ดูแล้วผู้อยู่อาศัยทั่วไปในป้อมปราการจะไม่ได้ข่าวเรื่องตัวทดลองหายไปจากป้อมปราการ 113 แม้แต่นิด ทุกคนยังทำกิจกรรมตามท้องถนนเช่นปกติเหมือนก่อนหน้า บ้างก็มุ่งหน้าไปทำงาน บ้างก็จ่ายตลาด บ้างก็เต้นในลาน
ตกดึก เริ่นเสี่ยวซู่มอบหมายงานให้พวกหวังฟู่กุ้ย เมื่อถึงเวลาเช้าก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น รถออฟโรดสีดำขับมาจอดหน้าร้าน ชายหนุ่มสองคนลงมากล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ “พวกเรามารับของครับ หยางเสียวจิ่นบอกว่าตกลงกับคุณไว้แล้ว”
ของที่สองคนนั้นพูดถึงน่าจะเป็นตงฟู่หนาน เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้ตั้งท่าระวังพวกเขา เพราะเรื่องนี้มีแค่เขากับหยางเสียวจิ่นที่รู้
เขาถามอย่างสงสัย “พวกนายสองคนเป็นเพื่อนของหยางเสียวจิ่นกับลั่วซินอวี่เหรอ”
ชายหนุ่มสองคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะ “พวกเราไม่คู่ควรหรอก คุณอย่าถามต่อเลย”
อะไรกันล่ะนั่น เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มสงสัยแล้วว่าโครงสร้างองค์กรของหยางเสียวจิ่นเป็นแบบไหนกันแน่ แล้วมีลำดับชั้นกี่ขั้นกัน
แต่เรื่องนี่ยังไม่ถึงเวลา พระราชวังยังไม่แจ้งมาว่าภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว เขาก้มดูเวลา แล้วเห็นว่าอีกครึ่งชั่วโมงถึงจะครบเจ็บวันพอดี
เริ่นเสี่ยวซู่มองชายหนุ่มทั้งสอง “ยังเอาตัวเธอไปไม่ได้ ต้องรอสักพักก่อน”
ชายหนุ่มทั้งสองสงสัย “ทำไมต้องรอด้วย มีเรื่องสำคัญที่คุณต้องทำก่อนงั้นเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่คิด ใช่ว่าฉันจะบอกพวกนายว่าภารกิจยังไม่สำเร็จได้เสียหน่อย “อืม ยังมีเรื่องสำคัญที่ฉันต้องจัดการก่อน พวกนายสองคนไปรอหลังร้านแล้วกัน ขอฉันคุยอะไรกับเธอแปปหนึ่ง”
ไม่ถึงห้านาทีต่อมา สองหนุ่มก็เห็นตงฟู่หนานใบหน้าบวมช้ำกำลังนั่งลงบนม้านั่งตัวน้อยอย่างเชื่อฟังที่ลานด้านหลัง ขณะเดียวกันเริ่นเสี่ยวซู่ก็ประชันหน้าคุยกับเธอเสียงเคร่ง “ฉันเชื่อว่าหลังจากได้ใช้แรงงานอย่างหนักเธอก็รู้ความผิดของตัวเองแล้ว วันนี้ฉันจะมอบเธอให้กับคนอื่น หวังว่าพอไปถึงที่นั้นแล้วเธอจะกลายเป็นคนที่ดีนะ เป็นคนที่ทำคุณประโยชน์เพื่อสังคม เป็นผู้มีพลังพิเศษที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่สาธารณะ…”
เขาพูดน้ำไหลไฟดับกับเธอครึ่งชั่วโมงติด…
สองหนุ่มจากผู้ก่อจลาจลตาค้างไปแล้ว แบบนี้เรียกแปปหนึ่งเหรอ!
พวกเขานึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะพูดแค่สองสามคำเสียอีก ไม่นึกว่าจะยาวขนาดนี้
ตงฟู่หนานไปทำเรื่องโหดร้ายอะไรมาถึงต้องได้รับการปรับทัศนคตินานขนาดนี้…
ตอนเริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าตงฟู่หนานใกล้สติแตกแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงพระราชวังพอดี [ภารกิจรองเสร็จสิ้น ปลดล็อคสินค้าใหม่ในตู้หยอดเหรียญI]
เริ่นเสี่ยวซู่โล่งอก เขายื้อเวลาส่งตัวตงฟู่หนานได้เรียบร้อย ตงฟู่หนานเห็นว่าในที่สุดเริ่นเสี่ยวซู่ก็หยุดพูดได้เสียทีก็แทบบ่อน้ำตาแตก ก่อนหน้านี้ที่เฉินอู๋ตี๋บอกว่าอาจารย์เขาคือเริ่นเสี่ยวซู่ เธอแทบไม่เชื่อเลย แต่เธอต้องตะลึงไปที่เริ่นเสี่ยวซู่จู้จี้จุกจิกไม่ได้ต่างจากพระถัมซัมจั๋ง!
เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวกับชายหนุ่มทั้งสองอย่างยินดี “เอาล่ะ พวกนายเอาตัวเธอไปได้แล้ว”
ชายหนุ่มทั้งสองมองใบหน้าคาดหวังของตงฟู่หนานแล้วในใจก็คิดว่าพวกตนอาจไม่ต้องไปสอนสั่งเธอแล้วก็ได้ พวกเขารู้สึกว่าตราบใดที่เอาเธอออกห่างเริ่นเสี่ยวซู่ได้ เธอคงซาบซึ้งใจพวกตนไม่เบา…
หลังจากตงฟู่หนานถูกพาตัวไปแล้ว ในที่สุดเริ่นเสี่ยวซู่ก็มีโอกาสได้ดูตู้ยอดเหรียญในพระราชวังเสียที เขาเห็นช่องหนึ่งปรากฎขึ้นมาผ่านหน้าต่างโปร่งใส
เริ่นเสี่ยวซู่ดูของในช่องแล้วสับสนเล็กน้อย ดูเหมือนจะเป็นไพ่โป๊กเกอร์สำรับหนึ่ง ลำบากลำบนตั้งเยอะกว่าจะทำภารกิจเสร็จ ไหงเอาไพ่มาให้ฉันสำรับหนึ่งละเนี่ย คิดจะให้ฉันเล่น ‘ไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ด’ กับตงฟู่กุ้ย เหยียนลิ่วหยวน แล้วก็คนอื่นๆ หรือไง
ยุคสมัยนี้ไพ่โป๊กเกอร์ก็เป็นของบันเทิงอย่างหนึ่งเหมือนกัน เริ่นเสี่ยวซู่เห็นสินค้าใหม่ในตู้หยอดเหรียญเป็นไพ่สำรับหนึ่งก็งุนงงอยู่ไม่น้อย
ข้างใต้ช่องเขียนแนะนำว่า ‘โป๊กเกอร์ระเบิด’
เริ่นเสี่ยวซู่ลองหยอดเหรียญคำขอบคุณ แต่สุดท้ายตู้หยอดเหรียญก็ให้ไพ่สามดอกจิกมาหนึ่งใบ!
เขารอดู ตอนอยู่บนมือมันไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้น ระเบิดอะไรยังไงเนี่ย แล้วก็นะคนอื่นขายไพ่เป็นสำรับ แต่แกนี่แม่*ขายหนึ่งใบต่อหนึ่งเหรียญคำขอบคุณ!
เริ่นเสี่ยวซู่ทำใจเชื่อไม่ลง และลองหยอดเพิ่มอีกเหรียญ คราวนี้เป็นไพ่ห้าหลามตัด เขาเงยหน้ามองเจ้าตู้หยอดเหรียญด้วยสายตาอึ้งๆ
ในใจคิดอะไรบางอย่างได้เลือนลาง เขาหยอดเหรียญคำขอบคุณรัวๆ สิบกว่าเหรียญ ไพ่ถูกจ่ายออกเรื่อยๆ
เริ่มเสี่ยวซู่ดู ‘โป๊กเกอร์’ ระเบิดที่อยู่บนตู้หยอดเหรียญ จากนั้นก็มอง ‘ไพ่สาม’ สี่ใบที่เพิ่งได้มาก่อนจะตกอยู่ในภวังค์…
…
วันต่อมา เริ่นเสี่ยวซู่กับหวังฟู่กุ้ยแยกย้ายออกไปทำภารกิจ ป้อมปราการ 109 มีประตูสองแห่ง หนึ่งทางตะวันออก และหนึ่งทางตะวันตก
ป้อมปราการ 113 ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของป้อมปราการ 109 ถ้าตัวทดลองจะมาที่นี่ ก็ต้องมาทางประตูตะวันออกก่อน เริ่นเสี่ยวซู่เช่าบ้านล้อมสวนไว้หลังหนึ่งที่ประตูตะวันตก คืนนี้พวกเขาจะย้ายมาที่นี่กัน
แบบนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็จะได้หนีออกประตูตะวันตกได้ง่ายๆ
ที่เหลือที่ต้องทำคือการซื้อพวกเสบียง!
พอรู้อยู่แล้วว่าภัยพิบัติกำลังมาถึง เริ่นเสี่ยวซู่ย่อมไม่หนีแบบเร่งรีบเหมือนก่อนหน้าอีก คราวนี้พวกเขาจะหนีไปแบบของเตรียมพร้อมพรักจะเดินทาง
แต่ก่อนอื่น สิ่งที่พวกเขาต้องเตรียมให้มากที่สุดก็คือ…เงินสด
จริงๆ แล้วทุกคนไม่ค่อยมีเงินกันเท่าไร ยาดำก็ไม่ได้ขายมาพักใหญ่แล้ว แถมเหล่าหวังก็ไม่มีเวลาไปแลกยาแก้อักอักเสบเป็นเงินสดอีก ดังนั้นภารกิจด่วนตอนนี้คือเริ่นเสี่ยวซู่ต้องขายทองเป็นเงิน!
ก่อนหน้านี้ ถ้าเอาทองไปขาย เขากลัวว่าจะเป็นการเปิดเผยตัวตนและโดนกองดูแลความสงบเรียบร้อยตรวจสอบเข้า เขาเลยผัดวันประกันพรุ่งมาตลอด
ถ้าหลัวหลานผิดสังเกตเขาขึ้นมา เขาจะทำตัวอย่างไรล่ะ
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่กังวลเรื่องนั้นแล้ว ในเมื่อเขาจะหนีไปจากป้อมปราการนี้อยู่แล้ว จะมีอะไรให้กลัวอีกล่ะ
แถมสูเสี่ยนฉู่ก็โผล่หน้ามาที่ป้อมปราการแล้วด้วย เขาจะแลกทองเป็นเงินสดในป้อมปราการ 109 ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก
ช่วงหนึ่งของวัน เริ่นเสี่ยวซู่สวมหมวกและแวะเข้าร้านทองสิบกว่าแห่ง แต่ละที่เขาขายทองแท่งหนักประมาณหนึ่งร้อยกรัม จากราคาทองในป้อมปราการ น่าจะตกอยู่ราวๆ สี่หมื่นหยวนได้
ทองแท่งหนักหนึ่งร้อยกรัมไม่ได้มากนักสำหรับร้านทอง และก็ไม่ค่อยดึงดูสายตาคนด้วย
แต่ทองแท่งที่ไม่มีตราประทับย่อมเป็นที่ผิดสังเกต ใครมันจะว่างขนาดเอาทองเป็นหลอมเป็นทองแท่งได้ คนส่วนใหญ่ที่มาล้วนขายทองรูปพรรณกันทั้งนั้น
แต่เริ่นเสี่ยวซู่จะมีหนทางไหนอีก ถ้าเขาไม่หลอมทองเป็นทองแท่ง ทองรูปพรรณที่เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันจนหมองมันเด่นกว่าอีก
ดังนั้นพอเขาออกจากร้าน เถ้าแก่บางร้านก็แจ้งไปที่กองดูแลความสงบเรียบร้อยทันที พอเถ้าแก่ร้านทองร้านสุดท้ายที่เริ่นเสี่ยวซู่ไปเยือนเห็นทองแท่ง เขาก็อึกๆ อักๆ “นะ…นายคือสูเสี่ยนฉู่?”
เริ่นเสี่ยวซู่แสดงละครว่าตกใจ “รู้ได้ยังไง!”
จากนั้นก็หันหลังวิ่งจู๊ดออกจากร้านทองด้วยท่าทางร้อนรน…