Devil’s love ทิ้งรักของนายปีศาจไป – ตอนที่ 214 หวั่นไหวงั้นเหรอ

“โทษที”

ชายหนุ่มวางแก้วน้ำชาในมือลงอย่างสง่า

แต่…..แค่นี้เองหรือ? หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างมองมาที่เขาด้วยความงงงัน นั่นมันแก้วของเธอ เธอไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อนเลย แก้วของเธอไม่ใช่ของทั่วไป ของใช้ส่วนตัวนี่เราสามารถใช้ร่วมกับคนแปลกหน้าได้ด้วยเหรอ?

เธอถามด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเล็กน้อย “คุณ…..ลู่หมิงชู ใช่ไหมคะ? เปลนี้ฉันให้คุณยืมเอนหลังได้ แต่แก้วนี้เป็นของส่วนตัวของฉัน ไม่ใช่ว่าคุณลู่จะหยิบไปใช้ยังไงก็ได้โดยไม่ขอสักคำ แบบนี้มันไม่ดีเลยนะคะ หรือว่าปกติแล้วคุณลู่ใช้แก้วน้ำร่วมกับคนอื่นจนติดเป็นนิสัยเลยหรือไง?

“อย่าเคืองไปเลยคุณ”ลู่หมิงชูยกมือขึ้นพร้อมกับหัวเราะเบาๆ มองไปที่เธอด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดปลอบโยน “เมื่อกี้ผมหอแห้งน่ะ แล้วไม่รู้ว่าแก้วนี้เป็นแก้วของคุณ ถ้าไม่อย่างนั้น ผมก็คงขออนุญาตคุณไปแล้วล่ะ ถ้าเรื่องนี้ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ ผมต้องขอโทษด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจ”

ตอนแรกฟังดูเหมือนจริงใจมาก แต่หากฟังดูดีๆ จะรู้สึกว่าชายหนุ่มตรงหน้าที่ชื่อลู่หมิงชูคนนี้ จริงๆ แล้วไม่ได้ขอโทษอย่างจริงใจเลยสักนิด

ที่บอกว่า“ผมคงขออนุญาตคุณไปแล้ว?” นี่หมายความว่ายังไงกัน ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าเธอใช้แก้วนี้อยู่ ยังต้องขออนุญาตเธออยู่อีกเหรอ? หมายความว่า ถึงเขาจะรู้ว่าแก้วนี้เธอใช้อยู่ ขอแค่อนุญาตเธอ แล้วเขาจะใช้มันยังไงก็ได้น่ะเหรอ?

“แต่ว่าในเมื่อผมใช้แก้วนี้ไปแล้ว ทำไมเถ้าแก่ไม่ให้แก้วนี้กับผมเลยล่ะครับ? ”

หญิงสาวตะลึงงันอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็กักเก็บสีหน้า แล้วจ้องมองไปที่ลู่หมิงชู พูดนิ่งๆ ว่า “มองยังไงคุณก็เหมือนขโมยชัดๆ อีกอย่าง ขอพูดตรงๆ เลยนะคะ คุณลู่ มีใครเคยบอกไหมว่าจริงๆ แล้วคุณหน้าด้านมาก ?”

คนที่เป็นเถ้าแก่ น้อยมากที่จะพูดจาไม่สุภาพกับแขกเช่นนี้ แต่ว่า….เธอผ่านช่วงวัยที่ต้องก้มหัวเพื่อรักษาหน้าคนอื่นมาแล้วล่ะ

ลู่หมิงชูยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น กลับกันเขามองมาที่หญิงสาวตรงข้างหน้าด้วยความสนใจ“แล้วมีใครเคยบอกไหมว่า เถ้าแก่พูดตรงเกินไป?”

“ถ้าคุณรู้สึกว่าฉันพูดไม่เข้าหู ฉันก็ขอโทษด้วย คุณโชคไม่ดีเองนะ ถ้านับย้อนไปสักสองสามปี คุณอาจจะเจอฉัน คนที่พูดจารอบคอบกว่านี้”

“ ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ”

เขาพูดและจ้องมองเธออย่างไม่วางตา

หญิงสาวหัวเราะเบาๆ “บางที อาจเป็นเพราะเมื่อหลายปีก่อน ฉันได้ละทิ้งความเห็นอกเห็นใจคนอื่นไปหมดแล้วล่ะมั้ง เพราะงั้นสองปีที่ผ่านมานี้ ฉันจึงสนใจแค่ความสบายใจของตัวเองเท่านั้น เรื่องอื่นฉันไม่ใส่ใจหรอกนะ โดยเฉพาะแขกที่จงใจยั่วโมโหคนอื่นอย่างคุณลู่ เหอะ น่าโมโหซะมัด ทำไมฉันต้องมาเสียเวลาคุยกับคนแปลกหน้าด้วยเนี่ย”

เธอบอกว่าเธอได้ละทิ้ง“ความเห็นอกเห็นใจคนอื่น”ไปหมดแล้ว เธอบอกว่าสองปีที่ผ่านมาเธอสนใจแต่ความสุขของตัวเอง คำพูดเหล่านี้อาจจะดูเหมือนเธอไม่ได้แยแสใคร แต่ลู่หมิงชูรู้ดี ว่าในตอนนั้น ผู้หญิงคนนี้ผ่านอะไรมาบ้าง เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาของหญิงสาวตรงหน้า หัวใจของเขาก็เกิดความรู้สึกสงสาร

เมื่อมองเข้าไปในแววตาของเธออีกครั้ง ก็พบว่ามีแต่ความน่าสงสาร

หญิงสาวหลบตาเขา“คุณลู่ ถ้าคุณชอบเก้าอี้เปล พรุ่งนี้ฉันจะให้คนเอามาให้คุณ ถ้าคุณชอบน้ำชา ฉันก็จะให้คนเอามาเสิร์ฟให้คุณใหม่ ของพวกนี้ก็แค่ของเล็กๆ น้อยๆ ถ้าคุณลู่ชอบฉันก็จะหามาให้ค่ะ ” เธอแค่เสียดายที่แก้วน้ำชาชุดนี้เธอใช้มันมานานมากแล้วก็เท่านั้นเอง

เธอเงยหน้ามองไปที่ทะเลสาบเอ๋อร์ไห่ที่อยู่ไม่ไกลนัก น้ำจะสูงขึ้นในเวลากลางคืน จนท่วมกิ่งไม้ที่โน้มสู่ผิวน้ำจนหายไปหนึ่งส่วน

เธอเดินเข้าไปในสวนอย่างช้าๆ สะพานเล็กๆ ที่สร้างจากแผ่นคอนกรีต เชื่อมต่อกับทางเดินสูงจากระดับน้ำในทะเลสาบประมาณสามสิบตารางเมตร บริเวณข้างทางเดินที่เกิดขึ้นมาอย่างธรรมชาติ มีดอกกุหลาบพันปี ดอกทานตะวัน และพลูด่างที่เธอปลูกเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีดอกไม้ป่าที่ไม่รู้จักชื่อ ดอกเล็กดอกน้อยหลากหลายสีสันอีกมากมาย

ในตอนที่เธอไม่มีอะไรต้องทำ เธอชอบมาที่นี่ เพื่อเก็บกวาดใบไม้แห้ง และถอนวัชพืชทิ้ง

เธอนั่งยองๆ หยิบช้อนพรวนดินขึ้นมา แล้วเริ่มพรวนดิน

ลู่หมิงชูลุกขึ้นยืนมองบริเวณทางเดินที่อยู่ท่ามกลางทะเลสาบ กระโปรงยาวๆ ที่ทำมาจากผ้าฝ้ายธรรมดาที่คนท้องถิ่นสวมใส่กันบนตัวเธอ ยาวจนลากคลุมเท้า ท่อนบนเธอสวมใส่เสื้อโค้ตไหมพรมเนื้อนุ่ม เธอนั่งยองๆ พรวนดินอยู่ตรงนั้น ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ท่ามกลางแสงไฟริบหรี่ หัวใจของลู่หมิงชูกลับเต้นแรง……เมื่อได้กลับมาพบผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง ถึงได้พบว่าเธอชะล้างสิ่งสำอางไปหมดแล้ว

“นี่! คุณเถ้าแก่!

หญิงสาวที่นั่งยองๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ได้ยินเสียงนั้นจึงหันไปด้วยความงุนงง “มีเรื่องอะไรอีกคะคุณลู่?”

“คุณเถ้าแก่ ผมชื่อลู่หมิงชู คุณยังไม่บอกผมเลยว่าคุณชื่ออะไร?”

หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย…นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่มีใครถามชื่อของเธอ?

“เถ้าแก่ก็คือเถ้าแก่ คุณเรียกฉันว่าเถ้าแก่ก็พอแล้ว” ชื่องั้นเหรอ? อ่า…..เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าเธอชื่ออะไร ในใจได้แต่ยิ้มเยาะขึ้นมา

ลู่หมิงชูหัวใจไหววูบ จากนั้นดวงตาที่สลัวของเขาก็สว่างขึ้นอีกครั้ง “โอเค เถ้าแก่ ผมเรียกคุณว่าเถ้าแก่ก็ได้”

หญิงสาวลุกขึ้นพร้อมกับปัดมือ ไม่ได้เอาคำพูดของลู่หมิงชูมาใส่ใจ

เธอคุ้นเคยกับชีวิตที่สงบสุขในช่วงสองปีที่ผ่านมา

ชีวิตที่สงบสุข มักจะมาพร้อมกับความน่าเบื่อ วันที่เงียบสงบ มักจะมาพร้อมกับความเหงาเช่นกัน แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เธอเลือก

ลู่หมิงชูทนมองไม่ได้อีกต่อไป เข้าจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้อง

เมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าต่างก็มองลงไปข้างล่าง จึงพบว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินกลับมาช้าๆ

ท้องฟ้ามืดแล้ว จึงมองเห็นอะไรไม่ชัดเท่าไร เห็นเพียงหญิงสาวที่แต่งตัวไม่เข้ากับฤดูกาล จากนั้นร่างกายของเธอ ก็เดินหายเข้าไปในสวน

เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ลูบคลำบริเวณหน้าอก เขาสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงได้อย่างชัดเจน…….นี่เขาหวั่นไหวเหรอ?

มันไม่ใช่แค่ความอิจฉาที่มีต่อเสิ่นซิวจิ่นในตอนแรก ไม่ใช่แค่ความรู้สึกผิดในภายหลัง และไม่ใช่ความนึกสนุกอยากไล่ล่าเธอในคราแรกที่ตัดสินใจมาที่เอ๋อร์ไห่ ……. ชีวิตของเธอ วัยเด็กเติบโตมาในตระกูลร่ำรวย เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นก็เริ่มสวยสะพรั่ง จนกระทั่งอายุสิบแปดปีก็ต้องเผชิญหน้าทุกอย่างคนเดียว ในวัยที่เธอควรที่จะได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุดกลับต้องมาเข้าคุก สามปีผ่านไปหลังจากออกมาจากคุก นิสัยก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ใครๆ ต่างก็คิดว่าเธอน่าจะไปไม่รอดแล้ว…..แต่ ณ วันนี้ เวลานี้ ลู่หมิงชูคิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะได้กลับมาเห็นเจี่ยนถงในแบบปราศจากสิ่งสำอางอีกครั้ง

อดีตของเธอ กลายเป็นหมอกควันไปแล้ว…….นี่เขากำลังหวั่นไหวกับเจี่ยนถงที่เป็นแบบนี้ งั้นเหรอ?

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างกำหมัดแน่น “เสิ่นซิวจิ่น ครั้งนี้ นายไม่มีโอกาสแล้ว!”

อีกด้านหนึ่ง ณ เมือง S

ซีเฉินโยนแฟลชไดรฟ์ไปให้ใครอีกคน “เอาไปให้เขาที”

“มันคืออะไร?” ไป๋ยู่สิงยกมันขึ้นมาแล้วเหลือบตามองโดยไม่ได้สนใจมากนัก

“ภาพในกล้องวงจรปิดของเจี่ยนถงตอนอยู่ที่นั่น”

ไป๋ยู่สิงประหลาดใจ “ไม่ใช่ว่าทำลายทิ้งตั้งแต่แรกแล้วเหรอ?”

ซีเฉินยิ้มเย็น “มีคนอยากทำลายฉันใด ก็มีคนมีอยากเก็บไว้ฉันนั้น ในโลกนี้ ตราบใดที่มีเงิน มีอะไรที่ซื้อไม่ได้ด้วยเหรอ? ” เขาเหลือบมองแฟลชไดรฟ์ในมือไป๋ยู่สิง สายตาของเขาทอแววเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด“ภาพนี้ห้าสิบล้าน นายควรได้เห็นความโสมมและความโหดร้ายของพวกเศษเดนมนุษย์ในภาพนี้!”

“ห้าสิบล้าน? นายคิดว่ามันเป็นเรื่องธุรกิจหรือไง?” ไป๋ยู่สิงพึมพำเงียบๆ ซีเฉินบ้าไปแล้วจริงๆ ใช้เงินห้าสิบล้านซื้อภาพนี้เนี่ยนะ?

“เมื่อสามปีก่อนตอนที่อาซิวตามหาภาพพวกนี้ มันถูกทำลายไปก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ฉันรู้สึกเอะใจ จึงไม่ยอมแพ้ตามหาต่อ แต่ก็ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย แต่ว่า ถ้าหากมีรางวัลหนักๆ แน่นอนว่าต้องมีคนกล้าประเดิมอยู่แล้ว เงินรางวัลห้าสิบล้าน ถ้าใครมีของอยู่ในมือ ก็ต้องมีหวั่นไหวกันบ้าง ถ้าหากเงินห้าสิบล้านยังไม่สามารถทำให้เขาหวั่นไหวได้ล่ะก็ นั่นหมายความได้สองอย่าง หนึ่งก็คือไม่มีของในมือจริงๆ ส่วนสองคือ……คนที่อยู่เบื้องหลัง เป็นคนที่เราไม่สามารถต่อกรด้วยได้”

ไป๋ยู่สิงพยักหน้า “แต่ว่าห้าสิบล้านเลยเหรอ?” เขารู้สึกว่า ซีเฉินตั้งราคาสูงเกินไป “ถึงแม้เรื่องที่เจี่ยนถงเคยทุกข์ทนอยู่ที่นั่น มันจะไม่มีหลักฐาน แต่ในใจเราก็ต่างรู้ดีกันอยู่แล้ว แล้วทำไมต้องเสียอีกตั้งห้าสิบล้านล่ะ? ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือควรตามหาตัวเธอให้เจอไม่ใช่เหรอ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มในดวงตาของซีเฉินก็เย็นชาขึ้นไปอีก “นายดูสิ่งที่อยู่ในแฟลชไดรฟ์นั่นก่อน แล้วนายจะไม่พูดแบบนี้” แค่เคยทุกข์ทนน่ะเหรอ?……ฮ่า ไม่เพียงแค่นั้นหรอก!

ยิ่งเป็นคนนอกอย่างเขา พอได้เห็นภาพเหล่านั้นแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน!

Devil’s love

Devil’s love

เซี่ยเวยเหมิงเสียชีวิตแล้ว เสิ่นซิวจิ่นส่งตัวเจี่ยนถงเข้าไปในเรือนจำหญิงสามปีในคุก คำพูดของเสิ่นซิวจิ่นที่ว่า“ดูแลเธอให้ดีๆ”ทำให้เจี่ยนถงทรมานและเปลี่ยนไปมาและเปลี่ยนไปมาก ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนที่อยู่ในคุกถูก “ยินยอมที่จะบริจาคไตโดยไม่สมัครใจ”ก่อนเข้าคุก เจี่ยนถงพูด:ฉันไม่ได้ฆ่าเธอ เสิ่นซิวจิ่นไม่แสดงท่าทีอะไรหลังออกจากคุก เจี่ยนถงพูด:ฉันเป็นคนที่ฆ่าเซี่ยเวยเหมิง ฉันอาชญากรรมแล้วเสิ่นซิวจิ่นพูดด้วยสีหน้าซีดขาว:หุบปากไปเลย! อย่าให้ฉันได้ยินประโยคนี้อีก!เจี่ยนถงยิ้ม:จริงๆ ฉันเป็นคนที่ฆ่าเซี่ยเวยเหมิง ฉันติดคุกมาสามปี เจี่ยนถงหลบหนีไป เสิ่นซิวจิ่นตามหาเธอทั่วทุกมุมโลก เสิ่นซิวจิ่นพูด:เจี่ยนถง ฉันยกไตให้คุณ คุณมอบหัวใจให้ฉันเถอะ เจี่ยนถงเงยหน้ามองเสิ่นซิวจิ่น แล้วพูด…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset