ฟราโว·คอร์ท…
คลีฟส์ยังไม่ตอบหญิงสาวด้านในสำนักงานโทรเลขกลับไป เพียงหันไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์เพื่อรอการตัดสินใจของอีกฝ่าย
ในสายตาของนักผจญภัยมากประสบการณ์ กลุ่มคนเกินหนึ่งโหลกำลังหาทางกลับไปยังโมราขาวอย่างปลอดภัย เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นงานยากเต็มกลืนแล้ว จึงไม่สามารถ และไม่ควร เสียสมาธิไปกับภารกิจตามหาคนหาย
อย่างไรก็ตาม มันย่อมตระหนักว่าเสาหลักในปัจจุบันของคณะเดินทางคือเกอร์มันสแปร์โรว์และเดนิส·เพลิงพิโรธ ดังนั้น การตัดสินใจจึงขึ้นอยู่กับพวกเขาเป็นหลัก
ไคลน์เงียบงันสักพัก ก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“เขามีลักษณะเป็นอย่างไร”
ชายหนุ่มมองว่า การรวบรวมข้อมูลอาจสร้างประโยชน์ได้ในอนาคต เบาะแสเพียงเล็กน้อยสามารถช่วยให้หลุดพ้นจากเกาะหมอกจางและลมพายุรุนแรงแห่งนี้ จึงหยั่งเชิงกลับไปพอเป็นพิธี เพราะไม่มีอะไรให้เสียหาย
ขณะซักถาม ไคลน์เตือนตัวเองมิให้ใจอ่อน ไม่อย่างนั้น ตนอาจเผลอไปขุดคุ้ยโดน ‘อันตรายซ่อนเร้น’ ของท่าเรือแบนชีเข้า
ด้วยสาเหตุดังกล่าว ไคลน์คอยต้องรักษาสมดุลระหว่างการสืบหาข้อมูล และการเพิกเฉยต่อสิ่งผิดปรกติ ห้ามเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งเด็ดขาด คล้ายกับกำลังเดินบนคานทรงตัว
สิ่งนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะไม่มีใครสามารถหยั่งรู้อนาคต ไม่มีคำว่าผิดหรือถูก การตัดสินใจทั้งหมดจึงเกิดจากพื้นฐานประสบการณ์ของไคลน์เพียงอย่างเดียว โดยความพลาดพลั้งสามารถเกิดขึ้นทุกเมื่อ
ประเด็นดังกล่าวทำให้ศีรษะของชายหนุ่มเริ่มปวดแปลบ สมองของมันประมวลผลรวดเร็วกว่าในยามปรกติหลายเท่า
ท่ามกลางบรรยากาศมืดสนิทและสายหมอกเจือจาง ประตูของสำนักงานโทรเลขยังคงปิดและลงกลอนมิดชิด โดยมีเสียงเอื่อยของหญิงสาวเด็ดเล็ดลอดกลับมา
“เขาหน้าตาดีมาก มีดวงตาสองดวง หูสองใบ จมูกหนึ่ง และปากหนึ่ง”
นี่คือคำตอบ? ผู้หญิงคนนี้ยังปรกติดีจริงหรือ? และเหนือสิ่งอื่นใด ทำไมเธอถึงไม่รักษาประเพณีของชาวเมือง? ทำไมถึงกล้าตอบสนองต่อเสียงเคาะประตู!
เดนิสเกิดอยากจะพังประตูเข้าไปสำรวจสภาพภายในสำนักงานโทรเลขให้รู้แล้วรู้รอด
ทันใดนั้น มันเหลือบเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยกมือขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับกดหมวกและเดินไปยังอีกทางหนึ่ง
“วิหารวายุสลาตัน” ไคลน์เอ่ยชื่อปลายทางของตนสั้นกระชับ
มันไม่สนใจความผิดปรกติของหญิงสาวในสำนักงานโทรเลข เฉกเช่นการทำเป็นไม่สนใจความผิดปรกติของเจ้าของภัตตาคารมะนาวและแขกคนอื่นของร้าน
ลมพายุเริ่มซาลง สายหมอกก็จางลงมากเช่นกัน เมื่อเดินเข้าใกล้ไป แสงเทียนจากวิหารวายุสลาตันกำลังส่องลอดออกจากหน้าต่างชั้นบน จนดูคล้ายหอประภาคารท่ามกลางลมพายุไม่มีผิด
หลังจากไคลน์ใช้ ‘ออร่าสุริยัน’ อีกครั้ง ดอนน่าและคนอื่นๆ ต่างได้รับความกล้าหาญกลับคืนมา คล้ายกับการยื่นฟางลงไปช่วยคนกำลังจะจมน้ำ ทุกคนกำลังเร่งฝีเท้าอย่างเป็นระเบียบท่ามกลางบนถนนอันปราศจากผู้คน
เพียงไม่นาน ดอนน่าและคนอื่นเดินมาหยุดยืนด้านนอกวิหารวายุสลาตัน แต่ประตูอยู่ในสภาพถูกปิดสนิทอย่างแน่นหนา ไม่มีช่องเล็ดลอดผ่านเข้าออก
ชายหนุ่มชำเลืองสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งพายุบนประตู ก่อนจะใช้หลังมือกระแทกบานประตูไม้สามครั้ง
ก็อก! ก็อก! ก็อก!
เสียงของผู้ชาย เจือความหวาดระแวง ดังเล็ดลอดออกมาทางช่องว่างประตู
“ใคร?”
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์” ไคลน์ไม่อ้อมค้อม
หลังจากได้ยินเสียง ชายหนุ่มมั่นใจหลายส่วนว่าอีกฝ่ายคือกัปตันไอร์แลนด์
“มาทำอะไร?” ไอร์แลนด์ยิงคำถามโดยยังไม่เปิดประตู
ไคลน์ยกไม้ค้ำพลางมอบคำตอบใจเย็น
“คุณช่วยจ่ายค่าชดเชยของผับฉลามขาวแทนผม”
ไอร์แลนด์ทั้งประหลาดใจและขบขัน พลางยืนยันได้ว่า อีกฝ่ายคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตัวจริง เพราะถ้าเป็นสัตว์ประหลาดชนิดอื่นจำแลงกายมา คงไม่มีทางทราบถึงความลับของคนทั้งสอง
อย่างไรก็ตาม ไอร์แลนด์ยังลังเลและไม่กล้าเปิดประตูไปอีกสักพัก จนกระทั่งได้ยินเสียงของคลีฟส์ เออร์ดี้ และดอนน่า จึงค่อยบอกให้ต้นเรือ·แฮร์ริสปลดล็อกกลอนประตูบานใหญ่
เสียงประตูไม้เสียดสีดังกังวาน ไคลน์เห็นไอร์แลนด์ในหมวกพับทรงทหารเรือ กำลังถือดาบตรงในมือข้างหนึ่ง และปืนคาบศิลาในมืออีกข้าง
“ในนี้มีอะไรผิดปรกติบ้างไหม” หลังจากกวาดสายตาหนึ่งครั้ง ชายหนุ่มซักถาม
ไอร์แลนด์ขยับไปด้านข้างเพื่อหลบให้ดอนน่าและคนอื่นเดินผ่านเข้าไป ตามด้วยการชี้ไปทางโถงสวดมนต์ใหญ่
“คนรู้จักของผม นักบวชเจสซ์ เสียชีวิตด้านในโถงสวมมนต์ ในสภาพศีรษะแยกออกจากร่างกาย… บิชอปมิลเลอร์หายตัวไป รวมถึงนักบวชและคนงานอื่นๆ ของวิหารด้วย”
นักบวชเสียชีวิต บิชอปหายตัว และวิหารไม่มีใครอาศัยอยู่?
ไม่มีอะไรปรกติเลยสักอย่างเดียว…
ไคลน์ยืนถือนกหวีดของแดงเย็นเฉียบของมิสเตอร์อะซิก พลางวิเคราะห์สถานการณ์รอบตัวอย่างเยือกเย็น
แน่นอน ชายหนุ่มย่อมทราบว่า นักบวชและบิชอปไม่ใช่กำลังหลักของมุขมณฑลศาสนา ใต้วิหารจะต้องมีฐานลับของหน่วย ‘ทูตพิพากษา’ ซ่อนอยู่ ประกอบด้วยผู้วิเศษจำนวนหกถึงแปดคน และสมบัติปิดผนึกระดับ 3 อีกจำนวนหนึ่ง ต่อให้เป็นครึ่งเทพ ก็ใช่ว่าจะจัดการเก็บกวาดทุกคนได้ในเวลาอันสั้นโดยไม่มีใครรู้ตัว
ขอเพียงพวกเขายื้อชีวิตและนำสมบัติปิดผนึกออกมาใช้ได้ทัน ปัญหาคงไม่ร้ายแรงเกินไปนัก… เช่นนั้นแล้ว หน่วยทูตพิพากษากำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้?
จากประสบการณ์สมัยยังเป็นเหยี่ยวราตรี ไคลน์พอจะคาดเดาพฤติกรรมและแบบแผนของหน่วยพิเศษอื่นๆ ได้บ้าง
ระหว่างนั้น มันเดินตามไอร์แลนด์เข้าไปในโถงสวดมนต์ขนาดใหญ่ และตรวจดูศพของนักบวชเจสซ์อย่างละเอียด
เจสซ์ถูกฆ่าเหี้ยมโหด ศีรษะขาดออกจากร่างกายทั้งเป็น แตกต่างจากสัตว์ประหลาด ‘ศีรษะ’ ด้านนอก พวกมันยังมีหลอดอาหารติดกับหัว แต่ของเจสซ์กลับไม่มี
ท่ามกลางเนตรวิญญาณ ไคลน์มองไม่เห็นเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของนักบวชเจสซ์ การประกอบพิธีกรรมสื่อวิญญาณจึงไม่น่าจะประสบผลสำเร็จ
เจสซ์ต้องถูกฆ่าด้วยวิธีการพิเศษ หรือไม่ก็ถูกทำลายดวงวิญญาณทิ้งภายหลัง… แตกต่างจากพฤติกรรมของสัตว์ประหลาดด้านนอกค่อนข้างมาก…
มีใครบางคนรีบร้อนอยากให้เจสซ์ตาย?
ไคลน์เริ่มแตกประเด็นน่าสงสัย
ชายหนุ่มมองว่า การหายไปของดวงวิญญาณเจสซ์มีความเป็นได้สองสาเหตุ
ข้อแรก บางสิ่งในห้องใต้ดิน อาจเป็นสมบัติปิดผนึกมีสัญญาณชีพของโบสถ์ เกิดหลุดออกมาและพบกับเจสซ์เข้าพอดี โดยพลังของมันมีลักษณะทำลายดวงวิญญาณโดยตรง หลังจากนั้น เมื่อสมบัติปิดผนึกหลบหนีไปออกเพ่นพ่านด้านนอกวิหาร ทูตพิพากษาและบิชอปจึงผนึกกำลังกันตามล่าชนิดพลิกเกาะขึ้นมาสืบหาเบาะแส ส่วนคนรับใช้อาจถูกต้อนให้ลงไปหลบในห้องใต้ดิน โดยยังเหลือทูตพิพากษาอีกเล็กน้อยคอยคุ้มกัน
แต่เหตุผลข้อนี้ไม่ตอบโจทย์ว่า เพราะเหตุใดชาวเมืองส่วนใหญ่ถึงมือพฤติกรรมผิดแผก
ข้อสอง พิธีกรรมโบราณเกี่ยวกับการบูชา ‘เทพสภาพอากาศ’ ได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ในหมู่ชาวเมืองแบนชี ศีรษะสัตว์ประหลาดบินได้สอดคล้องกับรายละเอียดของพิธีกรรม ซึ่งว่าด้วยการแบ่งเลือดเนื้อของเหยื่อสังเวยให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม รวมถึงการนำกะโหลกศีรษะไว้กึ่งกลางบนแท่นบูชา
ด้วยเหตุผลบางประการ ชาวบ้านกลุ่มนี้ได้บุกเข้ามาฆ่าเจสซ์ถึงในโบสถ์ โดยถึงแม้จะชาวบ้านกลุ่มอื่นล้วนทราบความจริงทั้งหมด แต่ทุกคนเลือกจะนิ่งเงียบ
พวกมันคงบุกโจมตีฐานใต้ดินของทูตพิพากษาและเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ฝั่งชาวบ้านได้เปลี่ยนให้นักบวชและคนงานกลายเป็น ‘สัตว์รับใช้’ เหมือนกับตัวด้านนอก จากนั้นก็ปะทะกับทูตพิพากษาและบิชอป ผู้มีสมบัติปิดผนึกคอยสนับสนุน อย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ควรตัดความเป็นไปได้ว่า กลุ่มนักบวชและคนงานอาจแค่หลบหนีลงไปในชั้นใต้ดินอย่างปลอดภัย และได้รับความคุ้มครองจากทูตพิพากษา เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันหลังจากนั้น…
หากตัดสินจากสภาพศพของเจสซ์ ข้อสองมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า…
ในเวลาเช่นนี้ การลงไปสำรวจฐานทัพลับใต้ดินมีแต่จะได้รับอันตราย
เรื่องนี้ย่อมเข้าใจได้ พวกมันมิได้แสดงท่าเป็นมิตรกับคนแปลกหน้าเป็นทุนเดิม โดยเฉพาะกลุ่มผู้วิเศษนอกกฎหมาย…
นอกจากนั้น กำลังรบของฝ่ายเราก็มีขีดจำกัดมาก…
ไคลน์จ้องศพนักบวชสักพัก ก่อนจะพบว่าตะกอนพลังค่อยๆ รวมตัวจนกลายเป็นผลึกอัญมณีสีน้ำเงิน
ชายหนุ่มเบือนหน้าหนี ไม่อยากเป็นศัตรูกับโบสถ์วายุสลาตันอันเกรี้ยวกราดด้วยเหตุผลเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปกล่าวกับไอร์แลนด์และต้นเรือ·แฮร์ริส
“พวกเรากลับไปขึ้นเรือกันก่อน”
ไคลน์โยนเหรียญทองทำนาย และได้รับคำตอบว่าด้านล่างไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น
มันไม่สนว่าฐานทัพลับข้างล่างจะมีทูตพิพากษาคอยคุ้มกันทั้งหมดกี่คน แต่เนื่องจากฐานดังกล่าวไม่เหมาะแก่การต่อสู้ยืดเยื้อหรือพักอาศัยเป็นเวลานาน ไคลน์จึงดีดเหรียญทำนายเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ตนจะได้เลือกเดินบนเส้นทางถูกต้อง
“ตกลง!” ไอร์แลนด์ไม่ลังเล มันซ่อนตัวอยู่ในนี้เป็นเวลานานเพื่อรอให้จุดเปลี่ยนของเหตุการณ์มาถึง และนี่คือเวลาดังกล่าว
หากพวกมันกลับโมราขาวไปได้ บนเรีอลำนั้นจะมีปืนใหญ่และกะลาสีจำนวนมาก ย่อมทนต่อการบุกโจมตีได้เป็นอย่างดี
หลังจากนั่งพักเอาแรง คณะเดินทางถึงคราวเคลื่อนย้ายตำแหน่ง
เนื่องจากมีไอร์แลนด์และแฮร์ริสเพิ่มเข้ามา การอารักขาพลเรือนจึงทำได้ง่ายขึ้น ไคลน์เก็บนกหวีดทองแดงเข้ากระเป๋า เพราะไม่ต้องการควงเล่นเพื่อรนหาความตาย
“ควรแวะส่งโทรเลขไปหาสำนักงานใหญ่ของโบสถ์วายุสลาตันไหม? รายงานให้พวกเขาทราบถึงสถานการณ์บนเกาะแบนชี”
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ไอร์แลนด์เสนอแนะอย่างรอบคอบ
หากใช้วิธีดังกล่าว ต่อให้สถานการณ์เลวร้ายสักเดียวกัน แต่ถ้ายื้อเวลาไว้ได้สักพัก ความช่วยเหลือก็จะถูกส่งมาถึงในภายหลัง
ไคลน์ไม่คัดค้าน เพียงเดินนำท่ามกลางสายหมอกจางและกล่าวเสียงเรียบ
“สำนักงานโทรเลขอยู่ไม่ไกล”
ฟู่ว! เดนิสเพลิงพิโรธถอนหายใจผ่อนคลาย
แต่ทันใดนั้น หัวใจของมันพลันเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ
เดนิสเริ่มกังวลว่า หากโบสถ์วายุสลาตันส่งคนมาตรวจสอบข้อเท็จจริง และพบว่าโจรสลัดคนดังอย่างตนมีบทบาทสำคัญช่วยให้ทุกคนพ้นจากวิกฤติ มันมองว่า ตนมีสิทธิ์ถูกขังไว้ในโมราขาวขณะแล่นกลางทะเล
จริงอยู่ เราอาจช่วยคนบริสุทธิ์ไว้มากจากเหตุการณ์คราวนี้ แต่ทูตพิพากษาคงมิได้สนใจข้อเท็จจริง…
แถมเรายังเป็นโจรสลัด…
เดนิสกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่พักใหญ่ ก่อนจะได้ข้อสรุปให้ตัวเองว่า ไว้เอาตัวรอดจากความเดือดร้อนตรงหน้าให้ได้เสียก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากัน
หลังจากเดินเท้าไปสักพัก ขณะสำนักงานโทรเลขปรากฏตัวในระยะสายตา สายตาของทุกคนพลันหันไปมองแสงสว่างสีเหลืองนวลท่ามกลางสายหมอกจางทันที
อีกฝ่ายคือชายวัยกลางคน ถือโคมไฟ
มันสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มของบิชอป ปักลวดลายสายลม สายฟ้า และคลื่นทะเล ศีรษะก้มต่ำเล็กน้อย ลมหายใจคล้ายกับกำลังเหนื่อยหอบ
ไอร์แลนด์จ้องมองพลางอุทาน
“บิชอปมิลเลอร์?”
ชายวัยกลางคนเงยหน้า และยกตะเกียงขึ้นมาในระดับสายตา
“ไอร์แลนด์?”
โดยไม่ต้องกล่าวสิ่งใด ไคลน์รีบหลบทางให้ไอร์แลนด์เดินเข้าไปจัดการธุระแทน เนื่องจากชายหนุ่มไม่ต้องการเป็นจุดสนใจในสายตาโบสถ์วายุสลาตันอันเกรี้ยวกราด
เดนิสหดคอให้ตัวเตี้ยลง และอาศัยรูปร่างอ้วนท้วนของเออร์ดี้ช่วยบัง
“ท่านบิชอป ผมเห็นเจสซ์เสียชีวิตภายในวิหาร เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” ไอร์แลนด์ไม่ใช่ไก่อ่อน มันซักถามโดยยังเว้นระยะห่าง
บิชอปมิลเลอร์ไอแห้งสองครั้ง
“ประเพณีเก่าแก่คืนชีพกลับมา ชาวเมืองซึ่งเป็นสมาชิกของลัทธิชั่วร้ายผู้มีเลือดสกปรกไหลเวียนอย่างเข้มข้น กำลังเตรียมสังเวยคนเป็นและแบ่งปันเลือดเนื้อซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียม เจสซ์พบความผิดปรกติได้ก่อนใคร จึงถูกฆ่าปิดปากเป็นรายแรก มาถึงขั้นนี้ คงปิดบังไม่ได้แล้ว… พวกมันใช้พิธีกรรมเพื่อเปลี่ยนสภาพอากาศให้เลวร้ายและบุกโจมตีวิหาร แต่ก็ยังพ่ายแพ้ต่อพวกเราอย่างหมดรูป จึงรีบหนีขึ้นไปยังยอดเขาโดยมีทูตพิพากษาไล่ตามไป อย่างไรก็ตาม ฉันบาดเจ็บหนักในการต่อสู้ เมื่อตระหนักว่าสู้ต่อไปไม่ไหว จึงกะเผลกกลับมาตามลำพังอย่างเชื่องช้า”
ขณะเล่า แสงสว่างพลันวูบวาบมาจากจุดห่างไกล ราวกับบริเวณดังกล่าวกำลังเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด
ด้วยความช่วยเหลือจากแสงสว่าง ไคลน์และคนอื่นเริ่มมองเห็นยอดเขาซึ่งมีสายหมอกเจือจางปกคลุม ท้องฟ้าด้านบนในจุดดังกล่าว มีเมฆฝนฟ้าคะนองกำลังก่อตัว
ฉากดังกล่าวช่วยยืนยันคำพูดของบิชอปมิลเลอร์ได้ในระดับหนึ่ง
ขณะไอร์แลนด์กำลังจะเดินเข้าไปเพื่อพยุงบิชอปสภาพร่อแร่ มุมสายตาของมันเหลือบเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์หยิบเหรียญทองออกมาและบ่นพึมพำ
“ชายคนนี้เป็นตัวอันตราย”
กิ้ง!
เหรียญทองลอยขึ้นฟ้าและตกลงบนฝ่ามืออย่างนุ่มนวล
ด้าน ‘หัว’ เท่ากับหงายขึ้น
ผลลัพธ์ออกมาเป็น ‘ใช่’ !
บิชอปหันมาจ้องไคลน์พร้อมกับเปลี่ยนดวงตาให้กลายเป็นสีแดงสว่าง
……………………