the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 220 เจอหน้าบริษัทหัวจ่งอีกครั้ง!

เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจกับของขวัญนี้ของหลี่เสินถานอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เพิ่งถามเสี่ยวอวี้ไปว่าเจอปัญหาอะไรไหม แล้วเธอก็ตอบว่าไม่มี เขาเองก็รู้ดีว่าเสี่ยวอวี้โกหกอยู่ ในเมืองน้อยจะไม่มีคนเกิดความคิดกับบ้านที่มีผู้หญิงหลายสิบคนได้อย่างไร

นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่กังวลว่าจะทำให้ตัวตนผู้มีพลังพิเศษเปิดเผยออกมา ถ้ามีคนคิดลงมือกับพวกเธอ เป็นไปได้สูงที่จะบีบให้เจียงอู๋ใช้พลังตอบโต้ และถ้าเธอไปดึงความสนใจของบริษัทหัวจ่งล่ะก็ ยามนั้นได้เป็นปัญหาใหญ่แน่

เริ่นเสี่ยวซู่มองหลี่เสินถาน “ของขวัญนี้ ฉันขอบคุณจริงๆ”

หลี่เสินถานเผยรอยยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม “ไม่ต้องเกรงใจไป ยังมีอีกเรื่อง ทางสมาคมคิดจะส่งทหารนาโนแมชชีนชั้นยอดไปกำจัดพวกหมาป่า พวกเขาถือโอกาสนี้ใช้หมาป่าเป็นคู่ซ้อมมือ นายให้เพื่อนหมาป่าของนายเก็บตัวหน่อยดีกว่า ทหารนาโนแมชชีนบางนาย…ทรงพลังมากจริงๆ”

เริ่นเสี่ยวซู่สะดุ้งเฮือก โอกาสเก็บเกี่ยวนาโนแมชชีนชุดใหม่มาถึงแล้ว!

ทันใดนั้นเอง หลี่เสินถานไม่แน่ใจนักว่าตนเองเพิ่งเห็นแววตากระเหี้ยนกระหือจากเริ่นเสี่ยวซู่ไปหรือเปล่า

“นายรู้หรือเปล่าคนของบริษัทหัวจ่งซ่อนตัวอยู่ที่ไหน” เริ่นเสี่ยวซู่เปลี่ยนเรื่อง

หลี่เสินถานว่า “พวกเขาเพิ่งออกไปเมื่อบ่ายนี่เอง แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังไปไหน คงออกไปเสี่ยงดวงเผื่อจับผู้มีพลังพิเศษได้สักคนแหละมั้ง ไม่ต้องห่วง พวกเขายังไม่รู้เรื่องนาย” จากนั้นเขาก็เดินออกจากประตูไป

ปีศาจตนนี้กำลังออกเดินทางไปแนวหน้ากับกองทัพของสมาคมตระกูลหลี่ เริ่นเสี่ยวซู่พลันรู้สึกว่า ถ้าคนอย่างหลี่เสินถานมีมากหน่อยบนโลก สงครามคงอยู่ไม่ไกลแล้ว

ทุกสมาคมต่างอยู่ในภาวะสมดุลมาตลอด ทุกสมาคมต่างเก็บเกี่ยวทรัพยากรมาเสริมกำลังอย่างช้าๆ กลุ่มขนาดใหญ่จะค่อยๆ เพิ่มกำลังเช่นนี้ แต่ถ้าสมาคมหนึ่งเกิดรอยร้าวขึ้นมาล่ะก็ คนอื่นๆ ก็มีแต่จะยินดีที่จะได้ส่วนแบ่งเยอะขึ้นไม่ใช่หรือ

หลังจากหลี่เสินถานจากไป เสี่ยวอวี้ก็เดินออกมาจากบ้านด้วยความสงสัย “เขาคือหลี่เสินถานใช่ไหม ฉันเคยเห็นหน้าเขาตอนอยู่ที่ร้านตรงป้อม 109”

“อืม…” เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว ใจกำลังคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นก็โพล่ง “ผมต้องกลับแล้วล่ะ รู้สึกว่าคำพูดของหลี่เสินถานมีอะไรซ่อนอยู่”

เดิมทีเริ่นเสี่ยวซู่กะจะค้างที่เมืองน้อยสักคืน อย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้เจอหน้ากันมาพักใหญ่แล้ว มีเรื่องมากมายให้ต้องคุยกัน แต่พอเขาถามข่าวของบริษัทหัวจ่งกับหลี่เสินถาน เขาก็บอกว่าพวกนั้นเพิ่งออกไปเมื่อตอนบ่าย นี่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกไม่สบายใจอยู่หน่อยๆ

เหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ด้านข้างถามด้วยความตื่นตะลึง “พี่จะกลับแล้วเหรอ”

“ใช่” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “อีกตั้งเดือนกว่าจะถึงวันตรุษจีน เดี๋ยวก็มีโอกาสให้กลับมาอีกรอบ หรือไม่ก็…ให้ฉันพาทุกคนไปฉลองตรุษจีนที่ป้อมสังเกตการณ์ไหม”

“ได้เหรอ” เหยียนลิ่วหยวนตาเป็นประกาย เขาอยากไปดูว่าสถานที่ที่เริ่นเสี่ยวซู่ต้องไปเฝ้ายามนั้นเป็นสถานที่แบบไหน

พูดจบเริ่นเสี่ยวซู่ก็ออกไปข้างนอก ตอนนี้หวังฟู่กุ้ยกับหลี่ชิงเจิ้งเพิ่งตกลงซื้อขายสินค้ากันเสร็จ ดูจากสีหน้าแล้ว ต่างคนต่างพอใจกับข้อตกลงแน่นอน

“จ้าวหมาป่า พวกเราต้องไปแล้ว มีเรื่องด่วน พวกเรารีบกลับทันที” เริ่นเสี่ยวซู่กล่าวกับหลี่ชิงเจิ้ง

หลี่ชิงเจิ้งถาม “พวกเราต้องกลับแล้วเหรอ ไม่อยู่อีกหน่อยละ ฉันยังไม่ได้…”

“พวกเราต้องเดินทางตอนนี้เลย” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเข้ม

หลี่ชิงเจิ่งคิดพักหนึ่งแล้วว่า “ก็ได้ กลับกันเถอะ”

พอหลี่ชิงเจิ้งกับเริ่นเสี่ยวซู่ขึ้นไปบนรถบรรทุกแล้ว หวังฟู่กุ้ยก็กล่าว “เสี่ยวซู่ เธอต้องดูแลตัวเองนะ ตอนนี้ทั้งครอบครัวหวังพึ่งเธออยู่ เธอห้ามเกิดเรื่องเด็ดขาด”

“ไม่ต้องห่วงหรอกลุง” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงต่ำ “ป้อมปราการพังไปสองแล้ว ฉันยังอยู่ดีอยู่เลย ฉันถึกจะตาย”

หวังฟู่กุ้ยยิ้ม “ก็จริงนะ ตราบใดที่เธออยู่ ชีวิตของพวกเราทุกวันก็มีแต่จะดีขึ้น”

คุยกันเสร็จ หลี่ชิงเจิ้งก็สตาร์ทรถบรรทุกและขับออกจากเมืองน้อย

ใกล้ๆ ประตูประป้อมปราการนั้นมีร้านขายของชำอยู่สองแห่ง ได้แก่ร้านของผู้หญิงคนหนึ่ง กับอีกร้านที่เพิ่งเปิดเป็นของหวังฟู่กุ้ย ตั้งแต่หวังฟู่กุ้ยมาเปิดกิจการ การค้าของอีกร้านก็ดิ่งลงเหว ทำให้เธอเหม็นหน้าหวังฟู่กุ้ยมาก

ตอนที่หวังฟู่กุ้ยยืนมองเริ่นเสี่ยวซู่จากไปนั้น หญิงร่างท้วมบ้านข้างๆ ออกมาพิงกรอบประตูร้าน ปากถุยเมล็ดทานตะวัน ก่อนจะมองเหยียดใส่หวังฟู่กุ้ย หลังจากเงาร่างของเริ่นเสี่ยวซู่หายวับไปแล้ว เธอก็พลันตะโกนใส่หวังฟู่กุ้ย “ทำไม นั่นมันสมาชิกครอบครัวของนายคนหนึ่งเหรอ”

หวังฟู่กุ้ยยิ้ม “นั่นหัวหน้าครอบครัวเรา เขาเก่งกาจเป็นที่สุด!”

เธอพ่นเมล็ดทานตะวันใส่หน้าประตูร้านเธออย่างเหยียดหยาม “แค่ทหารโทรมๆ จากกองกำลังส่วนตัว จะมีอะไรยิ่งใหญ่นักหนา”

ในสายตาของผู้อพยพเมืองน้อย ทุกวันนี้ทหารในกองกำลังส่วนตัวไม่นับว่าเป็นตัวอะไร ทหารของสมาคมต่างหากที่ทรงอำนาจมากกว่า ไม่ใช่แค่หญิงผู้นี้ที่คิดเช่นนั้น มีคนนึกว่าในตระกูลของหวังฟู่กุ้ยจะมีบุคคลทรงอิทธิพลหนุนหลังอยู่เสียอีก แต่พอพบว่าเป็นแค่ทหารในกองกำลังส่วนตัวนายหนึ่ง พวกเขาก็ผิดหวังอยู่บ้าง

หวังฟู่กุ้ยเพียงยิ้มอย่างเดียว พวกเขามาจากคนละโลกกัน ไม่มีทางคุยกับคนที่มีประสบการณ์จำกัดได้หรอก

ระหว่างที่หลี่ชิงเจิ้งขับรถกลับนั้น เขาไม่ปริปากถามเลยว่าทำไมเริ่นเสี่ยวซู่ถึงรีบร้อนอยากกลับป้อมสังเกตการณ์ เริ่นเสี่ยวซู่ก็สัมผัสได้แล้วเช่นกันว่า ด้วยนิสัยของหลี่ชิงเจิ้ง เขาอาจจะค้นพบอะไรบางอย่างแล้วก็ได้

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองหลี่ชิงเจิ้งพร้อมกล่าวว่า “นาย…”

“ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น” หลี่ชิงเจิ้งพูดตัดบท

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นึกย้อนไปตอนที่หมาป่าโจมตีรถบรรทุกทหาร หลี่ชิงเจิ้งเป็นผู้กล่าวให้ทุกคนกลับเข้าบ้าน หลี่ชิงเจิ้งคงตระหนักอะไรบางอย่างได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

เขาได้ยินหลี่ชิงเจิ้งพูดว่า “ตอนฉันยังเด็ก พ่อฉันพาไปหาหมอดูในเมืองน้อย ตอนหมอดูบอกว่าทั้งชีวิตฉันจะมีแต่ความลำบาก พ่อฉันเกือบได้ยำเขาเละแล้วแน่ะ แต่เขาพูดเสริมด้วยว่า ฉันจะมีโอกาสหนึ่งให้พลิกชีวิต”

“โอกาสนั้นคือ?” เริ่นเสี่ยวซู่ถามด้วยความสงสัย

“เขาบอกว่าฉันจะเจอผู้พลิกชะตาตอนฉันอายุยี่สิบเก้า และฉันก็ยี่สิบเก้าปีพอดีตอนเจอนาย”

เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “เชื่อเรื่องงมงายมีแต่จะทำร้ายตัวเองเปล่าๆ ”

เพราะเริ่นเสี่ยวซู่บอกว่ามีเรื่องด่วน หลี่ชิงเจิ้งจึงเร่งเครื่อง ขากลับจึงใช้เวลาเพียงแค่สามชั่วโมง ตอนที่มาถึงถนนบนภูเขาที่เป็นจุดเริ่มต้นไปยังป้อมสังเกตการณ์ เริ่นเสี่ยวซู่ก็พบรอยล้อรถบนถนน สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนเป็นระแวดระวัง “รีบเร็ว! ผู้บุกรุกขึ้นเขาไปแล้ว!”

ถนนดินนี้เป็นถนนเส้นเดียวที่จะขึ้นไปป้อมสังเกตการณ์ได้ หิมะละลายจนพื้นแฉะกลายเป็นดินโคลน ถ้ามีรถยนต์ขับมาย่อมทิ้งรอยล้อไว้ตามพื้น ภาพนี้ทำให้สัญญาณเตือนภัยในหัวของเริ่นเสี่ยวซู่กรีดร้องขึ้นมา

จากที่หลี่เสินถานพูด บริษัทหัวจ่งออกมาเสี่ยงโชค หลังจากทราบเรื่อง บางทีพวกเขาอาจจะคิดว่าที่นายทหารหายตัวไปนั้นเกี่ยวข้องกับผู้มีพลังพิเศษก็ได้ ถึงออกมาตรวจสอบป้อมสังเกตการณ์แถวนี้เสียหน่อยว่ามีผู้มีพลังพิเศษซ่อนตัวหรือเปล่า

รถบรรทุกขับรวดเร็วจนไปถึงป้อมสังเกตการณ์ แต่พอเริ่นเสี่ยวซู่ที่ตอนแรกกังวลมากเห็นภาพหน้าป้อมสังเกตการณ์ เขาก็ตะลึงพรึงเพริดไป

เขาเห็นหูชัวนั่งสบายอยู่ข้างกองไฟ กินเนื้อย่างกับคนอื่นๆ อย่างสบายใจ คนแปลกหน้าห้านายเข้าแถวคุกเข่าอยู่ข้างๆ กัน ตามตัวพวกเขามีร่องรอยบาดแผลอยู่ทั่ว หนึ่งในนั้นถึงกับคุกเข่าไปกระอักเลือดไป

ทันทีที่หูชัวเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ ใบหน้าเขาก็เปลี่ยนไป “ทำไมกลับมาไวจัง!”

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์
Status: Ongoing
ในความมืดมิดอันปั่นป่วนโกลาหล หนุ่มน้อยเริ่นเสี่ยวซู่ผงะตื่นขึ้นพร้อมกับปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก จากนั้นก็หันไปมองเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีที่ยืนอยู่ตรงประตู “ลิ่วหยวน มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม แม้จะเรียกเด็กชายว่าลิ่วหยวน แต่ความจริงแล้วชื่อเขาคือเหยียนลิ่วหยวน มองแวบแรก เหยียนลิ่วหยวนดูราวกับคนใสซื่อไม่มีพิษภัยอะไร ทว่าในมือเขานั้นกลับกำมีดกระดูกแน่น ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ตอนนี้ดึกดื่นค่อนคืน แม้ว่าเขาจะดูง่วงงุนเพียงไร ก็ไม่หลับตาลงแม้แต่น้อยเพราะว่าจำเป็นต้องเฝ้ายามตอนกลางคืน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset