หลังจากวางนกหวีดทองแดงลง ไคลน์ทำการเปิดเนตรวิญญาณ
ชายหนุ่มมองเห็นกระดูกสีขาวผุดขึ้นจากพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงและขาดความน่าเกรงขาม แท่งกระดูกบรรจงก่อตัวเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่
ถ้าฉากการปรากฏตัวของผู้ส่งสารครั้งก่อน ๆ เป็นราวกับน้ำพุสวรรค์ในเทพนิยาย ฉากปรากฏตัวเมื่อครู่จะเป็นได้เพียงการเปิดก๊อกน้ำกลับด้าน
ไคลน์ยกมุมปากเล็กน้อย แสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็นความผิดปรกติ
ไม่กี่วินาทีถัดมา ผู้ส่งสารกระดูกขาวปรากฏกายอย่างสมบูรณ์ ด้วยส่วนสูงเกือบสี่เมตร ศีรษะจึงเลยทะลุเพดาน เบ้าตามีเพลิงทมิฬลุกโชนเงียบงัน
หลังจากพับจดหมายที่เพิ่งเขียนเสร็จ ไคลน์ยื่นแขนไปหาฝ่ามือของอีกฝ่าย
ภายในจดหมาย ชายหนุ่มเขียนอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างจิมมี่·เน็ค พ่อค้ามั่งคั่ง กับเอกสารโบราณที่ถูกค้นพบจากอนุสาวรีย์บรรจุศพของราชวงศ์ไบลัมแห่งทวีปใต้ รวมไปถึงความเชื่อมโยงกับพลเรือโทวายุ·คีลิงเกอร์ และพลเรือโทโรคภัย·เทรซี่ นอกจากนั้น ไคลน์ยังอธิบายว่าตนลอบเข้าไปในเรือเทรซี่สำเร็จ โดยแม้ภารกิจลอบสังหารจะล้มเหลว แต่ก็ได้ทิ้งวัตถุประจำตัวสำเร็จทำนายระบุพิกัดในภายหลัง
แน่นอน ไคลน์มิได้อธิบายว่าตนแทรกซึมเข้าไปด้วยวิธีใด ส่วนใหญ่เป็นการพรรณนาถึงพลังพิเศษของเทรซี่ รวมถึงวิธีการต่อสู้
หลังจากเห็นผู้ส่งสารใช้กำปั้นขนาดมหึมาที่สามารถส่งคนลอยไปในอากาศ จับคว้าจดหมายฉบับเล็กจากมือเล็กๆ ของมนุษย์เพศชายโตเต็มวัยไปถือ ไคลน์กระแอมในลำคอ :
“ฉันมีผู้ส่งสารประจำตัวแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้น เพลิงทมิฬในเบ้าตาพลันไหววูบสองหนจนสามารถสังเกตเห็น ตามด้วยการแตกตัวกระจัดกระจายกลายเป็นน้ำตกโครงกระดูกแสนสง่างาม ไหลทะลุผ่านพื้นไม้ลงไปด้านล่าง
ไม่ต้องคอยพะวงว่าจะกลายเป็นผู้ส่งสารของฉันแล้วสินะ… เกลียดฉันมากขนาดนั้นเชียว? อา… ผู้ส่งสารเหล่านี้คงมาจากโลกแห่งความตาย และอาจรับใช้ทายาทเทพมรณามาทุกรุ่น… พวกนายชอบอยู่กับคนเก่งมากกว่า… ฉันเข้าใจ!
ขณะไคลน์กำลังจะเดินออกไปเช็กเอาต์โรงแรม จมูกเกิดคันขึ้นมากะทันหัน
ฮัดเช่ย! ฮัด…ชิ่ว! แค่ก! แค่ก!
น้ำมูกใสไหลย้อยมาพร้อมกับอาการไอจาม หน้าผากร้อนผ่าวราวกับถูกแผดเผา
ซวยฉิบ… เชื้อโรคของเทรซี่ที่ตกค้างอยู่ในร่างกายเรา ได้ทำปฏิกิริยากับสภาพอากาศหนาวเย็นสิบองศาเซลเซียสจนเกิดเป็นอาการป่วย…
ไคลน์ใช้ทิชชูหยาบสั่งน้ำมูกพลางไตร่ตรองว่า ตนควรประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเองหรือไม่ เพราะการนำร่างวิญญาณเข้าไปอยู่ในห้วงมิติเหนือสายหมอก อาจส่งผลให้ร่างเนื้อบนโลกฟื้นฟูตัวเองด้วยความเร็วสูงกว่าปรกติ
แต่หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ไคลน์มองว่าวิธีดังกล่าวคงไม่ได้ผลด้วยสาเหตุสองประการ หนึ่ง อาการป่วยในร่างเนื้อน่าจะส่งผลไปถึงร่างวิญญาณด้วย เพราะร่างทั้งสองชนิดมีความสัมพันธ์ค่อนข้างลึกซึ้ง สอง หากปล่อยร่างเนื้อไว้โดยไม่คอยดูแล อาการคงมีแต่จะแย่ลง
ชักมึนหัวแฮะ…
ไคลน์จับหน้าผากพลางวางแผนกลับไปยังโรงแรมวายุครามเพื่อพบเดนิส จากนั้นค่อยประเมินอาการว่า ตนควรกินยาจากคลินิก หรือถึงกับต้องไปโรงพยาบาล
…
เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์
เมื่อเดอร์ริคได้รับผลของต้นพันธะวิญญาณส่องแสงจากเฮอร์มิท วัตถุดิบโอสถข้ารับใช้สุริยันจึงครบถ้วนสมบูรณ์
เด็กหนุ่มรีบปรุงโอสถโดยไม่รีรอ ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นของเหลวสีทองอร่ามที่มีอุณหภูมิค่อนข้างสูง โดยขณะดื่มเข้าไป เดอร์ริครู้สึกราวกับลำคอของตนถูกแผดเผา
ดวงตาเด็กหนุ่มเริ่มส่องแสง ยิ่งผ่านไปนานก็ยิ่งเจิดจ้าประหนึ่งดวงอาทิตย์ย่อส่วนสองดวง
ผิวกายถูกฉาบด้วยแสงสว่างสุกใส มาพร้อมอักขระเวทมนตร์สีดำเด่นชัด
ในเวลาเดียวกัน เส้นผมของเด็กหนุ่มเริ่มงอกยาวจากปรกติ ดูคล้ายกับขนนกที่ห้อมล้มประดับตกแต่งเปลวเพลิงสีทอง
เดอร์ริคทราบล่วงหน้าว่า การดื่มโอสถลำดับ 7 จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในลักษณะดังกล่าว จึงปราศจากอาการตื่นตกใจ เพียงกัดฟันกรอด หวนนึกถึงความเจ็บปวดขณะลงมือสังหารบิดามารดาบังเกิดเกล้า หวนนึกถึงแสงแห่งความหวังที่มิสเตอร์ฟูลประทานให้ อาศัยอารมณ์อันเข้มข้นช่วยเอาชนะภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการคลุ้มคลั่ง
ผ่านไปสักพัก ความผิดปรกติทั้งหมดกลับคืนสู่ความปรกติ แต่ออร่ารอบตัวเด็กหนุ่มเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างชัดเจน คล้ายกับดวงอาทิตย์อันอบอุ่นที่คอยมอบแสงสว่างไปยังรอบตัว
เดอร์ริคสัมผัสได้ว่าสมรรถภาพร่างกายดีขึ้น สามารถต้านทานเชื้อโรคและสิ่งแวดล้อมไม่ปรกติอีกหลายรูปแบบ
แต่นั่นยังไม่ใช่สาระสำคัญ เดอร์ริคกำลังสนใจเวทมนตร์ใหม่ที่พรั่งพรูเข้ามาในหัว
ประกอบไปด้วย ‘เพลิงแสงศักดิ์สิทธิ์’ ‘ต้านทานความกลัว’ ‘คำสาบานศักดิ์สิทธิ์’ ‘ฟาดฟันชำระล้าง’ ‘ออร่าสุริยัน’ ‘ทำน้ำมนต์’ และอีกมาก
เดอร์ริคเดินวนเวียนในห้องอย่างมีความสุขพลางรู้สึกว่า เวทมนตร์ชนิดใหม่ของตน เหมาะแก่การเผชิญหน้าสัตว์ประหลาดชั่วร้ายในความมืดเป็นอย่างมาก
เด็กหนุ่มไม่คิดปิดเป็นความลับ รีบเดินทางไปยังหอคอยคู่เพื่อลงทะเบียนข้อมูลเกี่ยวกับการเลื่อนลำดับของตน
ณ ที่นั่น หากผ่านการทดสอบเบื้องต้น มันจะมีคุณสมบัติเพียงพอสำหรับการเป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนทันที และมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลของเมืองเงินพิสุทธิ์มากกว่าเดิม
มิสเตอร์เวิร์ลต้องการทราบวิธีลบจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลัง…
หลังจากตอบคำถามกับเจ้าหน้าที่พอประมาณ เดอร์ริคอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำมั่นสัญญาซึ่งตนคิดค้างมานาน
มันมักหงุดหงิดใจทุกครั้งที่ตระหนักว่าตนยังติดค้างผู้อื่นอยู่ พาลให้รู้สึกแย่อยู่ร่ำไป แต่ในปัจจุบัน เมื่อเห็นโอกาสสะสางเรื่องดังกล่าวให้เสร็จสิ้น จิตใจเด็กหนุ่มจึงเริ่มเบิกบาน
…
ณ ผับใบไม้หอม ‘นักเจรจา’ มีซอร์·คิง กำลังถือแก้วไวน์แดงพลางนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ‘ชายฉกรรจ์’ โอซิล
มีซอร์ยกขาไขว่ห้างพร้อมกับตั้งคำถาม
“พอจะรู้รายละเอียดไหม”
มันได้รับมอบหมายจากพลเรือโทโรคภัยให้กลับมายังบายัม เพื่อสืบส่วนหาความจริงเบื้องหลังการค้นพบเอลเลนผมแดง แต่ก่อนอื่น มีซอร์เลือกนัดพบชายฉกรรจ์·โอซิลเป็นอันดับแรก เนื่องจากชายคนนี้คือผู้แจกจ่ายภารกิจตามหาเบาะแสในชุมนุมลับ แน่นอน มีซอร์ทราบดีว่าตนไม่สามารถไปถามกับกลุ่มต่อต้านโดยตรงได้ ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายอาจสมรู้ร่วมคิดกับเอลเลนผมแดงตัวปลอม เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น การนัดพบกับกลุ่มต่อต้าน ก็จะไม่ต่างอะไรกับการประเคนเงินค่าหัวตัวเองให้กับอีกฝ่าย
โอซิลดึงเก้าอี้ออกมานั่ง
“พวกมันมิได้ปิดบังอะไร แต่ฉันก็ระบุไม่ได้เช่นกันว่าทุกคำพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็อย่างที่นายทราบ ฉันชอบใช้กล้ามมากกว่าสมอง พวกมันเล่าว่า คนที่พาเอลเลนผมแดงมามอบให้คือเพลิงพิโรธ·เดนิส โดยกระทำในนามตัวแทนพลเรือโทธารน้ำแข็ง เจตนาเพื่อหวังสานสัมพันธ์กับกลุ่มกบฏ ทางนั้นเป็นฝ่ายแสดงความจริงใจโดยการยื่นความช่วยเหลือมาก่อน และผมแดงเอลเลนคือหนึ่งในนั้น เพลิงพิโรธ·เดนิส? พลเรือโทธารน้ำแข็ง?”
มีซอร์พึมพำทั้งสองชื่อด้วยสีหน้าจมดิ่ง
มันเอนหลังพิงพนัก ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในฐานะอดีตกัปตันเรือย่อยแห่งกลุ่มโจรสลัดวายุและผู้ช่วยรองกัปตันแห่งกลุ่มโจรสลัดโรคภัย มีซอร์ย่อมมีข้อมูลของพลเรือโจรสลัดคนอื่น และย่อมทราบว่า พลเรือโทธารน้ำแข็งมีฝีมือเก่งกาจ เต็มไปด้วยของสะสม ถึงจะมีเรือเพียงลำเดียวและลูกเรืออีกจำนวนแค่หยิบมือ แต่ศักดิ์ศรีกลับมิได้เป็นรองพลเรือโจรสลัดคนอื่น ถ้าวัดกันแค่ฝีมือด้านการต่อสู้ เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดจะเหนือกว่ากัปตันเรือทั้งสองคนของมีซอร์ด้วยซ้ำ
แต่ความผิดปรกติก็คือ พลเรือโทธารน้ำแข็งแทบไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับความบาดหมางระหว่างพลเรือโจรสลัดด้วยกัน ส่วนใหญ่มีเป้าหมายเพียงรวบรวมข้อมูลและล่าสมบัติ เหมือนกับนักผจญภัยมากกว่าโจรสลัด
ทำไมหล่อนถึงวางแผนลอบสังหารกัปตัน… ไม่สมกับเป็นเธอเลยสักนิด… ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มโจรสลัดธารน้ำแข็งเพิ่งได้รับความเสียหายใหญ่หลวง หลังจากที่พลเรือเอกโลหิตปล่อยข่าวว่าเธอครอบครองกุญแจแห่งมรณา… เป้าหมายการล้างแค้นจึงควรเป็นเซนอลมากกว่ากัปตัน…
มีซอร์จิบไวน์แดงพลางใช้มืออีกข้างบีบนวดหน้าผาก
ผ่านไปสักพัก มันเปลี่ยนมุมมองโดยไม่ยึดติดกับพลเรือโทธารน้ำแข็งมากเกินไป เบี่ยงเบนความสนใจมายังเพลิงพิโรธ·เดนิสแทน
หลังจากนึกเค้นความทรงจำ รูม่านตามีซอร์พลันหดลีบและสั่นเทา มันพบว่าในระยะหลัง สรั่งเรือลำดับสี่แห่งฝันทองคำเริ่มเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์แปลกประหลาดบ่อยครั้ง
เจ้านั่นวางแผนลอบฆ่าเหล็กกล้า·แม็ควิตี้พร้อมกับพุ่มหนามสีเลือด·เฮนดรี้และสควอลผู้เยือกเย็น… เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ค่าหัวพุ่งไปถึงสี่พันสองร้อยปอนด์… โดยหลังจากนั้นไม่นาน ด้วยเหตุผลบางประการที่เราไม่ทราบ ค่าหัวเพลิงพิโรธได้กลายเป็นห้าพันห้าร้อยปอนด์ ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงกว่าเรา…
มีซอร์พึมพำพลางจินตนาการภาพเดนิสอย่างเลือนราง มันเริ่มรู้สึกว่า อีกฝ่ายถูกปกคลุมไปด้วยความลึกลับและน่ากลัว
เจ้านั่นเลื่อนลำดับพลังแล้ว? หรือได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากการค้นพบบางสิ่ง?
มีซอร์ขยับเอว โน้มตัวไปข้างหน้าพร้อมกับวางแก้วไวน์
มันกล่าวเสียงขรึม
“ฉันเคยมองค่าหัวของเดนิสเป็นเรื่องตลก แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้น… เพลิงพิโรธคือโจรสลัดที่คู่ควรกับค่าหัวห้าพันห้าร้อยปอนด์”
มีซอร์จ้องไปทางชายฉกรรจ์·โอซิล
“ช่วยฉันรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเพลิงพิโรธมาให้ฉัน ยิ่งใหม่เท่าไรก็ยิ่งดี!”
…
ณ ห้องพักสุดหรูของโรงแรมวายุคราม
เดนิสเปิดประตูห้อง เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มันรีบกวาดตาไปรอบตัว ตามด้วยการหลีกทางให้อีกฝ่ายเข้ามา
“เป็นยังไงบ้าง… สำเร็จไหม”
หลังจากบานประตูปิดสนิท มักซักถามอย่างสงสัยแกมตื่นเต้น
พลเรือโทโรคภัยโด่งดังในด้านความงดงาม เราเคยเห็นด้วยตาตัวเองมาแล้ว และตระหนักว่าเสน่ห์ที่แท้จริงของเธอเหนือกว่าข่าวลือไปมาก… หากตายไปทั้งอย่างนั้นคงเสียของแย่ ควรจับหล่อนขังคุกตลอดชีวิตมากกว่า…
แม่เย็*! หล่อนก็ไม่ได้สวยไปกว่ากัปตันสักเท่าไรหรอกน่า! หน้าตาแบบนั้นหาได้ทั่วไปในโรงละครแดง!
เดนิสพยายามต่อสู้กับความรู้สึกขัดแย้งในใจ
ไคลน์ยกกำปั้นขึ้นมาจ่อปาก ตามด้วยเสียงไอกระแอมสองหน
“เกือบสำเร็จ” ชายหนุ่มมอบคำตอบหลังจากคอโล่ง
“น่าเสียดาย…” เดนิสถอนหายใจ
ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิด
เกอร์มัน·สแปร์โรว์คือสัตว์ประหลาด!
ไม่เพียงวางแผนลอบเข้าไปในกาฬมรณะเพื่อสังหารพลเรือโทโรคภัยอย่างบ้าบิ่น แต่ยังเกือบทำสำเร็จอีกด้วย! และถึงจะล้มเหลว ก็ยังหนีรอดกลับมาได้โดยแทบจะไร้รอยขีดข่วน!
อย่างที่ทราบกันดี พลเรือโจรสลัดนั้นมีอำนาจค้างฟ้าในทะเล โดยเป็นรองเพียงสี่ราชาโจรสลัดเท่านั้น เหตุผลก็ไม่ซับซ้อน นอกจากฝีมือส่วนตัวจะแข็งแกร่งเป็นทุนเดิม แต่ละคนยังมีบริวารทรงพลังคอยรับใช้ข้างกาย ฉะนั้น การที่นักผจญภัยเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ หนีออกจากกาฬมรณะได้อย่างราบรื่นแม้จะลอบสังหารล้มเหลว คือเครื่องยืนยันเป็นอย่างดีว่า ชายคนนี้มีฝีมือทัดเทียมพลเรือโจรสลัด!
ยุบพองหิวโหยทรงพลังขนาดนั้นเชียว? ไม่สิ ถ้าเป็นเรา ถึงจะมียุบพองหิวโหยสองข้าง ก็คงทำแบบเดียวกันไม่ได้…
เดนิสเริ่มรู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก ที่วันนั้นมันเลือกเป็นมิตรกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มากกว่าตั้งตนเป็นศัตรู
ไคลน์ไอแห้งอีกสองหน ในใจเตรียมวานให้เดนิสออกไปซื้อยาแก้อาการป่วย
แต่มันเกิดเปลี่ยนใจ เพราะเริ่มตระหนักว่าอาการของตนค่อนข้างซับซ้อน หากไม่ให้หมอตรวจซึ่งหน้า คงยากจะได้รับยาที่มีประสิทธิภาพ แม้ว่าจักรพรรดิโรซายล์มหาราชจะคิดค้นยาปฏิชีวนะกึ่งครอบจักรวาลมาแล้วก็ตาม
น่าเสียดายที่ห้วงมิติสายหมอกไม่สามารถใช้เป็นห้องตรวจโรคได้ เพราะอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นอาการป่วยทางกายภาพของร่างเนื้อ ไม่อย่างนั้น เราคงให้เอ็มลินช่วยวินิจฉัย จะได้เลือกซื้อยาได้ถูกชนิด…
ไคลน์เดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำความสะอาด ตามด้วยการเปลี่ยนจากเสื้อชาวประมงไปเป็นชุดสุภาพตามปรกติ และเผาเสื้อผ้าเก่าโทรมเหล่านั้นทิ้งทันที
เมื่อเห็นอีกฝ่ายออกจากห้องน้ำ เดนิสถือถุงกระดาษเดินไปต้อนรับพลางหัวเราะในลำคอ
“รางวัลตอบแทนเจ็ดร้อยปอนด์”
ทันใดนั้น มันและไคลน์ต่างได้ยินเสียงเคาะประตูพร้อมกัน โดยผู้มาเยือนคือกัปตันไอร์แลนด์
กัปตันโมราขาวเดินเข้ามาในห้อง ตามด้วยการจ้องเกอร์มัน·สแปร์โรว์พลางกล่าวเสียงค่อย
“ขณะเตรียมตัวกลับไปยังท่าเรือพริตส์ ผมบังเอิญได้ยินข่าวน่าสนใจเข้า ดูเหมือนจะมีเหตุการณ์ใหญ่ที่น่าเหลือเชื่อเกิดขึ้นในเมืองท่าแบนชี”
……………………