the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 203 ยกเว้นเกณฑ์ทหาร

เครื่องยนต์ส่งเสียงดังกระหึ่ม ลมหนาวที่พัดทะลุเข้ามาจากช่องลมไม่ต่างจากมีดกรีดจนใบหน้าคนเจ็บแปลบ

ตอนแรกเริ่นเสี่ยวซู่กังวลว่ารถบรรทุกทหารนี้จะพาชายหญิงแยกไปคนละจุดหมายกัน อย่างเช่นส่งพวกผู้หญิงไปทำงานที่โรงงานเลย แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้นเขาก็พอโล่งอกได้ชั่วคราว

หวังฟู่กุ้ยหน้านิ่วคิ้วขมวด “พวกเราเอาจักรยานมาด้วยไม่ได้”

พูดจบหน้าของเริ่นเสี่ยวซู่ก็คล้ำเขียว…

ตั้งแต่ออกจากป้อมปราการ 113 มา ครั้งนี้เป็นครั้งที่พวกเขาเสียหายสุด…

แต่แดนรกร้างก็เช่นนี้ ทรัพย์สินล้วนเป็นของนอกกาย สิ่งใดต้องสละก็สละไป ชีวิตมนุษย์ก็ไม่ต่าง ไม่ต้องพูดถึงจักรยานเลย!

สถานการณ์ในตอนนี้ ต่อให้เริ่นเสี่ยวซู่กับเฉินอู๋ตี๋เป็นผู้มีพลังพิเศษ พวกเขาก็ยังยากจะต่อกรกับทหารกองทัพหนึ่งได้อยู่ดี

เริ่นเสี่ยวซู่มองตามกองกำลังของสมาคมตระกูลหลี่ที่กำลังมุ่งหน้าไปทางป้อมปราการ 109 เขาก็รู้สึกว่าในอนาคตตนคงไม่มีโอกาสได้เห็นคนพวกนั้นอีกแล้ว เขาไม่คิดหรอกว่าทหารกองทัพนี้จะสู้รบในเมืองกับตัวทดลองพันกว่าตัวได้ ยกเว้นแต่ว่าสมาคมตระกูลหลี่จะใช้อาวุธหนักถล่มป้อมปราการให้เป็นหน้ากลองน่ะนะ

แต่ที่ป้อมปราการถูกสร้างขึ้นมาก็เพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากรในภูมิภาค สมาคมตระกูลหลี่จะยอมทำลายทั้งป้อมปราการแบบนั้นจริงๆ หรือ ไม่มีทางหรอก การระเบิดป้อมปราการทิ้งและสร้างใหม่จากเศษซากนั้นมีราคาที่ต้องจ่ายสูงเกินไป

รถบรรทุกดิ่งผ่านหิมะนานเจ็ดแปดชั่วโมงรวด ระหว่างเดินทาง รถบรรทุกบางคันเกิดเครื่องขัดข้องขึ้นมา คนถึงมีโอกาสได้ออกมายืดเส้นยืดสายหรือปลดทุกข์บ้าง

ทหารกองกำลังส่วนตัวจับตามองพวกเขาเหมือนนักโทษกลุ่มหนึ่ง เริ่นเสี่ยวซู่สบสายตากับเสี่ยวอวี้และเจียงอู๋จากไกลๆ แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไร

หลังจากรถบรรทุกซ่อมเสร็จ ขบวนรถจึงเคลื่อนตัวต่อ ช่วงซ่อมเครื่อง หวังฟู่กุ้ยก็เข้าไปคุยกับพวกทหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาเก่งสุดแล้ว เพียงไม่นานเขาก็สนิทกับทหารที่ทำหน้าที่จับตามองพวกตน

พอกลับขึ้นมาบนท้ายรถบรรทุก หวังฟู่กุ้ยก็กระซิบกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังตรงไปที่เมืองน้อยนอกป้อม 108 เลยนะ พวกเราก็รู้อยู่แล้วว่าทหารพวกนี้เป็นยังไง เดี๋ยวพอถึงที่นั่นแล้ว ฉันจะหาทางเสนอเงินหรือยาปฏิชีวนะให้พวกเขายกเว้นเราจากการเกณฑ์ทหารกับการใช้แรงงาน”

‘ใช้แรงงาน’ ที่ว่าหมายถึงงานที่ผู้ลี้ภัยเพศหญิงถูกเกณฑ์ไปทำที่โรงงาน

การมีคนอย่างหวังฟู่กุ้ยในกลุ่มด้วย ข่าวสารต่างๆ เข้าถึงได้ง่ายไม่เลว เริ่นเสี่ยวซู่กับคนอื่นๆ คุยกับผู้คนไม่เก่งนัก หวังฟู่กุ้ยเลยต้องทำหน้าที่นี้แทน

เริ่นเสี่ยวซู่กระซิบถาม “ลุงได้ลองถามพวกเขาไหมว่าป้อมอื่นๆ ของสมาคมตระกูลหลี่สภาพเป็นยังไง”

“ฉันถามแล้ว แต่เห็นว่าทุกอย่างปกติดีนะ” หวังฟู่กุ้ยตอบ “แต่ตอนนี้พวกเขาเตรียมรับมือเต็มที่เลย สมาคมตระกูลหลี่ประกาศให้โลกรู้แล้วว่าพวกตนอยู่ช่วงเตรียมพร้อมสงคราม ดูเหมือนว่าอีกไม่นานจะมีสงครามเกิดขึ้นแล้วล่ะ”

“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้แค่คิดจัดการกับตัวทดลองแฮะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “ถ้าแค่จัดการพวกตัวทดลอง เขาคงไม่ต้องให้ป้อมปราการนับสิบเตรียมพร้อมการรบทีเดียวเลยหรอก”

แต่ว่าสมาคมตระกูลหลี่เอาความมั่นใจในการเริ่มสงครามมาจากไหนกัน จะพึ่งไอ้เจ้านาโนแมชชีนนั่นน่ะเหรอ

หยางเสียวจิ่นเคยพูดว่าต่อให้สมาคมตระกูลหลี่ทำลายผลงานวิจัยที่ทุกคนต่างหมายตาไม่ทัน แต่พวกเขาคงส่งข้อมูลงานวิจัยผ่านเครือข่ายดาวเทียมออกไปเรียบร้อยแล้วแน่นอน ดังนั้นงานวิจัยของสมาคมตระกูลหลี่จึงยังอยู่ดี

ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงเกิดคำถามขึ้นมา ถ้าเป็นในกรณีนี้จริง ฮาร์ดไดรฟ์พกพานั่นก็น่าจะเป็นสิ่งที่ตั้งใจทิ้งไว้สิ ถ้าสมาคมตระกูลหยางคิดจะใช้จริง ก็น่าจะตรวจสอบให้ดีก่อน ไม่อย่างนั้นคงตกไปในกับดักอันหนึ่ง

นิสัยของเริ่นเสี่ยวซู่ก็เป็นเช่นนี้ คนอื่นอาจจะไม่คิดมาก แต่ถ้าเขารู้สึกว่ามีอะไรผิดปกตินิดหน่อยก็จะระมัดระวังเป็นพิเศษ

ตอนนี้ทางออกที่ดีที่สุดคือใช้เงินหาทางยกเว้นเกณฑ์ทหารกับการใช้แรงงาน พวกทหารในรถบรรทุกที่ต้องออกไปเผชิญอากาศหนาวๆ สบถไม่หยุด พวกเขาคล้ายกับทหารกองกำลังส่วนตัวที่อยู่ในความทรงจำของเริ่นเสี่ยวซู่

ทหารพวกนี้โลภมาก สมองคิดแต่เรื่องเงิน ตอนที่อยู่บนรถบรรทุก หวังฟู่กุ้ยลอบมอบของที่มีค่ามากที่สุดให้เริ่นเสี่ยวซู่ไปเก็บไว้ในช่องเก็บของ กันไม่ให้พวกทหารเห็นของมีค่าแล้วเกิดความคิดเป็นอื่นขึ้น

ผู้ลี้ภัยมีสีหน้าหมองคล้ำ พวกเขานึกว่าพอกองกำลังของสมาคมตระกูลหลี่มา ตนเองจะได้รับการช่วยเหลือแล้ว ไม่คิดเลยว่ามันจะกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ เปลี่ยนจากชาวป้อมปราการเป็นผู้อพยพ ดิ่งลงเหวแบบนี้ยากรับได้ยิ่งนัก

ตอนที่ใกล้ถึงป้อมปราการ ขบวนรถของกองกำลังส่วนตัวก็หยุดลง นายทหารที่คร้านจะใส่หมวกเบเรต์ให้ดีด้วยซ้ำพูดระหว่างยัดชายเสื้อเข้ากางเกงว่า “คือว่าพวกเราก็ไม่อยากให้ทุกคนต้องไปลำบากเป็นทหารหรือใช้แรงงานหรอกนะ แต่มันเป็นคำสั่งจากเบื้องบนน่ะ พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน”

ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งอ้อนวอน “ท่านครับ ผมเข่าไม่ค่อยดี ผมเป็นทหารไม่ได้หรอก”

หญิงคนหนึ่งก็ข้อร้องว่า “พวกเราเย็บผ้าไม่เป็น พวกเราไม่เคยทำ” นายทหารยิ้ม พูดอย่างสุภาพว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ทำๆ ไปเดี๋ยวก็ทำเป็นเอง แต่ว่ายังมีอีกทางหนึ่งนะ พอดีฉันสนิทกับผู้บัญชาการหลี่ที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องเกณฑ์ทหารมากเลยล่ะ ถ้ามีคำพูดอะไร สามารถฝากฉันไปบอกได้ แต่ขอบอกให้ชัดเจนก่อนนะ ฉันไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรทั้งนั้น ที่ทำก็แค่จะไปร้องขอแทนทุกคนเท่านั้นเอง”

เริ่นเสี่ยวซู่รู้ทันทีว่านี่เป็นการเรียกสินบนแบบอ้อมๆ

มีคนถอดนาฬิกาข้อมือออกทันควัน “ท่านครับ นี่นาฬิการุ่นนกทะยาน ผมเพิ่งซื้อมาเมื่อปีกลาย”

นายทหารตาเป็นประกาย พูดออกมาว่า “จดชื่อเขาไว้…มีใครอยากได้รับการยกเว้นจากการเกณฑ์ทหารหรือใช้แรงงานอีกไหม”

หวังฟู่กุ้ยรีบเข้าไปดึงตัวนายทหารไปด้านข้างทันที “ท่านครับ ผมชื่อหวังฟู่กุ้ย ตอนนี้ผมมียาปฏิชีวนะร้อยเม็ดกับนาฬิกาข้อมือมียี่ห้อห้าเรือน แต่ว่าพวกเราจำนวนหนึ่งอยากได้รับยกเว้น”

เมื่อนายทหารได้ยินคำว่ายาปฏิชีวนะร้อยเม็ดตาก็แทบถลนออกจากเบ้า พอได้ยินถึงว่าจะได้นาฬิกาข้อมืออีกห้าเรือน ตาก็ฉายประกายแวววับ!

หวังฟู่กุ้ยพูดเสียงเบา “คือว่าเป็นอย่างงี้ครับ ในกลุ่มเรามีนักเรียนยี่สิบกว่าคน คิดดูสิ คนเป็นแค่นักเรียนจะทำอะไรได้ พวกเขาทำงานไม่ได้หรอก แถมนะ นักเรียนคือรากฐานของอนาคตเรา ปล่อยให้เขาเป็นทหารหรือแรงงานหญิงไม่เสียเปล่าแย่เหรอ”

นายทหารมองหวังฟู่กุ้ย “นักเรียนหญิงสามารถให้การยกเว้นได้ แต่นักเรียนชายไม่ได้ พูดตามตรงนะ ขั้นต่ำสุดคือยังไงชายหญิงในวัยที่เหมาะสมต้องถูกเกณฑ์ไป ถ้าข้ามเส้นนี้ไปล่ะก็ พรุ่งนี้ฉันถูกประหารแหง”

หวังฟู่กุ้ยได้ยินแบบนี้ก็ใจไม่ดี คนอื่นไม่เป็นไร แต่ต้องห้ามให้เริ่นเสี่ยวซู่ถูกเกณฑ์ไป เขาชี้ไปที่เริ่นเสี่ยวซู่แล้วว่า “แต่คุณเพิ่งยกเว้นไปให้คนหนึ่งไม่ใช่เหรอ”

“ว่าตามตรง ชายผู้นั้นได้รับการยกเว้นเพราะอายุเกินต่างหาก เขาไม่อยู่ในเกณฑ์น่ะ” นายทหารยิ้ม

เหล่าหวังเข้าใจแล้วงานใช้แรงงานนั้นได้รับการยกเว้นได้ แต่เกณฑ์ทหารนั้นห้ามเด็ดขาด ชาววัยกลางคนที่ส่งนาฬิกาข้อมือไปนั้นถือว่าเสียค่าโง่ล้วนๆ หวังฟู่กุ้ยลองใช้อีกทาง “ดูคนนั้นสิ เขาอาจจะดูเด็กนะ แต่จริงๆ เขาแค่ดูแลหน้าอย่างดีเฉยๆ พูดแล้วหวังว่าจะไม่ฟังดูตลกนะ แต่จริงๆ แล้วเขาคือคุณลุงของฉัน”

“ให้ตายสิ” นายทหารหัวเราะ “เหล่าหวัง หน้าด้านให้มันน้อยๆ หน่อย ไม่ก็คือไม่ ยาปฏิชีวนะกับนาฬิกาพวกนี้ ฉันได้แต่กันไม่ให้พวกผู้หญิงถูกใช้แรงงาน แค่ผู้ชายในวัยต้องรับการเกณฑ์ทหาร”

หวังฟู่กุ้ยถอนหายใจ หวังต้าหลงกับเหยียนลิ่วหยวนไม่ถูกเกณฑ์ทหารเพราะเด็กเกินไป แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ เฉินอู๋ตี๋ และนักเรียนชายของเฉินอู๋ตี๋แปดคนต้องไปเป็นทหารเสียแล้ว

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset