Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1739 เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์

ตูม!

โบราณสถานคุนหลุน ใต้อารามมรรคเก่าแก่ที่พังทลายแห่งหนึ่ง มีเงาร่างทองอร่ามร่างหนึ่งพุ่งออกมา

ร่างกายเขาพลันขยายแปลงเป็นสูงหมื่นจั้ง เย้ยฟ้าท้าดิน ยามหายใจทางจมูกปาก ประหนึ่งวาโยอสนีปั่นป่วนอยู่ใต้เวิ้งฟ้า!

ร่างกายของเขาเป็นสีทองบริสุทธิ์ เลือดลมพลุ่งพล่านทะลวงเมฆ ปั่นป่วนคลื่นลมทั่วทิศ ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ราวกับเทพร่างทององค์หนึ่งเหลือบแลปวงสวรรค์

“ใครกัน”

ร่างสีทองส่งเสียงราวฟ้าผ่าจากเก้าชั้นฟ้า ยื่นมือไปหลายพันจั้ง เงาร่างที่เหมือนหนอนน้อยตัวหนึ่งถูกบีบอยู่กลางฝ่ามือ

“ข้าน้อยตานเฟิงผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ คารวะสหายยุทธ์ซวี!”

นี่คือชายชุดสีหยกคนหนึ่ง รูปงามดั่งเทพยุทธ์ บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้กลับหน้าซีดเผือด เต็มไปด้วยความหวาดกลัว สั่นสะท้านไปทั้งตัว

“ฮึ ทำไมต้องซ่อนตัวอยู่ที่นี่ด้วย”

เงาร่างสีทองกล่าวเย็นชา

“ศิษย์พี่คุนจิ่วหลินถูกฆ่า ข้าน้อยมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากสหายยุทธ์ซวี”

ตานเฟิงรีบร้อนกล่าว

เงาร่างสีทองมุ่นคิ้ว เหวี่ยงตานเฟิงทิ้งไปตามสะดวกค่อยกล่าว “บอกข้ามา ใครฆ่าเขา”

“หลินสวิน!”

“รู้แล้ว”

เงาร่างสีทองพยักหน้า ร่างที่สูงราวหมื่นจั้งนั้นพลันเปลี่ยนเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า

ตานเฟิงค่อยผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เหมือนรอดพ้นเคราะห์ร้าย

ซวีหลิงคุน!

ทายาทแกนหลักของเผ่าจักรพรรดิตระกูลซวี อสูรมารอริยะแห่งยุคคนหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่สิบสามของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา บำเพ็ญมรรคหลอมกายทั้งร่าง เกริกก้องสะเทือนโลกหล้า

เผชิญหน้ากับบุคคลที่น่ากลัวเช่นนี้ ต่อให้ตานเฟิงเป็นถึงผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ก็ไม่กล้าไม่เคารพแม้เพียงเสี้ยว

“บรรพชนของสองเผ่าจักรพรรดิใหญ่อย่างตระกูลคุนและตระกูลซวีเป็นหนึ่งใน ‘เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์’ ทายาททั้งสองเผ่ามีความสัมพันธ์อันดีดุจพี่น้องท้องเดียวกัน…”

ตานเฟิงพึมพำ “ตอนนี้ดูท่าว่าเป็นเรื่องจริงดังคาด ก็ไม่รู้ว่าอสูรมารอริยะที่น่ากลัวอย่างซวีหลิงคุนจะจัดการกับหลินสวินนั่นอย่างไรแล้ว”

‘แท่นสักการะ… เจ้านอกรีตนั่นจะไปไหม…’

บนแนวหนองบึงที่อันตรายรอบด้าน ภิกษุจีวรดำรูปหนึ่งกำลังย่างก้าวเนิบช้า ทุกครั้งที่เขาเหยียบย่างลงมาจะมีฐานบัวหนึ่งดอกปรากฏ ประพรมแสงธรรมดำขลับ

เหนือศีรษะเขาก็ประทับลวดลายบัวดำแปลกประหลาดดอกหนึ่ง

‘ในการต่อสู้บนเขาพญามังกร พลังที่เจ้านอกรีตนี่สำแดงออกมาเห็นได้ชัดว่าเหนือกว่าแต่ก่อนมาก หากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ต้องเปลี่ยนเป็นน่ากลัวกว่านี้แน่’

ภิกษุจีวรดำแววตานิ่งสงบ ใคร่ครวญครู่ใหญ่จึงตัดสินใจ ‘ไม่อาจรอได้อีกแล้ว…’

เปรี๊ยะ!

หลินสวินบดขยี้ป้ายคำสั่งที่เมิ่งอี้ให้มาจนละเอียด

ที่มาพร้อมกันคือคลื่นสะเทือนประหลาด กลางอากาศมีประตูบานหนึ่งปรากฏ

จากนั้นเมิ่งอี้ที่อยู่ในชุดบัณฑิต รูปงามสง่า รวมถึงจีเฉียนและเจียงเหิงผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เสวียนจีก็ทยอยก้าวออกมา

“พี่หลิน ข้ารอเจ้าตั้งนาน”

เมิ่งอี้ยิ้มเอ่ยปาก ดูดีใจยิ่งนัก

หลินสวินก็ยิ้มกล่าว “ล่าช้าด้วยเรื่องบางอย่าง ขอท่านทั้งสามโปรดอภัย”

เมิ่งอี้กล่าวด้วยท่าทางเข้าใจ “ข้าได้ข่าวแล้ว บนเขาพญามังกรเกิดศึกนองเลือดสะเทือนใต้หล้า หลินสวินสู้กับเหล่าผู้กล้าด้วยตัวคนเดียว กำราบสังหารอริราชศัตรู เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาในแหล่งสถานคุนหลุนยามนี้เป็นอย่างยิ่ง”

น้ำเสียงเจือความเคารพนับถือ

หลินสวินยิ้มรับ ไม่พูดอะไรมากอีก

เขาสังเกตเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นจีเฉียนหรือเจียงเหิง ท่าทีที่มีต่อตนล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ความมุ่งร้ายน้อยลงไปหน่อย ความหวาดกลัวที่ดูพิกลเพิ่มขึ้นมานิด

แต่หลินสวินก็สังเกตเห็นว่าเวลาแค่สิบกว่าวัน เจียงเหิงก็เลื่อนขั้นก้าวสู่ระดับมกุฎมหาอริยะแล้ว!

แม้แต่กลิ่นอายของจีเฉียนก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนเท่าตัว

ส่วนเมิ่งอี้ดูเหมือนว่ายังถ่อมตัวอ่อนโยนดังก่อน แต่หลินสวินกลับรู้สึกได้ว่าพลังปราณของอีกฝ่ายก็น่าจะพัฒนาขึ้นไม่น้อย อากัปกิริยา กลิ่นอาย ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงที่แฝงซ่อนอย่างหนึ่ง

เห็นชัดว่าช่วงนี้พวกเมิ่งอี้ จีเฉียน เจียงเหิงก็ได้รับวาสนาศุภโชคมาไม่น้อยเป็นแน่!

“ในเมื่อพี่หลินมาก็คิดว่าคงเตรียมพร้อมแล้ว เวลาไม่คอยท่า พวกเรามุ่งหน้าไปยังแท่นสักการะเลยเป็นอย่างไร”

ทักทายกันครู่หนึ่งแล้วเมิ่งอี้ก็ตัดสินใจ

“ก็ดี”

หลินสวินและอาหูสบตากันวูบหนึ่งแล้วตกปากรับคำ

เมิ่งอี้นำทาง ทั้งกลุ่มออกเคลื่อนไหว

ระหว่างทางเมิ่งอี้สื่อจิตกล่าว ‘จากข่าวที่ข้าได้มา มีบุคคลร้ายกาจไม่น้อยเล็งแท่นสักการะไว้เช่นกัน ทั้งยังมีคนไม่น้อยเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อหลายวันก่อน’

‘ตัวอย่างเช่นจวนอวี๋เหิง เจ้าหมอนี่ก็มาแหล่งสถานคุนหลุนด้วย หากไม่ใช่ว่าสามวันก่อนเขาปรากฏตัวที่แดนลับแห่งหนึ่งกะทันหัน สังหารผู้ฝึกปราณไปหลายสิบคน ใครก็คงคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาที่นี่’

จวนอวี๋!

เป็นตระกูลเผ่าจักรพรรดิที่เก่าแก่อย่างยิ่งตระกูลหนึ่ง

และจวนอวี๋เหิงคนนี้ก็เป็นบุคคลแห่งยุคคนหนึ่งที่มาจากตระกูลนี้ นิสัยเหี้ยมโหดอำมหิต ฝีมือแข็งกร้าว จัดอยู่ในอันดับสิบของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา!

อย่างที่ทุกคนทราบกันดี ขอเพียงเป็นผู้ที่ก้าวขึ้นไปอยู่ในร้อยอันดับแรกของกระดานมหาอริยะฟ้าดาราได้ ก็ล้วนเรียกได้ว่าเป็นยอดบุคคลระดับมหาอริยะแห่งยุคแล้ว

คนที่ก้าวขึ้นไปอยู่ในห้าสิบอันดับแรกได้ เรียกได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในระดับมหาอริยะ!

ส่วนคนที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรก…

แต่ละคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นผู้นำระดับมหาอริยะที่พบเห็นได้ยากในชั่วกาล เป็นเอกในหมู่คนรุ่นเดียวกัน ครองอำนาจเหนือคนในรุ่น เหมือนสุริยันหาญกล้าบนทางเดินโบราณฟ้าดารา

จวนอวี๋เหิงก็เป็นหนึ่งในคนพวกนี้!

เมิ่งอี้เพิ่งเอ่ยปากก็พูดถึงคนผู้นี้ เท่านี้ก็รู้แล้วว่าในใจเขาก็ค่อนข้างหวาดกลัวและระวังคนผู้นี้อยู่บ้าง

เมื่อรู้เรื่องพวกนี้ หลินสวินกลับมีความรู้สึกว่าอย่างนี้สิถึงจะปกติ

ด้วยในช่วงก่อนหน้านี้ แม้ว่าเขาจะกำราบสังหารบุคคลที่จัดอยู่ในกระดานมหาอริยะฟ้าดาราไปไม่น้อย แต่อันดับล้วนนับได้ว่าธรรมดา

กู่ฉางซินที่ร้ายกาจที่สุดก็ยังอยู่แค่ห้าสิบอันดับแรก

เดิมทีหลินสวินยังแปลกใจ ว่าทำไมบุคคลที่อยู่ในสิบอันดับแรกของกระดานมหาอริยะฟ้าดาราไม่เคยปรากฏตัว ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว

อย่างจวนอวี๋เหิงนี่เกรงว่าคงปรากฏตัวนานแล้ว แค่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสังเกตเห็นเท่านั้น

‘ยังมีอีกเรื่อง ข้าได้ยินว่าบุคคลที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรกของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา บ้างทะลวงระดับ ก้าวขึ้นไปอยู่ในขอบเขตของราชันอริยะแล้ว’

อาหูสื่อจิตกล่าวข้างหูหลินสวินอย่างรวดเร็ว ‘บางคนก็กำลังปิดด่านเตรียมทะลวงปราณ หากไม่จำเป็นก็ไม่มีใครออกเดินทางไกล’

พูดถึงตรงนี้อาหูก็กล่าวเตือนเป็นพิเศษ ‘นอกจากนี้ก็อย่าได้ดูเบาพวกที่ไม่เคยอยู่ในกระดานมหาอริยะฟ้าดาราด้วย’

‘ทางเดินโบราณฟ้าดารากว้างใหญ่ไพศาลไร้สิ้นสุด อัจฉริยะทั่วหล้ามีนับไม่ถ้วน กระดานแผ่นเดียวไม่อาจครอบคลุมบุคคลแห่งยุคในใต้หล้าไว้ได้หมด’

‘อย่างผู้สืบทอดที่มาจากสามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืด ไม่มีสักคนที่มีชื่อบนกระดานมหาอริยะฟ้าดารา แต่เจ้าก็เห็นแล้วว่าพลังต่อสู้ของซาหลิวชิงนั่นลึกลับและแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง’

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ

อาหูพลันอมยิ้มกล่าว ‘เหมือนอย่างเจ้าพี่หลิน ก่อนหน้านี้ใครกล้าเชื่อว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเช่นนี้ สังหารจนหัวของผู้แข็งแกร่งบนกระดานมหาอริยะฟ้าดาราเกลือกกลิ้งไปไม่น้อย และบนโลกนี้ก็ย่อมไม่ขาดบุคคลร้ายกาจอย่างพี่หลิน’

เวลานี้เมิ่งอี้เอ่ยปากอีกครั้ง ‘พี่หลิน นอกจากจวนอวี๋เหิงนี่แล้ว เจ้ายังต้องระวังซวีหลิงคุนไว้หน่อย คนผู้นี้เป็นทายาทเผ่าจักรพรรดิตระกูลซวี หากเขารู้ว่าเจ้าฆ่าคุนจิ่วหลิน ต้องมาหาเจ้าเพื่อแก้แค้นทันทีแน่’

จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของเผ่าจักรพรรดิตระกูลคุนและเผ่าจักรพรรดิตระกูลซวีให้หลินสวินฟัง

เรื่องพวกนี้กลับไม่ทำให้หลินสวินผิดคาด สิ่งที่ทำให้เขาใคร่รู้คือคำว่า ‘เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์’

ไม่นานอาหูก็ไขข้อสงสัยให้หลินสวิน ‘เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ คือมหาจักรพรรดิเผ่าอสูรมารเจ็ดคนที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคดึกดำบรรพ์ ลูกหลานของพวกเขาถูกมองเป็น ‘ทายาทเจ็ดจักรพรรดิอสูรมาร’ ’

‘เช่นบรรพชนของเผ่าจักรพรรดิตระกูลคุนก็คือ ‘จักรพรรดิอสูรมารเนี่ยคุน’ หนึ่งในเจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ เคยใช้มือฉีกนภาคราม กลืนสิบสามแดนในคำเดียว ครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่ อานุภาพไร้ขอบเขต’

‘ส่วนบรรพชนของเผ่าจักรพรรดิตระกูลซวีก็คือ ‘จักรพรรดิอสูรมารเสวียนอิง’ หนึ่งในเจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ ร่างเดิมของเขาคือยอดอสูรมารดึกดำบรรพ์ พลังต่อสู้ดุดันร้ายกาจ ไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิอสูรมารเนี่ยคุนเช่นกัน’

‘บนทางเดินโบราณฟ้าดารายามนี้ เผ่าของเจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ล้วนมีตัวตนใหญ่ยิ่งมหึมา อิทธิพลของบางเผ่าอาจมีอำนาจน้อยลงมาหน่อย แต่ความเก่าแก่แห่งรากฐานของพวกเขา ถึงขั้นไม่ด้อยไปกว่าสิบเผ่านักรบใหญ่หรือหกเรือนมรรคใหญ่เลย’

พวกเขาเดินทางไปพลางพูดคุยไปด้วย ทำให้หลินสวินรู้ข่าวบางอย่างบนทางเดินโบราณฟ้าดารายิ่งขึ้นไปอีก

ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่า ‘เผ่าจักรพรรดิ’ ที่เรียกกันนั้นยังมีรายละเอียดมากเช่นนี้!

หลังผ่านไปสามชั่วยาม

พวกหลินสวินทะยานมาถึงยอดภูเขาไฟลูกหนึ่งที่กำลังพ่นหินหนืดร้อนระอุ

ที่นี่มีแท่นบูชาห้าสีเก่าแก่อยู่แท่นหนึ่ง พร่างพร้อยด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลา เหมือนคงอยู่มาแต่โบราณ มีกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความหนาหนักของการตกตะกอนผ่านกาลเวลา

“เมื่อผ่านแท่นบูชานี้ไปก็จะเข้าสู่เขตแดนผนึกที่แท่นสักการะตั้งอยู่ เพียงแต่เส้นทางนี้ถูกลิขิตให้อันตรายถึงขีดสุด ทุกท่านต้องระวังตัวและรอบคอบหน่อย”

เมิ่งอี้พูดพลางพาทุกคนเหยียบไปบนแท่นบูชาห้าสีนั้น

“โอม!”

เขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ขวดสมบัติหยกเขียวหนึ่งลอยออกมา ปากขวดพ่นไอขุ่นมัวเหมือนกระแสน้ำถาโถมเข้าไปในแท่นบูชา

ไม่ทันไรแท่นบูชาก็ส่องประกายส่งเสียงดังสนั่น เกิดคลื่นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

กระทั่งทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม บนแท่นบูชาห้าสีก็ไม่มีเงาร่างของพวกหลินสวินแล้ว

“เจ้านอกรีตนี่ ในที่สุดก็ปรากฏตัวแล้ว…”

ในจุดที่อยู่ห่างภูเขาไฟออกไป เงาร่างของภิกษุจีวรดำรูปหนึ่งก้าวมากลางอากาศ มือขวาเขาถือไม้เท้าแห้งท่อนหนึ่ง มือซ้ายประคองบาตรสีดำใบหนึ่ง

“ซาหลิวชิง จนป่านนี้แล้วทำไมเจ้ายังไม่ออกมาเจอกันอีก”

ภิกษุจีวรดำเหลือบสายตามองไปยังจุดที่ห่างออกไปทันใด

“ฮึ ข้าทูตเทพพยากรณ์แห่งสำนักโบราณจรัสเทพ ไม่ใช่ผู้ร่วมวิถีเดียวกันกับผู้หลุดพ้นแห่งแดนกษิติครรภ์อย่างพวกเจ้า”

เสียงต่ำลึกคลุมเครือดังขึ้น หมอกควันสีเทาหลายสายรวมตัวกันกลางอากาศ กลายเป็นเงาดำที่เลือนรางร่างหนึ่ง

เป็นซาหลิวชิงนั่นเอง

ภิกษุจีวรดำไม่ใส่ใจ กล่าวว่า “ขอถามสักประโยคได้หรือไม่ เจ้าหนุ่มนี่ถูกจัดอันดับและตั้งค่าหัวบน ‘กระดานเทพลงทัณฑ์’ ของพวกเจ้าใช่ไหม”

ซาหลิวชิงย้อนถาม “แดนกษิติครรภ์ของพวกเจ้าล่ะ ทำไมถึงมองเจ้าหมอนี่เป็นพวกนอกรีต”

ภิกษุจีวรดำกล่าวราบเรียบ “เขาขโมยมรดกแห่งแดนกษิติครรภ์ของข้าไป ทั้งเอาสมบัติต้องห้ามที่ไม่ควรหยิบไปด้วย คนนอกรีตเช่นนี้หากไม่ขุดรากถอนโคน สวรรค์คงทนไม่ได้”

ซาหลิวชิงร้องอ้อคราหนึ่งก่อนกล่าวง่ายๆ “เช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้าให้ เจ้าหมอนี่เป็นแค่เป้าหมายเล็กๆ อันดับบนกระดานเทพลงทัณฑ์ค่อนไปทางท้าย รางวัลค่าหัวก็ไม่สูง ได้ ‘ผลึกสมบัติมหามรรค’ แค่สามสิบก้อนเท่านั้น”

ภิกษุจีวรดำชะงักไป คล้ายคิดไม่ถึงว่าอันดับบนกระดานเทพลงทัณฑ์ของหลินสวินจะต่ำเช่นนี้ รางวัลค่าหัวก็ต่ำเตี้ยเช่นกัน

นี่อยู่เหนือการคาดเดาของเขาอย่างสิ้นเชิง

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ด้วยพลังต่อสู้และรากฐานที่เจ้าหมอนี่สำแดงออกมา ก็ไม่มีทาง… ด้อยค่าเช่นนี้แน่!

…………………….

Battling Records of the Chosen One

Battling Records of the Chosen One

BRCO, Tian Jiao Zhan Ji, 天骄战纪
Score 8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2016 Native Language: Chinese
ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์ ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้ แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน… In the vast and boundless continent Cangtu, there were ancient sects governing the Ten Old Domains, unworldly immortal clans beyond the Blue Sky, and primordial demon gods dominating the dark abyss that together created a great number of brilliant stories over the long course of the history. In this very world, there was a boy, named Lin Xun, who embarked on his journey to the pinnacle of strength alone through cultivation and spiritual tattoo inscribing. Escaping alone from the Mine Prison where he had been living since he was adopted by Master Lu, Lin Xun knew nothing about his identity but the little information his adopter, Master Lu, had told him. With two ancient spiritual tools Master Lu gave to him before the destruction of the Mine Prison, Lin Xun started his journey to Ziyao Empire, where he is supposed to find out the truth of his lost Spiritual Vessel and the person who slaughtered his family, leaving him orphaned. Will he be able to unlock the mysteries of the two magic treasures, unveil the secrets of his identity and create a legend of his own?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset