The Great Geneticist in Apocalypse – ตอนที่ 33 จะอึดเกินไปแล้วสิ

ตอนที่33 จะอึดเกินไปแล้วสิ
เนื่องจากไม่มีพลังไฟฟ้าตึกมืดสลัวๆเนื่องจากมีแสงที่ลอดมาจากหน้าต่างค่อนข้างมากพอจะมองเห็นได้
“ซีส์ซี่ส์ซี่ส์” ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาเบลซได้ยินเสียงกระพือปีกของแมลงเบาๆตลอดเวลากับเสียงไม่เขารู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่
ตลอดทางเบลซเห็นแอ่งเลือดและศพที่ร่างกายบิดเบี้ยวเป็นจำนวนมาก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทรมานมากก่อนตาย
ศพมีจำนวนมากเกินไปจนเบลซไม่สามารถเผาได้ทั้งหมดเลยต้องจำใจปล่อยไว้เฉยๆ
ข้าวของรอบๆแน่นอนว่ากระจัดกระจายไปทั่วแต่มีบางส่วนที่เว้าแหว่งเหมือนโดนกัดกร่อนจากกรดพิษ
“เถาโลหิต” เบลซเรียกเถาโลหิตออกมาวนรอบๆตัวเขา เนื่องจากที่นี้มองไม่ค่อยชัดเขาเลยต้องเรียกมันออกมากันไว้ก่อน
“เหมือนแกจะอยู่ชั้นบนสินะ” เบลซคิดแต่ที่เข้าต้องแปลกใจเพราะว่านอกจากศพของมนุษย์แล้วเขาก็เห็นศพของหนูกลายพันธ์จำนวนไม่ใช่ย่อยถูกกัดกินและกระดูกบางส่วนถูกกร่อนเป็นสีเขียวจากพิษ
ความจริงแล้วการที่สัตว์อสูรจะกินสัตว์อสูรด้วยกันเองก็ไม่แปลกเพราะยังไงสัตว์อสูรก็ยังเป็นสัตว์มันสามารถกินได้หลายอย่างและพวกสัตว์อสูรก็มีพลังงานมากกว่ามนุษย์ธรรมดาด้วย “หรือว่ามันจะรีบเลื่อนระดับมาสู้กับเรานะ” เบลซคิด เขาคิดว่าคงต้องเร่งหาตัวมันหน่อยแต่เขาก็ไม่กังวลมากเพราะระดับของมันคงไม่เพิ่มจนมากกว่าเขาได้ในเวลาสั้นๆ
“ชั้นสองก็ไม่มีงั้นก็ชั้นสาม” หลังจากที่สำรวจจนทั่วชั้นสองเบลซก็ยังไม่เจอมันแต่เขาก็คิดว่ามันคงไม่บินหนีเพราะว่าเขาสังเกตหน้าต่างตลอดและยังไม่เห็นหรือไม่ได้ยินเสียงแมลงสาบบินแค่ได้ยินเสียงกระพือปีกเบาๆและยังคงก้องอยู่ในหอพัก
“ต๊อก แต๊ก ต๊อก แต๊ก” เบลซก้าวขึ้นบันได้มาก่อนที่สัมผัสได้ถึงอันตรายจากทางซ้าย!
“เคร้ง” ด้วยสัญชาตญาณเถาโลหิตเคลื่อนที่ไปป้องกันทันที
ศรที่เกิดจากลมและพิษที่ยิงมาถูกป้องกันไว้อีกครั้ง แต่พิษก็บางส่วนก็เปื้อนเถาโลหิตของเขา และเบลซก็รู้ลึกถึงการกัดกร่อนของมันผ่านเถาโลหิตแต่ว่ามันไม่แรงพอที่จะสร้างความเสียหายให้เถาของเขาได้แต่ถ้าทิ้งนานๆไปก็อาจจะเป็นไปได้
เบลซควบคุมเถาโลหิตไปล้างพิษออกที่แอ่งเลือดข้างๆเพราะชั้นนี้ก็มีศพเหมือนกันการจะหาเลือดนั้นไม่ยาก
แน่นอนว่าเมื่อมันซุ่มยิงมาเบลซก็เดาทางที่ยิงออกมาได้เหมือนกัน
เบลซเดินไปทางซ้าย ที่เขาเดินเพราะว่านี่เป็นทางแคบแมลงสาบพิษวาโยนั้นไม่สามารถที่จะอ้อมหลังเข้าจากทางนี้ได้และค่อยๆเดินไปก่อนระมัดระวังตัวเองได้ดีกว่าวิ่ง
“แคร้ง แคร้ง” เมื่อเขาเดินเข้าไปอีกศรพิษก็ซุ่มยิงออกมาในทิศทางใกล้ๆจากครั้งก่อนเถาโลหิตป้องกันมันก่อนที่เบลซจะเดินเข้าไปต่อ
“ฮั่นแน่ เจอแล้ว” หละจากที่เบลซเดินลึกเข้ามาอีกเขาก็เห็นมันเดินออกมาจากห้อง ห้องหนึ่งเหมือนแมลงสาบพิษวาโยก็จะคิดแล้วว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะซุ่มโจมตีอีกต่อไป
“ชิ้ง” แมลงสาบพิษวาโยพุ่งเข้าหาเบลซมันยกข้าหน้าข้างหนึ่งขึ้นเปลือกที่หุ้มขาของมันคมและเต็มไปด้วยรูปหนามแหลมๆ ฟันเข้าหาเบลซทันที
“เพลิงอัสนี” ง้าวกรีดนภาลุกท่วมไปด้วยเพลิงสายฟ้าก่อนที่จะปะทะเข้ากับขาของแมลงสาบพิษวาโย
“แคร้ง” แมลงสาบพิษวาโยกระเด็นถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนที่จะตั้งหลักได้และพุ่งเข้าใส่เบลซอีกครั้ง
“แคร้ง แคร้ง แคร้ง แคร้ง” ง้าวปะทะกับเปลือกขาอย่างต่อเนื่องอย่างยาวนาน แมลงสาบพิษวาโยแกว่งขาหน้าฟันซ้าย ฟันขวา ใส่เบลซอย่างบ้าคลั่ง
ขณะเดียวกันเบลซก็รับมันไว้ ด้วยการต่อสู้แบบ1ต่อ1เขาใช้ทั้งง้าวกรีดนภาและเถาโลหิต3เถาในการสู้กับมัน ตอนแรกเขาคิดจะใช้สองเถาแล้วเอาอีกเถาไปดูดพลังงานจากแอ่งเลือดแต่ว่าคิดไปคิดมาเขากลัวว่านอกจากจะดูดเลือดจะได้พิษมาด้วย
“แคร้ง แคร้ง แคร้ง แคร้ง” ถึงแม้ว่าเบลซจะแค่ใช้เถาโลหิตสองเถาในการป้องกันและใช้ง้าวในการโจมตีหลักและเถาโลหิตอีกเถาฟาด รัด ดึง ในการเปลี่ยนทิศทางให้มันเสียจังหวะ ถึงแม้ว่าจะปะทะไปเยอะแต่เขาก็ได้โจมตีสวนมันไปเยอะด้วยแต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือง้าวกรีดนภาที่ท่วมเพลิงอัสนีฝากแค่รอยบางๆไว้บนเปลือกบนร่างกายเท่านั้นเพลิงอัสนีลุกเป็นขีดตามที่ฟันแค่4-5วินาทีก็ดับลง เบลซฟันมัน20-30ทีแล้วแต่ก็แค่ฝากรอยบางๆไว้หลายรอยเท่านั้น เบลซคิดที่จะฟันไปที่ข้อต่อของมันแต่ว่าตอนที่เขาจะฟันมันก็ขยับเบี่ยงทำให้ฟันไม่โดนซักที่
“ตอนนี้เริ่มเหนื่อยแล้วสิต้องรีบหน่อยแล้ว” เบลซพูดเขาใช้StaminaและSpirituality ไปอย่างละเกือบสิบแต้มแล้วเพราะต้องกวัดแกว่งง้าวและโจมตีประสานสองธาตุตลอดเวลา
“สมกับเป็นแมลงสาบอึดจริงๆถึงจะเปลืองจิตวิญญาณไปหน่อยแต่ต้องใช้แล้ว” เบลซคิดจากนั้นเขาก็เลิกใช้เพลิงอัสนีและรวมพลังธาตุน้ำไว้ที่รอบๆง้าวก่อนที่จะสะบัดอย่างแรง
“อควาคัตเตอร์!” คมดาบวารีถูกซัดออกไปถึงแม้การโจมตีธาตุจะเบากว่าการโจมตีด้วยทักษะเยอะแต่ว่าเบลซนั้นโจมตีประสานสองธาตุและด้วยฉายาของเขาทำให้การโจมตีด้วยเพลิงอัสนีนั้นแรงเท่ากับทักษะแบบออกแรงกลางๆ ดังนั้นเขาไม่สามารถใช้อควาคัตเตอร์แบบใช้spiritualityแค่แต้มสองแต้มไม่ได้เพราะมันไม่ต่างกับที่เขาใช้เพลิงอัสนีถ้าใช้สามแต้มมันก็คงเจ็บบ้างแต่มันก็ไม่น่าจะตายต้องโจมตีซ้ำอีก ดังนั้นโจมตีแบบใช้4แต้มเต็มเลยดีที่สุด
“เปรี๊ยะ! พุฟฟฟ!” อควาคัตเตอร์ปะทะเข้ากับกลางเปลือกแผ่นหลังของแมลงสาบพิษวาโยทันที
“กวีซซซซซซซ” แมลงสาบพิษวาโยกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ถึงจะฟันเข้าไม่ลึกมาก แต่ด้วยแรงมหาศาลรอบๆบริเวณที่โดนฟันจนบุบก็มีรอยปริแตกนับไม่ถ้วนและมีเลือดสีเขียวๆไหลซึมออกมา เรียกได้ว่าครั้งนี้มัน
“นี้และนะคือจุดอ่อนของเปลือกคือมันแข็งแต่เปราะ มันแข็งก็จริงแต่ว่าถ้ามันเสียหายแม้เล็กน้อยแต่ว่ารอยปริแตกที่เกิดรอบๆอาจยาวมากก็ได้ เหมือนเวลาปากรวดใส่กระจกหน้าต่างนั้นแหละกระจกแตกเป็นรู้เล็กๆแต่ว่ารอยร้าวอาจยาวไปจนถึงขอบหน้าต่างเลยก็ได้”
แต่ประเด็นคือ
มันยังไม่ตาย! แม้ว่าเปลือกกว่าครึ่งที่อยู่บนลำตัวจะปริแตกจนเละเทะแต่ว่ามันก็ยังขยับได้อย่างคล่องแคล่วแม้ว่าจะติดกระตุกนึดหน่อยในบางจังหวะแต่ก็ยังคงเร็วอยู่เหมือนเดิมและขาของมันก็ยังว่องไวเหมือนเดิม
“อึดไปไหมเนี่ยโดนไปขนาดนั้นก็ยังขยับได้คล่องแคล่วอีก”
“แคร้ง แคร้ง แคร้ง แคร้ง” เถาโลหิตและง้าวปะทะกับขาแมลงสาบที่เต็มไปด้วยหนามอีกครั้ง
“จังหวะนี้แหละ” ในที่สุดเบลซก็หาช่องว่างได้เข้าใช้เถาโลหิตทั้งสามดึงขาหน้าข้างขวาลงมา มัดอย่างแน่นๆให้มันอยู่กับที่
“อควาคัตเตอร์” เบลซซัดดาบโค้งวารีอะครั้ง ครั้งนี้มันซัดโดนที่ข้อต่อเต็มๆ ขาหน้าขวาทั้งท่อนถูกตัดออกจากลำตัวลงไปกองกับพื้น
“กวีซซซซซซซซซซซซ” แมลงสาบพิษวาโยร้องด้วยความเจ็บปวดอีกครั้งก่อนที่จะวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและพ่นศรพิษใส่
“แคร้ง!” ช่วยไม่ได้เบลซต้องชักเถาโลหิตออกมาป้องกัน
“กวีซซซซ” ตอนนั้นเองขาหน้าซ้ายที่เหลืออยู่อีกข้างก็ฟันเข้าหาเบลซอย่างไร้ปราณี
“แคร้ง” รอบนี้เบลซเอาง้าวรับไว้ได้แต่เขาก็กระเด็นถอยไปหลายก้าวเหมือนกันพร้อมกับด้ามง้าวที่เป็นรอยถลอก
“แรงยังเยอะอยู่เลยแมลงสาบก็แมลงสาบจริงๆอึดเกิ๊น” เบลซอดไม่ได้ที่จะก่นด่าในใจตอนนี้เขาใช้Staminaไปกว่า15แต้มเริ่มที่จะหอบแล้วส่วนSpiritualityนั้นเข้าใช้ไปมากกว่า20แต้มแล้วคงสู้ได้อีกไม่นาน
“แต่ว่าอืม…ไม่มีขาหน้าข้างขวางั้นก็…….” เบลซพุ่งเข้าไปทางด้านซ้าย(TL.ขาขวามันแต่ว่าอยู่ทางด้านซายเรานะ)ตรงจุดที่ไม่มีขาขวา
แมลงสาบพิษวาโยพยายามใช้ขาหน้าที่เหลือโจมตีแต่ก็ถูกเถาโลหิตกันเอาไว้ได้แล้วมันก็เป้ๆด้วยเนื่องจากไม่สามารถทรงตัวได้ดีนัก
เบลซอาศัยช่องว่างกระโดดขึ้นไปด้วยความเร็วสูง
แมลงสาบพิษวาโยพยายามจะบินขึ้นไปแต่ว่าปีกของมันแหลกไปพร้อมกับเปลือกที่ถูกทำลายโดยควาคัตเตอร์ก่อนหน้านี้
“ควาคัตเตอร์” เบลซที่กระโดดขึ้นไปซัดอควาคัตเตอร์ใส่ข้อต่อลำคอของแมลงสาบพิษวาโยทันที

The Great Geneticist in Apocalypse

The Great Geneticist in Apocalypse

The Great Geneticist in Apocalypse เบลซ แร็คน่าร์ (Blaze Ragnar) เป็นหนึ่งในชายหนุ่มที่ฉลาดมากในโลกยุคปี3xxx เขาเป็นคนที่หลงใหลในโลกยุคโบราณตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ยันยุคเหล็ก ในชีวิตของเขามีความฝันอยากจะไปสัมผัสยุคเหล่านั้นด้วยตเอง แต่ด้วยวิทยาการปัจจุบันและด้วยความที่เขาเป็นหนึ่งในคนที่อัจฉริยะที่สุดในโลกเขารู้ได้ในทันทีว่าต่อให้เขารวบรวมอัจฉริยะระดับโลกมาทั้งหมดก็ไม่สามารถคิดค้นวิธีการย้อนเวลากลับไปหรือหามิติอื่นที่ยังอยู่ในยุคโบราณได้ก่อนที่เขาจะตาย แต่ด้วยความฝันของเขา อย่างน้อยๆเขาก็อยากจะลองที่จะขี่ไดโนเสาร์ เสือเขียวดาบ และก็ แมมมอธดูซักครั้ง เขาเลยตั้งหน้าตั้งตา เป็นนักบรรพชีวิตวิทยาเพื่อสร้างไดโนเสาร์ที่สูญพันธ์ไปแล้วขึ้นมาในยุคปัจจุบัน ซึ่งด้วยสมองระดับเขามันคงเป็นไปได้ใน 5-10 ปีแต่ในขณะที่เขากำลังหาตัวอย่างยีนในหน้าผาแห่งหนึ่งแต่เขากลับเผลอหยิบชิพประหลาดขึ้นมาหนะสิ แต่ว่ามันจะเป็นอย่างงั้นจริงๆรึปล่าวนะ? และแล้วการเข้าสู่ยุคมืดก็เริ่มขึ้น “พวกมนุษย์ปุถุชนตัวเล็กๆทั้งหลาย ข้าคือ อิกดราซิล! บัดนี้โลกได้เข้าสู่ยุคแห่งพลังธาตุและวิวัฒนาการแล้ว จงต่อสู้! การต่อสู้ที่ ยากลำบากจะกลายเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์สำหรับพวกเจ้า จงเอาตัวรอดและวิวัฒนาการตัวเอง มีเพียงความแข็งแกร่งที่จะสามารถนำพาชีวิตพวกเจ้าให้อยู่รอด หากไม่แข็งแกร่งพอพวกเจ้าก็จงเป็นเหยื่อ ให้กับโลกที่โหดร้ายใบนี้ซะเถอะ!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset