ช่วงที่เขาอยู่ป้อมปราการ 109 เขาเคยได้ยินชื่อจื่อเหลียวกับฟางอวี้จิ้งตอนอยู่บนรถราง ตอนนั้นเขายังสงสัยอยู่เลยว่าดาราในป้อมปราการนี้เป็นคนของผู้ก่อจลาจลเหมือนลั่วซินอวี่หรือเปล่า
แต่ให้หลังเขาก็รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดแล้ว ตอนที่มีหายนะใหญ่ตกใส่ป้อมปราการ 109 ลั่วซินอวี่และลู่หย่วนตั้งใจมารอหยางเสียวจิ่นที่แดนรกร้าง แต่นอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีใครอีก ถ้าดาราทั้งสองเป็นสมาชิกของผู้ก่อจลาจลจริง พวกเธอคงถูกรับกลับไปด้วยแล้ว
อีกอย่างถ้าฟางอวี้จิ้งเป็นคนของผู้ก่อจลาจลจริง เธอคงไม่ต้องเข้ามาหาตนด้วยท่าทางแบบนี้หรอก คงเป็นแบบลั่วซินอวี่ที่ทักทายเริ่นเสี่ยวซู่อย่างเปิดเผยตอนที่รู้ว่าเป็นเพื่อนบ้านกันต่างหาก
ดูเหมือนว่าผู้หลบหนีที่ตั้งก๊กตั้งเหล่าจะรู้ตัวตนของฟางอวี้จิ้งแล้วจึงคิดลงมือกับเธอ สุดท้ายเธอเลยต้องเข้าหาเริ่นเสี่ยวซู่เพื่อขอความช่วยเหลือแบบอ้อมๆ
ไม่ว่าการอนุมานของเขาจะถูกหรือไม่ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่คิดจะเข้าไปไปยุ่งกับชะตากรรมของฟางอวี้จิ้งอยู่ดี แต่ถ้ามีคนอยากจะละเมิดศีลธรรมเธอตอนเธอกลับไปแล้วล่ะก็ เฉินอู๋ตี๋คงได้ลงมือฟาดคนแน่นอน…
ณ จุดนี้ เริ่นเสี่ยวซู่ปล่อยให้เฉินอู๋ตี๋ทำความดีได้เต็มที่เลย แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็เตือนเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าเปิดเผยพลังพิเศษออกมา ซึ่งก็กล่าวเช่นนี้กับเจียงอู๋เช่นกัน
ไม่มีใครทันสังเกตการปลุกพลังของเจียงอู๋เมื่อคืนเพราะผู้หลบหนีกำลังวิ่งแตกกระเจิง ในสายตาของผู้หลบหนีคนอื่นๆ พวกเขาจึงเป็นแค่กลุ่มติดอาวุธเท่านั้น แบบนั้นถ้าไปถึงป้อมปราการต่อไป ก็จะไม่ดึงดูดความสนใจจากสมาคม นี่เป็นเหตุผลด้วยว่าทำไมเมื่อคืนเริ่นเสี่ยวซู่ถึงใช้ปืนแทนที่จะเป็นพลังพิเศษ อย่างไรตอนนี้องค์กรส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นมิตรกับผู้มีพลังพิเศษนัก
ทันใดนั้นก็มีเสียงเครื่องยนต์ดังแว่วมาจากเบื้องหน้า เริ่นเสี่ยวซู่หันไปตามเสียง แล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นรถขบวนหนึ่งขับมา ที่ข้างรถเห็นเป็นสัญลักษณ์แมงมุมขาวของสมาคมตระกูลหลี่ชัดเจน
ที่จริงมันไม่ใช่รูปแมงมุมขาวหรอก แต่เป็นรูปนาโนแมชชีนที่มีลักษณะคล้ายแมงมุมซึ่งมีหน้าตาเป็นเหลี่ยมเป็นมุมต่างหาก
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว คนของสมาคมตระกูลหลี่เป็นอะไรที่เขาไม่อยากเห็นเลยจริงๆ
รถบรรทุกทหารนับร้อยคันค่อยๆ เข้ามาหยุดตรงหน้ากลุ่มผู้หลบหนี บนล้อยางรถมีโซ่ใส่กันลื่นบนหิมะพร้อมพรัก
ทหารสิบกว่าหน่วยกระโดดลงมาจากรถและเข้าไปใกล้กลุ่มผู้หลบหนี ทุกคนกรีดร้องตะโกนขอความช่วยเหลือดั่งได้เจอหน้าผู้ช่วยเหลือ ราวกับได้เจอหน้าญาติพี่น้องอีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น
นายทหารเดินนำมาถามเสียงเย็น “พวกนายมาจากไหนกัน”
ผู้หลบหนีคนหนึ่งที่น้ำตานองหน้ากล่าว “พวกเราเป็นพลเมืองของป้อมปราการ 109 ครับท่าน พวกเราหนีมาจากที่นั้น”
ผู้หลบหนีอีกคนพูดอย่างปลื้มปิติ “เห็นไหมฉันบอกแล้วว่าเดี๋ยวหน่วยช่วยเหลือต้องเจอพวกเราแน่ สมาคมตระกูลหลี่ไม่ลืมเราหรอก พวกคุณมีอาหารไหมครับ พวกเราหิวจะตายแล้ว”
แต่นายทหารกลับแค่นเสียง “ฉันไม่ได้มาช่วยพวกนาย พวกเราได้รับคำสั่งให้ไปกำจัดผู้รุกรานที่ป้อม 109 พวกเราได้รับคำสั่งมาให้ส่งทุกคนกลับไปเมืองน้อยนอกป้อม 108 และพวกเราก็ไม่ได้มีหน้าที่หาอาหารให้ด้วย”
เหล่าผู้หลบหนีชะงักงัน “พวกคุณไม่คิดจะช่วยอะไรพวกเราหน่อยเหรอ”
นายทหารหันไปหาผู้ช่วยตนด้านข้าง “นับจำนวนหัว”
พวกทหารของสมาคมนับจำนวนของผู้หลบหนีอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ต้นจนจบปืนยังคงจ่อไปที่ผู้หลบหนีกันพวกเขาก่อความวุ่นวาย
พอผู้หลบหนีที่เกิดความคิดจะต่อต้านเห็นปืน ก็สงบเสงี่ยมเป็นเต่าหัวหดไม่กล้าทำอะไร
ยามแรกที่เห็นทหารมาถึง ทุกคนยินดียิ่งราวกับได้กลับมาพบครอบครัว แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าคนพวกนี้ไม่ใช่ญาติพี่น้องของตนหรอก
สุดท้ายมีคนทนไม่ไหว ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาข้างหน้า “พี่เขยของผมเป็นหัวหน้าหน่วยในกองดูแลความสงบเรียบร้อยของป้อมปราการ 108 ได้โปรดเถอะครับ พาผมกลับไป พี่เขยผมต้องให้ของตอบแทนอย่างงามแน่นอน”
นายทหารยิ้ม “ตอนนี้พลเรือนทุกคนถูกห้ามผ่านเข้าป้อมปราการเด็ดขาด ต่อให้ทุกคนกลับไปกับพวกเราตอนนี้ก็เข้าป้อมปราการไม่ได้อยู่ดี อย่าพูดอะไรพล่อยๆ จะดีกว่า หวังว่าจะเข้าใจนะว่าสภาพการณ์ตอนนี้ตอนนี้เป็นยังไง ตอนนี้ทุกคนคือผู้อพยพ ไม่ได้เป็นพลเมืองของป้อมปราการอะไรอีก แถมนะ จะให้หัวหน้าหน่วยเล็กๆ ในกองดูแลความสงบเรียบร้อยมาให้รางวัลตอนแทนกองทัพของสมาคมตระกูลงั้นเหรอ เพ้อไปหน่อยแล้วมั้ง”
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินแบบนี้ก็รู้ทันทีว่าสมาคมตระกูลหลี่น่าจะเพิ่มความเข้มงวดในการคัดคนเข้าป้อมปราการจากบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากป้อมปราการ 109 ต้องกันไม่ให้พวกตัวอันตรายเข้ามาในป้อมปราการ
แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เริ่นเสี่ยวซู่ต้องการพอดี เขาไม่อยากเข้าไปในป้อมปราการภายใต้การควบคุมของสมาคมตระกูลหลี่หรอก ไม่รู้ว่าหลี่เสินถานวางแผนอันตรายอะไรไว้อีก
จากที่พวกเขาคุยกัน เริ่นเสี่ยวซู่บอกได้เลยว่าทหารที่สังกัดสมาคมตระกูลหลี่โดยตรงนั้นไม่สนใจอำนาจจัดการของป้อมปราการเลย แค่นี้ก็พอรู้แล้วว่ากองทัพสำคัญขนาดไหนต่อทั้งสมาคม
ชายคนหนึ่งแหว “พวกเรากลับไปแล้วจะทำยังไงต่อล่ะ จะให้พวกเรากลายเป็นผู้อพยพในเมืองน้อยนั่นน่ะนะ แต่พวกเราคือพลเมืองของป้อมปราการ!”
นายทหารยิ้ม “ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่ไป สมาคมตระกูลหลี่ของเราเปิดเกณฑ์ทหารชุดใหม่ คนที่อยู่ในวัยที่เหมาะสมจะต้องเข้าร่วมกองทัพ ใครจะไปรู้ หนึ่งในพวกนายอาจจะมาอยู่ใต้การบังคับบัญชาของฉันในอนาคตก็ได้ ส่วนผู้หญิง พวกเธอจะถูกส่งไปโรงงานคอยเย็บเครื่องแบบทหารให้ทหารเกณฑ์ ตอนนี้อยู่ช่วงในสงคราม ฉันคงไม่ต้องอธิบายอะไรให้ทุกคนฟัง”
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว สมาคมตระกูลหลี่คิดจะเกณฑ์ทหารใหม่เช่นนั้นหรือ เขาแม่*คงไม่โดนเกณฑ์ไปด้วยใช่ไหม! หลังป้อมปราการถูกทำลาย เท่ากับสมาคมตระกูลหลี่ก็เสียกองกำลังไปหนึ่งป้อมปราการด้วย เพื่อที่จะเผชิญหน้ากับโลกที่นับวันจะอันตรายยิ่งขึ้น พวกเขาย่อมต้องเกณฑ์ทหารมากขึ้นเช่นกัน
แถมที่ป้อมปราการ 109 ล่มสลายนั้นเป็นผลพวงจากหลายองค์กร ถ้าสมาคมตระกูลหลี่อยากล้างแค้น พวกเขาต้องขยายกำลังทหารออก
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะโดนเกณฑ์ไปเข้าร่วมด้วย!
“พี่ เอาไงต่อดี” เหยียนลิ่วหยวนกระซิบ
ทันใดนั้นนายทหารก็กล่าวกับผู้ช่วยว่า “โทรหากองกำลังส่วนตัวว่าพวกเราเจอผู้ลี้ภัยแล้ว ให้พวกเขามาพาคนพวกนี้กลับไป แล้วก็ให้พวกเขาจับตาคนพวกนี้ให้ดีด้วย”
ผ่านไปพักหนึ่ง รถบรรทุกทหารสิบกว่าคันก็ขับมาหลังพวกเขา เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ทำอะไรต่อไม่ได้แล้วล่ะ ตามพวกเขาไปเมืองน้อยที่ป้อม 108 ก่อนแล้วกัน จากนั้นค่อยหาโอกาสหนี”
จะให้ใช้กำลังหนีตอนนี้ไม่ไหวหรอก ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่คนเดียว เขาคงจากไปได้ตามใจ แต่ถ้าเขาไปจริงๆ พวกเหยียนลิ่วหยวนจะทำอย่างไรล่ะ
ชายหญิงถูกแยกขึ้นรถคนละคัน เหล่าทหารจากกองกำลังส่วนตัวยกปืนไรเฟิลอัตโนมัติขึ้นมาทั้งจับตาอย่างใกล้ชิด ราวกับกลัวว่าพวกตนจะหนีไปอย่างไรอย่างนั้น
ก่อนที่พวกเขาจะแยกทางกัน เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองเจียงอู๋และบอกว่า “รอบนี้ครูต้องปกป้องเสี่ยวอวี้ ส่วนผมจะปกป้องพวกนักเรียนชายให้เอง แต่ทุกคนที่เหลือก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วย”
เจียงอู๋มองเขาและพูดอย่างเคร่งเครียด “ได้ เธอระวังตัวด้วยนะ”
คุยกันเสร็จ เริ่นเสี่ยวซู่ เหยียนลิ่วหยวน เฉินอู๋ตี๋ และผู้ชายคนอื่นๆ ก็ขึ้นรถบรรทุกไป ส่วนเสี่ยวอวี้ เจียงอู๋ และผู้หญิงคนอื่นๆ ก็ขึ้นไปอีกคัน