ไคลน์ไม่ได้กลับไปยังบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนทันที แต่พา ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนมายังทะเลแห่งหนึ่งเพื่อหาที่ซ่อนตัวและสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลด้วยน้ำเสียงไพเราะ
จากนั้น มันถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่สายหมอกสีเทา กวักมือเรียกให้กระดาษคนลอยไปหา
มันหยิบไพ่เย้ยเทพใบหนึ่งบนโต๊ะทองแดงยาว สอดไว้ในร่างกาย
เพียงพริบตา ไคลน์สวมเสื้อคลุมสีแดง ประหนึ่งถูกย้อมด้วยเลือดจำนวนมหาศาลที่คละคลุ้งกลิ่นสนิมและควันดินปืน บนใบหน้าปกคลุมด้วยหน้ากากสีทองเข้ม ดูขัดแย้งกับบนศีรษะที่สวมมงกุฎซึ่งประดับไปด้วยอัญมณีสีแดง เขียว และน้ำเงินเรียงชิดกัน
นี่คือการแปลงโฉมที่เกิดจากไพ่นักบวชสีชาด
หลังจากทดสอบดูหลายครั้ง ไคลน์ยืนยันว่าคุณสมบัติของไพ่นักบวชสีชาด สอดคล้องกับการแทรกแซงของ ‘เทวทูตกระดาษ’ ในเชิงชะตากรรม ช่วยให้อำนาจของมิติหมอกแสดงผลได้ดีขึ้นในขอบเขตนี้ มันจึงถูกเลือกมาใช้ก่อนไพ่จักรพรรดิมืดและไพ่ทรราช
หลังจากเตรียมการเสร็จ ไคลน์ที่กลายเป็นนักบวชสีชาด หยิบกระดาษคนขึ้นมาสะบัดแผ่วเบา เคลื่อนพลังลึกลับบนมิติหมอกเข้าไปผสาน จากนั้นก็ส่งออกไปทางจุดแสงที่เกิดจากการสวดวิงวอน
กระดาษคนขยายขนาดอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นเทวทูตอาบแสงสีทอง ด้านหลังมีเปลวไฟบริสุทธิ์ผุดผ่องกำลังลุกท่วมปีกสิบสองคู่
เทวทูตสงครามรายนี้อาศัยการเชื่อมต่อลับๆ ที่สร้างขึ้นจากคำสวดวิงวอน เสด็จลงมายังโลกมนุษย์และห่อหุ้มไคลน์พร้อมกับ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนด้วยปีกเปลวเพลิง
เมื่อจัดการเสร็จ ไคลน์คลายความกังวลลง รีบเก็บไพ่นักบวชสีชาดและส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง
มันออกไปหาอาหารสำหรับยุบพองหิวโหยสักพัก จากนั้นก็ส่งตัวเองและ ‘ผู้ชนะ’ เอ็นยูนกลับบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน คนหนึ่งแปลงโฉมเป็นดอน·ดันเตส ส่วนอีกคนกลับไปเป็นหนุ่มลูกครึ่ง
หลังจากสางผมเล็กน้อย ไคลน์เดินทางระเบียงห้องนอนใหญ่ มองไปยังทิศทางของบ้านส.ส. มัคท์และเห็นแสงไฟ ยืนยันว่างานเลี้ยงเต้นรำยังไม่จบลง
ตามปรกติแล้ว งานเลี้ยงเต้นรำยุติหลังเที่ยงคืน แต่นอน แขกสามารถกลับไปได้ก่อนหน้านั้น เพราะท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงคนหนุ่มสาวที่ยินดีจะเต้นยาวตลอดทั้งคืน
ฟู่ว… อามุนด์น่ากลัวมาก… ขอเพียงมีครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรมเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ มันสามารถสัมผัสถึงได้ทันที… ทั้งที่ฝ่ายหนึ่งอยู่ในเมือง อีกฝ่ายอยู่นอกชานเมือง… หรือว่าในระดับของมันจะมีความอ่อนไหวต่อกฎการดึงดูดของพลังในเส้นทางใกล้เคียงมากเป็นพิเศษ? อา… แต่อาจเป็นเพราะครึ่งเทพคนนั้นใกล้คลุ้มคลั่ง เกิดการกลายพันธุ์ ส่งผลให้อามุนด์ตรวจพบ… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะนึกทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น พลางกังวลว่าตัวเองจะหันไปเห็นชายสวมแว่นขาเดียวกำลังนอนบนเก้าอี้หลังด้านหลังตน
มันรู้สึกโชคดีมากที่ตัวเองกลายเป็นครึ่งเทพแล้ว สามารถลบร่องรอยของมิติหมอกบนโลกความจริง ไม่อย่างนั้น หากอามุนด์สังเกตเห็นสายหมอก เกรงว่าเหยื่อในเหตุการณ์ดังกล่าวจะถูกเบนเข็มมาทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์แทนที่จะเป็นครึ่งเทพเส้นทางนักจารกรรม หากเป็นกรณีหลัง การหลบหนีออกมาคงไม่ราบรื่นขนาดนี้
เนื่องจากทราบว่าอามุนด์ในเบ็คลันด์เป็นร่างโคลน ไคลน์เชื่อว่าลำพังเทวทูตกระดาษเพียงพอที่จะลบร่องรอยได้มิดชิด ต่อให้เป็นราชาเทวทูต แต่ก็ไม่น่าจะตามมาถึงบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนถูก
แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้มันวางใจได้เต็มร้อย เพราะครึ่งเทพของเส้นทางนักจารกรรมคนดังกล่าวก็เคยมีความเกี่ยวข้องกับถนนเบิร์คลุนแห่งนี้
หล่อนเคยเผชิญหน้ากับพลเรือเอกโลหิต เคยลงมือจุดชนวนระเบิดด้วยตัวเองเพื่อรักษาชีวิต หลังจากนั้นก็ไปเป็นปรสิตในตัวหนู… นอกจากนั้น หล่อนยังเคยถูกกระจกวิเศษตักเตือนให้ทราบว่า ในกรุงเบ็คลันด์มีเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมกำลังฟื้นฟูพลัง รวมถึงเรื่องที่ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์กำลังตรงมาที่นี่… หล่อนไม่ยอมตอบคำถามของอาโรเดส ก็เลยถูกฟ้าผ่า หลังจากนั้นก็ย้ายไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์กวางมูส… และเมื่อไม่กี่วันก่อน หล่อนพยายามเข้าสิงร่างเฮเซลที่เป็น ‘ศิษย์’ และในค่ำคืนที่ผ่านมา เฮเซลค้นพบความผิดปรกติของภาพลวงตา จึงเดินทางไปแจ้งให้หล่อนทราบโดยตรงถึงคฤหาสน์… เมื่อนำปัจจัยทั้งหมดมาประกอบกัน มีโอกาสอย่างมากที่อามุนด์จะแวะมาเยี่ยม… ยิ่งครุ่นคิด ไคลน์ก็ยิ่งพบว่าถนนเบิร์คลุนไม่ปลอดภัย
จากมุมมองของมัน ลำพังส่วนที่ว่า ‘มีเทวทูตของเส้นทางนักจารกรรมกำลังฟื้นฟูพลัง’ ก็มาพอที่จะให้อามุนด์เฝ้าจับตามองถนนเส้นนี้ไปอีกสักระยะ!
แน่นอน ยังมีโอกาสเล็กๆ ที่ครึ่งเทพรายดังกล่าวจะหนีรอดจากเงื้อมมืออามุนด์ ไม่แพร่งพรายข้อมูลใดออกไป แต่โอกาสดังกล่าวมีน้อยมาก เพราะแม้แต่ไคลน์ยังมั่นใจว่าตนจะจัดการได้ นับประสาอะไรกับร่างโคลนอามุนด์ที่รู้ทุกซอกทุกมุมของเส้นทางนักจารกรรม!
เฮ้อ… เราไม่น่าไประแวงปู่ในตัวเลียวนาร์ดเลย เป็นเพราะเรากังวลว่าเขาจะทำร้ายเลียวนาร์ดหลังจากฟื้นคืนพลัง ปัญหานี้ก็จะไม่เกิด ไม่ต้องเผชิญสถานการณ์ที่ถูกอามุนด์เฝ้าจับตามอง… เราต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นตัวตนดอน·ดันเตสลำบากแน่ และไม่ใช่แค่ดอน·ดันเตส แต่ยังรวมถึงชาวบ้านบนถนนเบิร์คลุนและเลียวนาร์ดบนถนนพินสเตอร์ ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าอามุนด์จะไม่เข้าสิงใครส่งเดช… ท่ามกลางกระแสความคิดมากมาย สีหน้าไคลน์พลันดำมืดขณะพยายามหาทางขจัดร่างโคลนอามุนด์ออกไป
ความคิดแรกก็คือ ติดต่อกับเลียวนาร์ด ร่วมงานกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์เพื่อคิดแผนการขจัดอามุนด์ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีใครแนะคำใดดีไปกว่าประสบการณ์จากปากเทวทูตเส้นทางนักจารกรรม
ไคลน์หยิบปากกาหมึกซึมและกระดาษขึ้นมาเตรียมเขียน แต่ตวัดไปได้สองสามหนก็ต้องชะงัก
มันพบว่าวิธีนี้โจ่งแจ้งเกินไป เพราะการบรรยายเนื้อหาอย่างละเอียด อาจเกิดการชักนำทางชะตากรรมจนไปดึงดูดความสนใจของอามุนด์เข้า!
วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ ดึงเลียวนาร์ดขึ้นมาบนมิติหมอก บอกให้อีกฝ่ายช่วยเป็นสะพานในการติดต่อสื่อสารกับพาลีส·โซโรอาสเตอร์… นอกจากวิธีนี้ เรายังมีทางเลือกอีกไหม? รายงานโบสถ์รัตติกาลและให้พวกเขาออกปฏิบัติการ ‘ขจัดเชื้อโรค’ ทั่วเบ็คลันด์? ไคลน์วางปากกาลง ครุ่นคิดหาวิธีอื่นๆ
เพียงไม่นาน มันตัดวิธีรายงานให้โบสถ์รัตติกาลทราบออกไป เนื่องจากคุณปู่ในตัวเลียวนาร์ดไม่ยอมใช้วิธีนี้ตั้งแต่แรก แปลว่าน่าจะมีข้อบกพร่อง หรือไม่ก็อาจเกิดอันตรายถึงตัว
คงต้องถามเลียวนาร์ดก่อน ตรวจสอบสถานการณ์เบื้องต้น จากนั้นค่อยตัดสินใจ… ไคลน์คิดไวทำไว
มันอดใจไม่ติดต่อกับกระจกวิเศษอาโรเดส หรือวิล·อัสตินผ่านนกกระเรียนกระดาษ หลังจากบังคับเอ็นยูนให้เดินออกไปนอกห้อง ชายหนุ่มเข้าห้องน้ำในห้องนอนใหญ่ ถอยหลังสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอก
ในตำแหน่งเดอะฟูล ไคลน์เสก ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์และบังคับให้สวดวิงวอน:
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ได้โปรดบอกกับเลียวนาร์ด·มิเชลว่า มีการพบร่องรอยใหม่ของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ ผมต้องการให้เขามาในอาณาจักรของท่านโดยเร็วเพื่อปรึกษาหาวิธีรับมือ ให้เขาเป็นฝ่ายกำหนดเวลานัดได้ตามสะดวก”
หลังจากเปลี่ยนภาพการสวดวิงวอนให้เป็นกระแสพลังและโยนเข้าไปในดาวแดงตัวแทนเลียวนาร์ด ไคลน์เปล่งด้วยเสียงของเดอะฟูลตามหลัง
“ไม่ต้องปิดบังเรื่องนี้จากพาลีส·โซโรอาสเตอร์”
ณ รอบนอกเขตเหนือของกรุงเบ็คลันด์ ภายในป่าโปร่ง
…
เลียวนาร์ดเหยียดมือขวาออก จับเงาที่โปร่งใสและคลุมเครือของหมาป่า
หมาป่าส่งเสียงครวญครางสักพัก ก่อนที่เปลวไฟในดวงตาจะดับลงและกลับเป็นปรกติ
รางของมันเริ่มเลือนรางและจางหายไปกับสายลม แต่มิได้จากไปด้วยความรู้สึกกระหายเลือดเหมือนในตอนแรก มีเพียงความสุขสงบและเยือกเย็น
สำหรับทวีปเหนือ หลังจากยุคสมัยไร้ชีวิตชีวา เจ็ดโบสถ์หลักรวมถึงอาณาจักรต่างๆ ล้วนผลักดันให้มีการฝังศพผู้ตายในสุสาน และถูกปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจวบจนปัจจุบัน ส่งให้จำนวนวิญญาณของมนุษย์ที่กลายเป็นภูตผีลดลงมาก อาจมีข้อยกเว้นในกรณีที่ไม่มีใครพบศพ หรือเป็นการจมน้ำตายที่งมศพขึ้นมาไม่ทัน อย่างไรก็ตาม ‘ผี’ ไม่ได้เกิดจากวิญญาณของมนุษย์ที่ตายไปเพียงอย่างเดียว ในบางกรณีอาจเกิดจากวิญญาณของสัตว์ ส่งผลให้พวกมันไม่สามารถถูกฝังในสุสานเหมือนมนุษย์และจากไปอย่างสงบ
และสิ่งนี้มักกลายเป็นตำนานผีสางในแถบชนบท
หลังจากปลอบวิญญาณหมาป่าเสร็จ ทัศนวิสัยของเลียวนาร์ด·มิเชลก็เต็มไปด้วยสายหมอกไร้ก้นบึ้ง มาพร้อมกับภาพการสวดวิงวอนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
เบาะแสใหม่ของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์… เจ้านั่นยังอยู่ในเบ็คลันด์… เปลือกตาเลียวนาร์ดกระตุกอย่างมิอาจยับยั้ง อากัปกิริยาเผยความตึงเครียด
เนื่องจากมิสเตอร์ฟูลอนุญาต มันจึงไม่ลังเลเลยที่จะลดเสียงลงและพึมพำ
“ตาแก่… เมื่อครู่เห็นอะไรไหม? ได้ยินอะไรไหม?”
เสียงค่อนข้างชราของพาลีส·โซโรอาสเตอร์ดังขึ้นทันที
“ไม่… แม้ข้าจะสัมผัสถึงสิ่งผิดปรกติ แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใด ไม่ได้ยินอะไร… เว้นเสียแต่เจ้าจะยอมให้ข้าเป็นปรสิตที่ฝังรากลึกกว่านี้และควบคุมวิญญาณดาราของเจ้าโดยตรง”
คิดว่าเราโง่รึไง… ดูเหมือนว่า การตอบสนองของมิสเตอร์ฟูลจะเกิดขึ้นผ่านวิญญาณดารา… เลียวนาร์ดครุ่นคิดสักพัก เรียบเรียงคำพูด
“ตาแก่… ไคลน์บอกว่าเขาพบร่องรอยใหม่ของอามุนด์ ต้องการให้ผมเข้าไปในอาณาจักรของมิสเตอร์ฟูลเพื่อปรึกษาหารือ… คุณมีคำแนะนำไหม?”
พาลีส·โซโรอาสเตอร์เงียบไปสักพัก ก่อนจะถอนหายใจยาว
“ถ้าเขาต้องการจะกำจัดร่างโคลนของอามุนด์ในเบ็คลันด์ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ‘พรแห่งการปกปิด’ ไม่อย่างนั้น เขาเองก็คงจินตนาการผลลัพธ์ออก”
การที่พูดแบบนี้ ตาแก่บอกเป็นนัยว่า จะไม่ยอมร่วมมือหากไม่มีพรแห่งการปกปิด? หัวใจเลียวนาร์ดเริ่มเต้นแรง รีบหามุมอับสายตาและสวดวิงวอนฝากข้อความถึง ‘เดอะเวิร์ล’ ไคลน์ว่าตนพร้อมทุกเมื่อ
สำหรับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับร่างต้นในยามที่จิตไม่อยู่ มันไม่กังวลมากนัก เพราะในตัวมีปรสิตเทวทูตเส้นทางนักจารกรรมอาศัยอยู่
เพียงไม่นาน แสงสีแดงก็ท่วมท้นการมองเห็น
…………………………………………..