่ก่อนแล้ว
“พวกเจ้าเข้ามาได้อย่างไร”
ชายหนุ่มเกราะทองบีบคั้นดุดัน นัยน์ตาเย็นเยียบดุจมีด กวาดมองหลินสวินและอาหู
นี่กลับทำให้หลินสวินค่อนข้างแปลกใจขึ้นมา
เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักตัวตนของเขา
อาหูสื่อจิตกล่าว ‘หากข้าเดาไม่ผิด พวกเขาน่าจะเข้ามาแหล่งสถานคุนหลุนจากทางเข้าอื่น เลยไม่รู้จักตัวตนของเจ้ากับข้า’
หลินสวินถึงเข้าใจในทันที
แรกสุดตอนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเซียนเหิน เขาก็เคยรู้มาแล้วว่าทางเข้าของแหล่งสถานคุนหลุนไม่ได้มีเพียงแค่ทางเดียว
“ต้องเดินเข้ามาอยู่แล้วสิ”
หลินสวินกล่าวสบายๆ
ชายหนุ่มเกราะทองสีหน้าขรึมลง กล่าวสั่งการตรงๆ “เช่นนั้นก็เชิญพวกเจ้าเดินกลับไปอีกรอบ ถ้าไม่ไป ตาย!”
ตูม!
หลินสวินย่างเท้าก้าวไปเบื้องหน้าทันควัน พลังปราณรอบกายก้องกระหึ่ม กดฝ่ามือหนึ่งออกมา
เขาคร้านจะพูดมากความอย่างสิ้นเชิง!
วิธีลงมือเผด็จการและตรงไปตรงมาเช่นนี้ของเขา ทำเอาชายหนุ่มเกราะทองยัวะจัด ตบฝ่ามือออกมาโดยไม่ลังเลเช่นกัน ซ้ำยังใส่เต็มกำลัง
ทว่าครู่ต่อมาทั้งตัวเขาก็ถูกฝ่ามือหลินสวินกดข่มลงกับพื้น
ตูม!
พื้นดินล้วนสั่นสะเทือนครู่หนึ่ง ต้นท้อบริเวณใกล้เคียงสั่นไหวครืดคราด ใบหล่นร่วงเกรียว
“ความสามารถแค่นี้ก็ฝันหวานอยากครอบครองที่นี่ นี่เรียกว่าไม่รู้จักเป็นตายกระมัง”
หลินสวินเอ่ยปากเรียบๆ
คนร่วมขบวนของชายหนุ่มเกราะทองตกใจ จากนั้นก็ต่างเดือดดาล ลงมือพร้อมกัน
ปึงๆๆ!
เสียงระเบิดระลอกหนึ่งดังขึ้น หลินสวินลงมือเฉียบขาด สยบกำราบผู้แข็งแกร่งพวกนี้ให้คุกเข่าลงกับพื้นทีละคน
ตั้งแต่ต้นจนจบอาหูเอาแต่มองดูพลางยิ้มชอบใจ
เจ้าโง่พวกนี้ คิดจริงๆ หรือว่าบรรลุมกุฎมหาอริยะแล้วจะทำตัวไร้ขื่อไร้แปได้ ไม่หัดดูเสียบ้างว่าเยี่ยนฉุนจวิน ลู่อ๋างตายอย่างไร!
“พวกเจ้าเป็นใคร”
ชายหนุ่มเกราะทองสีหน้าหวาดผวาไม่หาย
เพียงสะบัดมือง่ายๆ ก็กำราบพวกเขาได้ทีละคน นี่ทำให้เขาตระหนักได้ว่าครั้งนี้เตะโดนแผ่นเหล็กเข้าให้แล้ว!
แต่ต่อให้ทุบหัวจนแตกชายหนุ่มเกราะทองก็คิดไม่ออก ว่าทางเดินโบราณฟ้าดารามีคนร้ายกาจยิ่งยวดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ใบหน้านั่นก็แปลกตาเกินไปแล้ว
“พวกเราเป็นใครสำคัญมากหรือ”
นัยน์ตาหลินสวินมีไอสังหารทะลักขึ้นมา
เมื่อสังเกตเห็นภาพนี้ ร่างของชายหนุ่มเกราะทองก็สั่นเทา กล่าวว่า “สหาย พวกเราคือผู้สืบทอดสำนักวิญญาณหมื่นปฐม เมื่อครู่เป็นเพียงการเข้าใจผิดกัน หวังว่าสหายจะใจกว้างยกโทษให้ด้วย”
“สำนักวิญญาณหมื่นปฐม?”
หลินสวินเลิกคิ้ว
พวกชายหนุ่มเกราะทองรีบพยักหน้าเป็นพัลวัน
“ขออภัย ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
หลินสวินส่ายหน้า
ประโยคเดียวทำเอาพวกชายหนุ่มเกราะทองต่างอึ้งไป หากเป็นผู้ฝึกปราณบนทางเดินโบราณฟ้าดารา เป็นไปได้หรือที่จะไม่เคยได้ยินชื่อสำนักวิญญาณหมื่นปฐมมาก่อน
เจ้าหมอนี่ต้องเสแสร้ง จงใจทำมึนแน่ๆ!
พวกเขาปรักปรำหลินสวินเข้าให้แล้วจริงๆ แต่หลินสวินไม่มีทางไปอธิบายอยู่แล้ว
จากนั้นเสียงอู้อี้สายหนึ่งดังก้องขึ้น และไม่นานที่แห่งนี้ก็เงียบสงบลง บนพื้นมีซากศพนอนแผ่กองหนึ่ง
พบศัตรูบนทางแคบ ผู้กล้าหาญย่อมชนะ!
ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะหลินสวินแข็งแกร่งมากพอ จุดจบย่อมต้องเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
หลินสวินและอาหูไม่ได้อืดอาด มุ่งหน้าต่อไป
หนึ่งก้านธูปผ่านไป
ทัศนียภาพเบื้องหน้าพลันเปิดกว้าง ต้นท้อที่ขึ้นทั่วป่าไม่มีให้เห็นแล้ว แต่ปรากฏพื้นที่ราบที่เปล่งแสงระเรื่อห้าสี
ประกายศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียน แสงเรื่อมงคลหลั่งไหล ฟ้าดินล้วนอาบชโลมอยู่ท่ามกลางกลิ่นอายวิเศษศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่ง
“ดู!”
อาหูสายตาเป็นประกาย
ตำแหน่งใจกลางที่ราบมีต้นไม้โบราณที่เสมือนค้ำฟ้าต้นหนึ่ง กิ่งก้านราวกับร่ม ปกฟ้าคลุมตะวัน ลำต้นหยาบหนาใหญ่เหมือนมังกร ชูชันสูงเสียดฟ้า
แสงระเรื่อสายแล้วสายเล่าสาดพรมจากต้นไม้ ประดุจรุ้งหลากสีมากมาย ซ้ำยังเหมือนธารดาราไหลย้อย พิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์หาใดเปรียบ
กลางห้วงอากาศแถบนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งก็เหมือนดื่มน้ำค้างหยกมรกต รูขุมขนทั่วร่างล้วนเปิดกว้าง เบาสบายไปทั้งตัว
หลินสวินสูดหายใจหนาวเยือกอย่างอดไม่ได้ รู้สึกสะท้านสะเทือน
สถานที่นี้ไม่เหมือนจริง ดุจดั่งตำนานชัดๆ วิเศษศักดิ์สิทธิ์และเหมือนฝันมายามากเกินไป
ทั้งคู่เดินไปข้างหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่นานก็มองเห็นสภาพความเป็นจริงของต้นไม้วิเศษต้นนี้ถนัดตา
มันแน่นทนทานหาใดเปรียบ ลวดลายบนลำต้นกิ่งก้านเหมือนงูมังกรตัวแล้วตัวเล่า ผุดแสงระเรื่อที่คล้ายหยกแต่ไม่ใช่หยกออกมา แวววาวโปร่งใส แต่ใบไม้กลับเขียวชุ่มฉ่ำ แสงมงคลเบ่งบาน
ยิ่งเข้าใกล้ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกเล็กจ้อยมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะต้นไม้วิเศษต้นนี้สูงใหญ่มากเกินไป ดุจดั่งกระดูกสันหลังที่ค้ำยันฟ้าดิน
“ต้นท้อแบน!”
ริมฝีปากอาหูพ่นสามคำนี้ออกมาเบาๆ นางมองเห็นผลบนกิ่งไม้นั่น เจิดจ้าเหมือนอาทิตย์ดวงแล้วดวงเล่า กลิ่นหอมสดชื่นลอยฟุ้ง โผล่ให้เห็นผ่านใบไม้สีเขียวมรกต
ต้นไม้โบราณนั่นมีแสงมรรคไหลริน ก่อตัวเป็นพลังไร้รูปอย่างหนึ่ง สกัดกั้นกลิ่นหอมไม่ให้รั่วไหล ทว่ากลางอากาศก็ยังมีกลิ่นหอมตลบเป็นสายๆ อยู่ ซึมแทรกเข้าสู่จิตใจผู้คน ทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้ม
นั่นคือท้อแบน!
ขนาดประมาณกำปั้น แวววาวหยดย้อย พิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์เรืองรอง บ้างแดงชาดดุจแสงยามสายัณห์ บ้างก็ขาวหิมะดุจหยก บ้างก็เขียวมรกตชุ่มฉ่ำ
บางผลถึงขั้นมีประกายม่วงไหลรินออกมา สาดพรมประกายมรรคนับพันหมื่น!
หลินสวินและอาหูต่างอึ้งงัน ราวกับเห็นปาฏิหาริย์ หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเองเกรงว่าใครก็ไม่กล้าเชื่อ ว่าบนโลกใบนี้จะมีของล้ำค่าที่แปลกอัศจรรย์เช่นนี้ด้วย
“ไม่ถูกสิ!”
ทันใดนั้นหลินสวินก็สะดุ้งตื่นจากสภาพอารมณ์ตกใจนั่น นัยน์ตาดำลุ่มลึก มองไปทางส่วนล่างของต้นท้อแบน
ตรงนั้นถูกประกายแสงมงคลเจิดจ้าสว่างไสวปิดครอบ
แต่หากมองโดยละเอียดแล้ว กลับมีโครงกระดูกศพแล้วศพเล่ากองสุมอยู่บนพื้น บ้างก็เป็นรูปร่างมนุษย์ บ้างก็เป็นโครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่น
โครงกระดูกเหล่านี้ถูกประกายแสงวิเศษบดบัง หากถูกผลวิเศษบนต้นไม้ดึงความสนใจไปหมด ก็ไม่สามารถสังเกตเห็นได้เลยสักนิด!
อาหูก็สะท้านไปทั่วร่างเช่นกัน ได้สติขึ้นมา
“พวกนี้คงไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่มุ่งหน้ามาค้นหาท้อแบนในกาลเวลาที่ผ่านมา แต่กลับร่วงหล่นอยู่ที่นี่หรอกกระมัง”
หลินสวินเอ่ยปากเสียงเข้ม สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เริ่มระวังตัวขึ้นมา
ยิ่งเป็นมหาศุภโชคที่น่าเหลือเชื่อ ก็ยิ่งมาพร้อมกับมหันตภัยที่ไม่อาจคาดเดา หากเมื่อครู่จมอยู่ในภาพที่วิเศษศักดิ์สิทธิ์ล่อใจเช่นนั้นจนละเลยอันตรายของที่นี่ เช่นนั้นก็อาจประสบเคราะห์ได้ง่ายดายยิ่ง
“คงจะเป็นเช่นนั้น”
อาหูมองสำรวจคร่าวๆ พบว่าโครงกระดูกเหล่านั้นล้วนมีสภาพสมบูรณ์ ไม่ได้เสียหาย ทว่าล้วนแต่แผ่กลิ่นอายที่ถูกกาลเวลากัดกร่อน เห็นชัดว่าผ่านยุคสมัยมาเนิ่นนาน
“หืม?”
อาหูเดินอ้อมดูลาดเลารอบต้นไม้วิเศษต้นนั้น ตอนที่เดินมาถึงด้านหลังต้นไม้วิเศษก็พลันอึ้งค้าง รีบสื่อจิตอย่างรวดเร็ว ‘พี่หลิน เจ้ารีบมาดูเร็วเข้า’
หลินสวินเดินเข้าไปและมองตามสายตาของอาหู ก็เห็นเบื้องล่างต้นไม้วิเศษฝั่งนี้มีเงาร่างสามสายยืนอยู่
เป็นบุรุษเสื้อฟ้าที่สะพายกระบี่โบราณคนหนึ่ง หญิงมวยผมสวมชุดคลุมหงส์คนหนึ่ง และนักพรตชุดผ้าป่านที่หน้าตาคล้ายเด็กหนุ่ม มีผมขาวทั่วศีรษะคนหนึ่ง
พวกเขาต่างหลับตาสนิท กลิ่นอายคล้ายมีแต่ไม่มี เงียบสงบไม่ไหวติง ดุจดั่งภิกษุเฒ่านั่งวิปัสสนา เห็นชัดว่าแปลกพิสดารหาใดเปรียบ
และบริเวณไม่ไกลออกไป มีศิลาไม้เขียวแผ่นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ บนนั้นใช้อักษรมรรคโบราณสลักอักษรไว้หนึ่งแถว
‘ชีวิตเลื่อนลอยราวฝันมายา ชะตามนุษย์กี่วสันตสารท’
นอกจากนี้ก็ไม่มีจารึกใดๆ อีก
หลินสวินอึ้งไป กล่าวใคร่ครวญ “นี่หมายความว่าอย่างไร อย่าบอกนะว่าในนี้ซ่อนนัยปริศนาอะไรไว้”
ส่วนอาหูที่อยู่ข้างกันคล้ายเดาอะไรบางอย่างออก ท่องอักษรจารึกประโยคนี้เบาๆ เมื่อเสียงดังขึ้น ภาพน่าเหลือเชื่อก็ปรากฏ
แสงมงคลที่แวววาวสายหนึ่งไหลรินจากต้นท้อแบนต้นนั้น อาบชโลมเงาร่างอาหูไว้ภายใน!