the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 219 ของขวัญจากหลี่เสินถาน

พอพวกเขาเข้ามาในลานบ้าน เสี่ยวอวี้ก็เข้ามาวนๆ สำรวจดูเริ่นเสี่ยวซู่ เธออยากจะพูดว่า ‘เริ่นเสี่ยวซู่ เธอผอมมากเลย’ อะไรเทือกนั้นอยู่หรอก แต่ยิ่งมองก็รู้สึกเหมือนว่าอ้วนขึ้นมากกว่า

เธอดึงเริ่นเสี่ยวซู่มาด้านข้าง “ฉันทำของอร่อยๆ ไว้ให้พวกเธอ และก็เตรียมชุดใหม่สำหรับตรุษจีนไว้แล้วด้วย ช่วงนี้นับวันยิ่งหนาว ผ้าห่มก็ต้องเปลี่ยนมาใช้ให้หนาขึ้นด้วยนะ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราหรอก ที่นี่เราไม่ขาดเหลืออะไร…”

เรี่นเสี่ยวซู่ยิ้ม เดินตามหลังเธอไปโดยไม่ได้ตอบรับอะไร ที่จริงเสี่ยวอวี้เป็นคนที่พูดจาอ่อนหวานที่สุดในกลุ่มแล้ว ทั้งไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงในครอบครัวมากนัก แต่บ้านคงอบอุ่นน้อยลงไปถ้าไม่มีเธออยู่ด้วย

เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ช่วงนี้ที่บ้านเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า มีใครมาหาเรื่องไหม”

เริ่นเสี่ยวซู่กลับมาแล้ว ใจคิดว่าถ้าพวกเหยียนลิ่วหยวนเจอปัญหาอะไร เขาก็จะจัดการสะสางให้ก่อนจะกลับขึ้นเขา

“ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรหรอก ตอนนี้ที่เมืองน้อยกำลังวุ่นวายมาก ทหารของสมาคมคอยจับตาดูสถานการณ์ตลอด ปกติเหล่าหวังจะออกไปจัดการให้ พวกเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย” เสี่ยวอวี้ว่า “แบบนี้พวกคนเลวจะได้ไม่เกิดความคิดเป็นอื่นกับพวกเราด้วย”

“อืม คงได้แต่ทำแบบนี้แหละนะ” เริ่นเสี่ยวซู่พบว่าเสี่ยวอวี้กับคนอื่นๆ ระวังตัวมากทีเดียว เขาหันไปกล่าวกับนักเรียนหญิงรอบๆ ด้วย “เรียนรู้จากพี่เสี่ยวอวี้ให้มากล่ะ หลังจากวันนี้ไปก็ให้พกมีดไว้ปกป้องตัวเองด้วย ถ้ามีคนคิดจะข่มเหงพวกเธอก็เอามีดแทงโลด”

นักเรียนหญิงอึกอัก “แต่พวกเราเป็นผู้หญิง…”

เริ่นเสี่ยวซู่คิด ก่อนจะตอบว่า “ฉันจะให้เหล่าหวังทามีดเป็นสีชมพูให้แล้วกัน”

พวกนักเรียนหญิงผงะไปเล็กน้อย หลุดหัวเราะ แล้วเอ่ยว่า “ตามนั้นแล้วกันหัวหน้าห้อง!”

ทันใดนั้นเองก็มีมาเคาะประตู เสี่ยวอวี้พึมพำ “ใครมาเคาะประตูเอาป่านนี้”

แต่พอเธอจะเดินไปเปิดประตู เธอก็ได้ยินเสียงชายผู้หนึ่งดังมาจากข้างนอก “สวัสดี ฉันมาหาเริ่นเสี่ยวซู่”

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองทางประตู มีคนแค่หยิบมือที่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน แถม…เสียงชายผู้นี้คุ้นหูมาก!

เสียงของหลี่เสินถาน!

หลี่เสินถานที่ใส่เครื่องแบบทหารของสมาคมตระหลี่เรียบร้อยยืนรออยู่หน้าทางเข้า เริ่นเสี่ยวซู่ชะงัก เป็นหลี่เสินถานที่ยิ้มก่อนและเอ่ยว่า “อะไรกัน ฉันไม่เป็นที่ต้อนรับหรอกเหรอ”

“เข้ามาสิ” เริ่นเสี่ยวซู่ส่งสัญญานให้เสี่ยวอวี้ที่ยืนบังประตูอยู่ ว่าให้เขาเข้ามาได้ จากนั้นเขาก็กระซิบกับคนอื่นๆ ว่า “ทุกคนเข้าไปข้างในบ้านกันก่อน”

ทุกคนรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ รู้ทันทีว่านี่เป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ โชคดีที่เหล่าหวังกับหลี่ชิงเจิ้งยังคำนวณของอยู่ด้านนอก ไม่อย่างนั้นเริ่นเสี่ยวซู่คงหาข้ออ้างให้หลี่ชิงเจิ้งหลบออกไปยากมาก

หลี่เสินถานเดินเข้ามาในลานบ้าน จากนั้นก็มองไปรอบๆ อย่างสนอกสนใจ จากนั้นก็นั่งบนม้านั่งหินในลานแล้วกล่าวว่า “บ้านอบอุ่นจริงนะ”

เริ่นเสี่ยวซู่มองเครื่องแบบของเขา “รู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่”

“อ้อ!” เหมือนกับหลี่เสินถานเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก “ฉันสะกดจิตคนแถวนี้ไว้ ฉันสั่งว่าถ้ามีเด็กหนุ่มแปลกหน้าเข้ามาในลานบ้านนี้ให้มาบอกฉันน่ะ”

หลี่เสินถานไม่คิดปิดบังเรื่องที่เขาสะกดจิตคน เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย “ทำแบบนั้นไม่คิดว่าเสียมารยาทไปหน่อยเหรอไง”

“พลังพิเศษมีไว้ใช้” หลี่เสินถานยิ้ม “ใช่ว่าฉันไปขัดขวางการดำเนินชีวิตประจำวันพวกเขาเสียหน่อย”

หลี่เสินถานในเครื่องแบบทหารดูอย่างกับเด็กหนุ่มข้างบ้านที่หล่อเหลา เยาว์วัย และอนาคตไกล แต่คนอื่นๆ คงนึกไม่ถึงว่าเขาได้นำหายนะรุนแรงขนาดไหนไปที่ป้อมปราการ 109

“มาหาฉันทำไม” เริ่นเสี่ยวซู่จ้องหน้าเขา

ตอนนั้นเอง เสี่ยวอวี้ก็เดินออกมาจากบ้าน วางกาพร้อมถ้วยชาอีกสองถ้วยบนโต๊ะหิน หลี่เสินถานยิ้ม กล่าวอย่างเป็นมิตร “ขอบคุณนะพี่เสี่ยวอวี้-”

“ฉันเตือนไว้ก่อนเลยนะ อย่าริอาจมาสะกดจิตคนรอบตัวฉันเด็ดขาด” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างไม่เป็นมิตร

“ฉันไม่ทำหรอก” หลี่เสินถานยกชาขึ้นและยิ้มกล่าว “ยังไงพวกเราก็เป็นเพื่อนกัน ฉันจะไปสะกดจิตเพื่อนของเพื่อนได้ยังไง”

“ได้ยินว่าถูกส่งไปอยู่ในป้อมสังเกตการณ์ห่างไกล ช่วงนี้เป็นไงบ้างล่ะ” หลี่เสินถานยิ้ม น้ำเสียงราวกับเขาเป็นเพื่อนเก่าแก่ของเริ่นเสี่ยวซู่จริงๆ

เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ก็ไม่เลว คิดว่านะ”

แต่ทันใดนั้นเอง หลี่เสินถานก็พูด “ได้ยินมาว่าทหารนาโนแมชชีนหายไปสองคน แถมเป็นถึงคนจากตระกูลหลี่ด้วย ตอนฉันตรวจสอบรายชื่อป้อมสังเกตการณ์และเห็นชื่อนาย ก็รู้ทันทีเลยว่าเป็นฝีมือนาย”

เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วแน่นไม่ตอบอะไร คนฉลาดไม่ต้องคุยกันให้มากความ ทั้งยังไม่ต้องการหลักฐานมายืนยันด้วย เริ่นเสี่ยวซู่แค่อยากรู้ว่าหลี่เสินถานคิดอะไรอยู่

หลี่เสินถานพูดต่อ “ตอนพวกเราแยกกันที่ป้อม 109 ฉันคิดว่าอีกสองสามปีกว่าพวกเราจะได้เจอกันอีกรอบ ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกันใหม่เร็วขนาดนี้ ได้ยินมาว่าป้อมสังเกตการณ์ใกล้ๆ ของนายโดนฝูงหมาป่าโจมตี มีทหารนาโนแมชชีนหายตัวไปอีกราย ฉันว่านั่นก็เป็นฝีมือนายเหมือนกัน ฉันควบคุมมนุษย์ได้ ส่วนนายควบคุมหมาป่า ดูเหมือนว่าชะตาจะต้องกันจริงๆ”

เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “บอกมาเลยเถอะว่าต้องการอะไร ไม่ต้องพูดอ้อมไปอ้อมมา”

เขารู้ดีว่าตอบปฏิเสธไปก็เท่านั้น สิ่งที่หลี่เสินถานพูดทวนนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร ถ้าสมาคมตระกูลหลี่รู้เรื่องว่าแถวนี้มีผู้มีพลังวิเศษที่อันตรายมากอยู่ด้วย พวกเขาคงมารีบจับทันทีแล้ว

หูชัวเองอาจจะรู้เส้นสายอะไรแล้วก็ได้

น้ำเสียงหลี่เสินถานพลันจริงจังขึ้นมา “นายเข้าใจผิดนิดหน่อย วันนี้ที่มาคือคิดจะถามสารทุกข์สุขดิบกับเพื่อนเก่าจริงๆ ยังไงฉันก็มีเพื่อนไม่มาก”

เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย “ทำไมคิดว่าฉันเป็นเพื่อนนายเล่า”

หลี่เสินถานยิ้ม “เพราะเห็นหน้านายทีไรฉันก็รู้สนิทสนมน่ะสิ”

“อ่าฮะ” เริ่นเสี่ยวซู่เปลี่ยนเรื่อง “ทำไมถึงใส่เครื่องแบบทหารได้ล่ะ”

“ตอนนี้ฉันเป็นทหารในสมาคมตระกูลหลี่” หลี่เสินถานชมชุดทหารตัวเอง “ดูเหมาะกับฉันไหม พรุ่งนี้กองพลที่สี่ของเราจะมุ่งไปแนวหน้าที่ป้อม 109 ที่นั่นยังมีตัวทดลองเหลืออีกเยอะ”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าหลังสมาคมตระกูลหลี่ใช้งานอาวุธหนัก พวกตัวทดลองก็น่าจะจบสิ้นแล้ว แต่การปรากฏตัวของหลี่เสินถานทำให้สถานการณ์เกิดความไม่แน่นอนอย่างใหญ่หลวงในการรบ เริ่นเสี่ยวซู่คาดการณ์ว่ากองทัพที่สมาคมตระกูลหลี่ส่งไปป้อมปราการ 109 ในครั้งนี้อาจจะพินาศย่อยยับก็ได้

หลี่เสินถานตั้งแต่ต้นก็ไม่คิดจะโจมตีป้อมปราการใดป้อมปราการหนึ่ง แต่เขาคิดจะทำลายทั้งสมาคมตระกูลหลี่ต่างหาก ต่อให้เขาต้องพินาศย่อยยับไปกับทุกคนด้วย เขาก็ยังจะลงมืออยู่ดี

เริ่นเสี่ยวซู่ลอบทอดถอนใจ ที่สมาคมตระกูลหลี่ตัดสินใจส่งเจ้านี่ไปโรงพยาบาลจิตเวชเป็นเรื่องถูกแล้ว ถ้าเทียบกับเฉินอู๋ตี๋ เฉินอู๋ตี๋ไม่ต่างไปจากคนธรรมดาเลย

หลี่เสินถานยืนขึ้น เดินไปยังไปยังทางเข้าบ้าน “ถึงเวลาต้องกล่าวลาแล้วล่ะ หลังจากกันครั้งนี้ คิดว่ากว่าจะได้เจอกันใหม่คงอีกนาน รักษาตัวให้ดี พรุ่งนี้หลังนายออกจากเมืองน้อย คนแถวนี้ที่มีความคิดสกปรกกับผู้หญิงบ้านนี้จะฆ่าตัวตายกันหมด ไม่ต้องห่วงนะ คิดเสียว่าเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากฉัน แล้วก็รับมันไปอย่างยินดีเถอะ”

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset