flash marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน – ตอนที่ 1268 อดีตที่ถูกลืมเลือน

บทที่ 1268 อดีตที่ถูกลืมเลือน

ทว่าลู่เซิ่นทำแค่ยิ้มบางๆ “คุณวางใจเถอะ ผมไม่มีความสนใจในองค์กรของพวกคุณ”

แม้ว่าจะสนใจ เขาก็จะไม่บีบให้ฉินซีตอบคำถามตัวเอง

เขาจะใช้วิธีการของตัวเองหามันออกมา

ฉินซีพยักหน้าอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“หลังจากที่คุณหายตัวไป ตอนแรกผมตามหาคุณอยู่นานมาก” ลู่เซิ่นหลุบตาลง ทำให้คนมองไม่ออกถึงอารมณ์ความรู้สึก “แต่องค์กรของคุณซ่อนคุณเอาไว้ดีมาก ผมแทบจะไม่มีเบาะแสของคุณเลยแม้แต่น้อย คุณก็รู้ ผู้ใหญ่คนหนึ่งหายตัวไปเสียเฉยๆเป็นเวลานานขนาดนี้ ความคิดของคนปกติทั่วไปล้วน……คิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณหรือไม่”

แม้ว่าจะมองเห็นความรู้สึกแววตาของเขาได้ไม่ชัด แต่ฉินซีก็ยังสามารถรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดที่กดทับเขาเอาไว้ได้จากน้ำเสียงของเขา

ตอนนั้นที่ตัวเองอาศัยอยู่บนเกาะ ก็ยังคิดว่าลู่เซิ่นน่าจะใช้ชีวิตกับคนรักใหม่ด้วยกันอย่างมีความสุข คงจะไม่คิดถึงตัวเอง แต่ถ้าสิ่งที่ลู่เซิ่นอธิบายมาก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความจริงทั้งหมด งานแต่งงานเป็นเพียงแค่ป้ายๆหนึ่งที่ประดับเอาไว้เฉยๆ ทั้งหมดที่องค์กรให้เธอดู ก็แค่หลอกเธอเท่านั้น เขารักตัวเองมาโดยตลอด

ช่วงเวลาสามเดือนนั้น สำหรับเขาแล้ว น่าจะเป็นความทรมานที่เจ็บปวดเกินไป

ลองเปลี่ยนมุมคิดสักหน่อย ถ้าหากวันนี้ลู่เซิ่นหายตัวไปสามเดือนโดยไม่มีสาเหตุ ฉินซีก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่าสภาพจิตใจตัวเองจะเป็นแบบไหน จะร้อนใจและเศร้ามากแค่เพียงใด

“แม้กระทั่งหลินหยังก็เคยเอ่ยถึงความเป็นไปได้นี้อย่างอ้อมๆ แต่ว่าสุดท้ายผมก็ไม่ยินยอมที่จะเชื่อ สุดท้ายแล้วก็หาลู่ทางหนึ่งได้ นั่นก็คือ…….ถังย่า” ลู่เซิ่นเอ่ยถึงตรงนี้แล้ว ถึงได้เหลือบตาขึ้นมาเล็กน้อย “ผมรู้ว่าหลายวันนั้น คุณกำลังจัดเตรียมนิทรรศการภาพถ่ายอยู่ ดังนั้นในตอนแรก จึงไม่มีความเห็นอะไรในการที่คุณไปหาถังย่า แต่ว่า…….ในภายหลังก็ถูกผมตรวจพบเบาะแสเล็กๆน้อยๆแล้วจริงๆ ดังนั้น ผมจึงไม่ลังเลที่จะตรงไปหาถังย่า”

เมื่อเอ่ยถึงชื่อของถังย่า ฉินซีก็เม้มริมฝีปาก

เธออดคิดถึงคำพูดเหล่านั้นที่ถังย่าพูดในตอนที่เธอออกมาไม่ได้

“ตอนแรก ไม่ว่าอะไร เธอล้วนไม่ยอมรับ แต่สุดท้ายในภายหลังที่ผมหาหลักฐานในกล้องวงจรปิดได้ เธอถึงได้ยอมพูด” ลู่เซิ่นตั้งใจจะไม่บอกสิ่งที่ถังย่าพูดกับตัวเองให้ฉินซีฟังหมดเปลือก เพียงแต่เลือกจุดสำคัญมาพูดอย่างคลุมเครือ “ผมรู้จากเธอว่า คุณเป็นคนขององค์กร”

แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องที่ฉินซีเจตนาจะปิดบัง แต่เธอก็ยังหลุบตาลงด้วยความละอายใจเล็กน้อย

“ตอนที่คุณเจอผม การที่คุณสูญเสียความทรงจำนั้น ไม่ได้เป็นเพราะความกระทบกระเทือนที่ถูกเกิดจากการเสียชีวิตของคุณแม่คุณ ถูกต้องไหม” คำพูดต่อมาของลู่เซิ่น กลับทำให้ฉินซีตกตะลึง

“คุณ……..รู้ได้อย่างไรกัน” ฉินซีเบิกตาโตขึ้นเล็กน้อย

ลู่เซิ่นยักไหล่ “ผมรู้ว่าคุณสูญเสียความทรงจำ แม้ว่าถังย่าจะไม่ได้พูดให้ชัดเจน แต่ก็เผยออกมาเล็กน้อยอย่างเลือนราง ตอนที่คุณไปจากองค์กรเป็นการชั่วคราวนั้น ก็จำทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับองค์กรไม่ได้เลย เชื่อมกันสักหน่อย ผมก็สามารถเดาได้ว่า การสูญเสียความทรงจำของคุณนั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรของคุณไม่น้อย”

ฉินซีกัดริมฝีปาก ครุ่นคิดอยู่สองวินาที รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบัง ดังนั้นจึงพยักหน้า ยอมรับ “ตอนที่ฉันจากไป สถานการณ์ค่อนข้างพิเศษอยู่บ้าง……..”

เธออธิบายเรื่องที่ตัวเองประสบในตอนนั้นให้ลู่เซิ่นฟังอย่างรวบรัด เจตนาที่จะพูดเลี่ยงความเจ็บปวดเหล่านั้น แต่เมื่อเงยหน้ามองลู่เซิ่นในตอนที่พูดจบแล้ว สีหน้าของเขากลับทะมึนเป็นอย่างมาก

“วันแรกที่คุณกลับไป พวกเขาบีบบังคับให้คุณนึกเรื่องราวทั้งหมดให้ออกหรือ” การขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของลู่เซิ่นเจือไปด้วยความต้องการจะระงับโทสะ และความสงสารที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

เดิมฉินซีวางแผนที่จะถูกลู่เซิ่นสอบถามแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องสำคัญจะคือเรื่องนี้ ชั่วขณะหนึ่งจึงพยักหน้าอย่างพูดไม่ออก บอกไม่ถูก “ใช่ พวกเขารอให้ฉันจำขึ้นมาได้อย่างช้าๆไม่ไหว”

ที่จริงแล้วไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นตัวจ้านเซินเองเท่านั้นแหละ

ความรักที่อยู่ในนัยน์ตาของลู่เซิ่นนั้นไม่ได้ถูกอำพรางเลยแม้แต่น้อย มือที่จับฉินซีไว้บีบแน่นขึ้นเรื่อยๆ “พวกเขาปฏิบัติต่อคุณไม่ดี”

ฉินซีถูกน้ำเสียงของเขาทำให้ขบขัน อดไม่ได้ที่จะตอบว่า “ในองค์กรมองคนเป็นเครื่องมือหนึ่งเท่านั้น ล้วนไม่ได้มองฉันเป็นมนุษย์คนหนึ่ง จะเฝ้ารอให้พวกเขามาปฏิบัติต่อฉันดีๆได้อย่างไรกัน”

ความรู้สึกของลู่เซิ่นนั้นห่างไกลเธอที่ผ่อนคลายแบบนี้ เพียงแต่มองเธออย่างลึกซึ้งอยู่หลายวินาที และเปลี่ยนคำถามในข้อสุดท้ายไป “สามเดือนนี้คุณ ไม่สามารถไปจากองค์กรได้เลยหรือ”

สีหน้าฉินซีแข็งค้าง ชะงักไปหลายวินาที ถึงได้พยักหน้าเล็กน้อย

เธออยากจะบ่นว่าตัวเองใช้ชีวิตผ่านมายากลำบากขนาดไหนในสามเดือนนี้ ทางร่างกาย สภาพจิตใจ แทบจะได้รับความทรมานตลอดเวลา แต่ไม่ว่าอะไร เธอก็ไม่สามารถพูดออกมาได้

เพียงแต่ลู่เซิ่นคล้ายกับมองออกแล้ว

ความรู้สึกที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมบนใบหน้าของฉินซีล้วนดับไฟแห่งโทสะของเขาทั้งหมด

ตอนนั้นคลิปวิดีโอที่ตัวเองได้ดูอะไรก็ไม่ใช่ทั้งนั้น เพียงแต่สิ่งที่เรียกว่าองค์กรนั้นเอามาให้ตัวเองดู เพื่อให้เกิดความรู้สึกหมดหวังกับฉินซีถึงได้เอามาหลอกเขา

การละเล่นแบบนี้ไม่แตกต่างอะไรจากแผนการที่ใช้หลอกลวงฉินซีเลย

ความจริงแล้วเขามีสิ่งที่อยากถามฉินซีมากมาย

กลับไปถึงองค์กรแล้วมีความสุขไหม คนที่ชื่อจ้านเซินคนนั้นปฏิบัติกับเธอดีไหม เธอชอบที่ไหนมากกว่ากัน สามารถอยู่ที่นี่ โดยไม่จากไปอีกได้ไหม

แต่คำพูดที่รวบรัดในตอนนี้ ทำให้เขามองออกหมดแล้ว

ฉินซีไม่ชอบที่นั่น หวังเป็นอย่างมากว่าจะสามารถหลบหนีไปจากองค์กรได้

สำหรับผู้ชายที่ชื่อจ้านเซินคนนั้น…….คล้ายกับว่าไม่ได้เหลือรอยอะไรไว้ในใจฉินซีเลย

แบบนี้ก็พอแล้ว

ความเศร้าของลู่เซิ่นที่มีมาตลอดถูกปลอบประโลมให้ดีขึ้นไม่น้อยในตอนที่ฉินซีปรากฏตัวขึ้น ตอนนี้ล้วนคุยกันเข้าใจหมดแล้ว สิ่งที่ติดขัดอยู่ในใจของเขาเหล่านั้นล้วนหายไปหมดแล้ว

การที่ฉินซีจากไป ไม่ได้เป็นเพราะว่าต้องการทิ้งตัวเอง แต่เพราะเธอถูกสิ่งที่เรียกว่าองค์กรเอาข้อมูลบางส่วนที่บิดเบือนมาหลอกเธอ เธอไม่กลับมา…..ก็เป็นเพราะว่ากลับมาไม่ได้เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการเห็นตัวเองอีก

แบบนี้แล้ว ความสงสัยที่อยู่ในใจลู่เซิ่นเกือบทั้งหมดล้วนถูกแก้ไขหมดแล้ว เหลือเพียงแค่คำถามสุดท้าย

“ถ้าหากว่าคุณไม่สามารถจากไปได้……อย่างนั้นวันนี้คุณมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไรกัน”

พอได้รู้ว่าเดิมฉินซีไม่สามารถจะทำอะไรได้อย่างอิสระ รู้ตัวอีกที ลู่เซิ่นก็นึกกลัวขึ้นมา

ถ้าหากว่าเธอไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น เดิมงานแต่งงานในวันพรุ่งนี้ของตัวเองจะกลายเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่งหรือไม่

แต่ตอนนี้เธอปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เรียกว่าองค์กรนั้น จะมาหาเรื่องเธอหรือไม่

ไม่ใช่ว่าลู่เซิ่นไม่เชื่อว่าตัวเองสามารถปกป้องเธอได้ แต่ขอบเขตอิทธิพลขององค์กรนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ลู่เซิ่นกลัวว่าจะพบเจอกับความประมาทเลินเล่อในแผนการที่ครุ่นคิดมาอย่างรอบคอบของตัวเอง ไม่ว่าอย่างไร ความปลอดภัยของฉินซี ล้วนสำคัญที่สุด

สีหน้าฉินซีแข็งค้าง

เธอไม่สามารถเปิดเผยเรื่องของถังย่าออกมาได้ และไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรถึงจะดี จึงทำได้เพียงแค่เลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถาม และเอ่ยถามขึ้นมาแทน “คุณยังไม่ได้ตอบคำถามข้อสุดท้ายนั้นของฉันว่า ทำไมคุณถึงได้จัดเตรียมงานแต่งงานนี้ขึ้นมา”

เธอเงยหน้าขึ้นมองลู่เซิ่น แฝงไปด้วยความดื้อดึง

ลู่เซิ่นจ้องมองเธอนิ่งๆครู่หนึ่ง

เทียบกับตอนที่จากไปนั้น ฉินซีผอมลงมาก ใต้ขอบตามีรอยคล้ำจางๆ บุคลิกลักษณะทั้งร่างเธอ สามารถทำให้คนมองออกได้ว่า เธอไม่มีความสุข

flash marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

flash marriage เธอต้องแต่งงานกับฉัน

เดิมทีคิดว่ามู่วี่สิงเป็นคนธรรมดา หลังแต่งงานจึงรู้ได้ว่า เมื่อก่อนเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนี้อย่างรอบคอบสามีของตัวเองไม่เพียงแต่เป็นหมอ ยังมีฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยทางการแพทย์ และทายาทของตระกูลใหญ่

Options

not work with dark mode
Reset