ภายในห้องโถงสีเงินเหมือนโลหะของหอคอยสภา ลาซาร์เอาแต่หัวเราะมาครู่ใหญ่แล้ว ก่อนที่เขาจะพูดกับลูเซียน “ฮ่าๆๆ… เจ้าเห็นหน้าของท่านหญิงลาเว็ตต์หรือไม่ นางหน้าเขียว! เขียวเลยนะ! ฮ่าๆ…” ใบหน้าของลาซาร์ในตอนนี้เป็นสีแดงก่ำจากการหัวเราะมากเกินไป “มันเหมือนกับ… ว่านางเพิ่งได้รับหนึ่งร้อยคะแนนชื่อเสียงอาร์คานามา แต่ภายในหนึ่งนาทีต่อมาคะแนนชื่อเสียงพวกนั้นก็โดนริบคืนเพราะว่ามอบให้ผิดคน ฮ่าๆ… เจ้ารู้ไหมว่าไม่ค่อยมีใครชอบนางเสียเท่าไร ฮ่าๆ…”
“ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ” ลูเซียนกล่าวยิ้มๆ “เหตุใดนางจึงต้องอยากทำให้เราลำบากด้วยล่ะ ข้าหมายถึง นางไม่จำเป็นจะต้องทำเช่นนั้นเลย”
“ท่านหญิงลาเว็ตต์ คือหนึ่งในนักเวทแบบที่ข้าเพิ่งพูดถึงก่อนหน้านี้ที่ไม่ต้องการจะสร้างความก้าวหน้าในชีวิตอีกต่อไปแล้วอย่างไรล่ะ คนจำพวกนี้จะเกลียดคนอื่นๆ ที่ยังต่อสู้เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น” ลาซาร์ลูบอกตนเองเบาๆ เพื่อให้ตัวเองสงบลง “ข้าหวังว่าตัวข้าจะไม่เป็นเช่นนี้เมื่ออายุหกสิบ”
“เรามาลองดูก็ได้” ลูเซียนหัวเราะขัน “ข้านึกภาพเจ้าทำหน้าบึ้งตึงเหมือนกับท่านหญิงลาเว็ตต์ไม่ออกเลย ลาซาร์”
“ลองอะไรรึ ทำอย่างไรล่ะ” ลาซาร์มึนงง
“เจ้าก็ให้ข้ายืมสามสิบคะแนนอาร์คานานั้นสิ แล้วข้าจะพยายามไม่คืนเจ้า ฮ่าๆ” ลูเซียนเล่นมุก “มาดูกันว่าเจ้าจะยังใจเย็นเช่นนี้กับข้าหรือไม่”
ลาซาร์กลอกตาใส่ลูเซียน “ไม่เอาน่า สามสิบคะแนนนั่นมันไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับเจ้า ว่าแต่เจ้าจะได้เจอกับลูกศิษย์ของเจ้าอีกครั้งใช่หรือไม่ เยี่ยมไปเลยนะ”
ในหมู่สำนักเวทมนตร์ทั้งห้าในเมืองอัลลิน ‘ดักลาส’ ถือว่าเป็นสำนักที่ดีที่สุด ซึ่งมีจุดเด่นเป็นศาสตร์แห่งกำลัง แม่เหล็กไฟฟ้า โหราศาสตร์ และศาสตร์แห่งธาตุ ที่ตามติดดักลาสมาคือสำนักที่ชื่อ ‘อัลลิน’ กับ ‘เพซานโช’ อัลลินนั้นขึ้นชื่อเรื่องศาสตร์มืดและศาสตร์แห่งการอัญเชิญ ส่วนเพซานโชนั้นสอนศาสตร์แห่งการแปลงร่างและมายาได้ดีมาก นอกเหนือจากสำนักทั้งสามแล้ว ‘ไทรเดนท์’ ก็เป็นสำนักที่ขึ้นขื่อเรื่องงานวิจัยเกี่ยวกับศาสตร์ใหม่ล่าสุดอย่างแม่เหล็กไฟฟ้า อุณหพลศาสตร์ และศาสตร์แห่งแสงสว่างและความมืด และลูกศิษย์หลายๆ คนที่อยากศึกษาศาสตร์แห่งการแปรธาตุ ศาสตร์แห่งธาตุ หรืออุณหพลศาสตร์ยังไปเรียนที่ ‘อัลบอร์ก’ อีกด้วย
แน่นอนว่าทุกสำนักจะสอนวิชาที่ครอบคลุมทุกๆ ศาสตร์ แม้ว่าแต่ละที่จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไปก็ตาม
“เป็นเรื่องดีจริงๆ นั่นแหละ แต่ข้าจำเป็นต้องหาซื้อกระเป๋ามิติก่อน ซึ่งนั่นหมายถึงการใช้เงิน ในตอนนี้การใช้เงินน่ะไม่ทำให้ข้ามีความสุขเลยสักนิด” ลูเซียนตอบ
“เช่นนั้นจุดหมายต่อไปของเราก็คือ วาซิม!” ลาซาร์เอ่ยด้วยท่าทางร่าเริง
…
“กระเป๋ามิติระดับสาม ผลิตเป็นจำนวนมาก แต่อยู่ในขั้นกลาง มีเวท ‘หด’ กำกับไว้ ท่านสามารถหดและเก็บของของท่านไว้ในกระเป๋าได้ด้วยขนาดที่ลดเหลือหนึ่งในสิบหกส่วนของขนาดเดิมและหนักเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักเดิม ครอบคลุมการปิดกั้นคลื่นเวทมนตร์ด้วยขอรับ เพียงสี่ร้อยคะแนนอาร์คานาเท่านั้น” เจ้าของร้านแนะนำสินค้า
หัวใจของลูเซียนกำลังหลั่งโลหิต กระเป๋าใบนี้เพิ่งทำให้เขาต้องเสีย ‘หินคลื่น’ ไปสามก้อน ห้าสิบแปดธาเลกับหกคะแนนอาร์คานา และในตอนนี้กระเป๋าขนาดเท่าฝ่ามือก็เต็มไปด้วยหนังสือ สมุดบันทึก และวัตถุดิบอุปกรณ์ทั้งหมดของลูเซียน
เมื่อเห็นสีหน้าสิ้นหวังของลูเซียน ลาซาร์จึงปลอบใจเขา “เอาน่า เพื่อน เลิกรู้สึกใจสลายได้แล้ว หากไม่ใช่ว่านี่เป็นสินค้าที่มีจำนวนมาก เจ้าอาจต้องจ่ายมากถึงหนึ่งพันคะแนนอาร์คานาสำหรับกระเป๋ามิติระดับสาม! ก่อนหน้านี้ กระเป๋าแบบนี้น่ะแพงมาก อีกอย่างนะ กระเป๋าเป็นสิ่งจำเป็น และเจ้าก็ไม่ได้ใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลืองสักหน่อย”
ลูเซียนพยักหน้า แต่ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งขาดทุนอย่างใหญ่หลวง
“ว่าแต่ ครั้งหน้าที่ข้าต้องการ ‘หินคลื่นพลัง’ ข้าขอซื้อจากเจ้าในราคาที่ถูกกว่าสักหน่อยจะได้หรือไม่” ลาซาร์พยายามดึงความสนใจของลูเซียน “เอาเป็นว่า เมื่อไหร่ที่บทความของเจ้าตีพิมพ์ออกไป ข้ามั่นใจว่าต้องมีคนมากมายอ้างอิงถึงบทความของเจ้าเพื่อพัฒนาคาถาบทนั้นเป็นแน่ เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าก็จะมีคะแนนอาร์คานามากมาย เชื่อข้าสิ”
“ลาซาร์… เสื้อคลุมเวทมนตร์ของเจ้าก็เป็นสินค้าที่ผลิตทีละจำนวนมากใช่หรือไม่” ลูเซียนถาม
“ลืมๆ เรื่องสินค้าพวกนั้นไปเถอะน่า…” ลาซาร์รู้สึกขบขัน “เราจะไปที่ไหนกันต่อดี”
“ห้องสมุด! ห้องสมุดอาร์คานาสามัญ!” ลูเซียนพลันอารมณ์ดีขึ้นมา
…
“อะไรนะ! จ่ายก่อนอ่านงั้นหรือขอรับ!” ลูเซียนถามด้วยความตกตะลึง
บรรณารักษ์ชรายิ้มกริ่ม “เจ้ายังเยาว์และเขลานัก พ่อหนุ่ม ไม่นานหลังจากที่ห้องสมุดสร้างขึ้น นักเวทหลายต่อหลายคนที่มีพลังวิญญาณกล้าแกร่งและความทรงจำดีเยี่ยมต่างมาที่นี่เพื่อจดจำเนื้อหาในตำราภายในห้องสมุด หลังจากนั้นพวกเขายังถึงกับสร้างวงแหวนเวทแสนซับซ้อนขึ้นเพื่อคัดลอกตำราในที่แห่งนี้ ทุกคนต่างรู้ดีว่าความรู้คือทรัพย์สิน และจะไม่มีผู้ใดได้ไปโดยไม่ต้องแลกเปลี่ยน”
แม้ว่าเส้นผมของบรรณารักษ์ผู้นี้จะเป็นสีดอกเลาเพียงครึ่งหนึ่งและค่อนข้างสั้น เขาก็ยังดูเป็นชายหน้าตาดีผู้มีมารยาและท่าทางสง่างาม แต่กระนั้นลูเซียนกลับไม่ชอบเขาเลยสักนิด
“แต่… แต่ถ้าข้าไม่เปิดดูเนื้อหาข้างในก่อน ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าตำราพวกนี้คือตำราที่ข้ากำลังมองหาอยู่น่ะขอรับ” ลูเซียนยังคงพยายาม
“ข้าได้ยินแบบนั้นมาตลอด พ่อหนุ่ม” บรรณารักษ์ร่างเล็กโบกนิ้วชี้ไปมาตรงหน้าลูเซียน “เป็นเหตุผลเดียวกันเสมอ”
บรรณารักษ์เคาะมือลงบนวงแหวนเวท แล้วควันสายหนึ่งก็พวยพุ่งออกมา ชายร่างกำยำเปลือยอกปรากฎกายขึ้นกลางอากาศ บนศีรษะมีผมสีดำดูนุ่มสลวย
“นี่คืออเล็กซ์ ภูติญินแห่งห้องสมุดอาร์คานาสามัญ ‘ชีวินรสายนเวท’ ผู้มีความทรงจำดีเลิศ” บรรณารักษ์เอ่ยแนะนำ “บอกเขาได้เลยว่าเจ้าต้องการองค์ความรู้ในเรื่องใด แล้วอเล็กซ์จะบอกเจ้าว่าตำราเล่มไหนที่เจ้าต้องใช้ อยู่ตรงไหน และรวมถึงบทคัดย่อ”
“ยินดีต้อนรับ อเล็กซ์พร้อมให้บริการขอรับ” ภูติญินทักทาย
“เช่นนั้น… ยืมตำราหนึ่งเล่มนี่เท่าไรหรือขอรับ” ลูเซียนพยายามสงบเยือกเย็น
“ห้องสมุดเปิดให้นักเวทจากสภาใช้เท่านั้น เจ้าต้องจ่ายสิบนาร์เพื่อยืมตำราเจ็ดวัน”
“สิบนาร์งั้นหรือ” ลูเซียนแทบจะอุทานออกมาว่านี่มันปล้นกันชัดๆ ในเมืองอัลโต้ เขาสามารถซื้อหนังสือเล่มหนาได้ในราคาเพียงหนึ่งหรือสองนาร์เท่านั้น
“ช่างน่าเสียดาย…” บรรณารักษ์ชราส่ายศีรษะ “คนหนุ่มสมัยนี้ไม่เข้าใจสักนิดว่าความรู้เป็นสิ่งล้ำค่าถึงเพียงใด หากเป็นเมื่อก่อนนี้นะ…”
“เอาล่ะๆ ขอรับ…” ลาซาร์ลูบศีรษะตนเองเล็กน้อย “มีวิธียืมตำราแบบอื่นไหมขอรับ”
“หากท่านยินดีจ่ายคะแนนอาร์คานาล่วงหน้าสองคะแนน ท่านจะสามารถยืมตำราได้มากสุดสี่สิบเล่มต่อหนึ่งเดือน ในระยะเวลาเจ็ดวันเหมือนกันขอรับ” อเล็กซ์กล่าว “เรารับคะแนนอาร์คานาตามเงื่อนไขนี้เท่านั้นขอรับ”
เห็นได้ชัดว่า สภาเวทมนตร์สนับสนุนให้นักเวทใช้คะแนนอาร์คานาอย่างมาก
ลูเซียนพยักหน้า จากนั้นจึงยื่นเหรียญตราของเขาให้กับบรรณารักษ์ “เช่นนั้นข้าขอแบบสี่สิบเล่มต่อเดือนขอรับ”
หลังจากหักลบคะแนนออกจากเหรียญตราของลูเซียนโดยใช้วงแหวนเวทแล้ว บรรณารักษ์ชราก็กล่าวกับลูเซียนอย่างจริงจัง “เจ้าคือนักเวท เพราะฉะนั้นจงอย่าคิดเล็กคิดน้อยกับตำราและวัตถุดิบสำหรับการทดลอง หากเจ้าอยากจะเก็บเงิน จงเก็บด้วยการซื้ออุปกรณ์เวทมนตร์ให้น้อยลงดีกว่า”
ลูเซียนพยักหน้ารับ ด้วยรู้ว่านี่คือการแนะนำด้วยความจริงใจ
จากนั้นเขาก็หันไปมองอเล็กซ์ “ข้าขอทราบว่าบทความงานวิจัยเกี่ยวกับดวงจิตและการศึกษาร่างกายมนุษย์ใดที่ทันสมัยที่สุดขอรับ”
อเล็กซ์ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ข้อคิดเกี่ยวกับดวงจิตในฐานะตัวนำภาวะจิต” โดยวิเซนเต มิรันดา จอมมหาเวท”
“ข้ออภิปรายเรื่องธาตุในดวงจิตและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพิเศษ” โดยวิเซนเต มิรันดา จอมมหาเวท”
…
“เหตุใดการมอบชีวิตใหม่จึงเป็นไปได้ การวิเคราะห์และการเลียนแบบกลไกการซ่อมแซมบาดแผลในเซลล์’ โดยเฟลิเป จอมเวทระดับสี่”
“เฟลิเปงั้นหรือ” ลูเซียนประหลาดใจในความก้าวหน้าของงานวิจัยของเฟลิเป ทว่า เมื่อคิดอีกครา ภายใต้การชี้นำของจอมมหาเวทวิเซนเต มิรันดา และพื้นฐานองค์ความรู้ในการศึกษาเรื่องร่างกายมนุษย์และสัตว์เวท การที่ผลงานแสนนำสมัยเช่นนี้จะถือกำเนิดขึ้นก็ยังนับว่าสมเหตุสมผล
อย่างไรโลกใบนี้ก็แตกต่างจากโลกเดิมของลูเซียน หรือพูดให้ถูกคือ โลกนี้มีความก้าวหน้ามากกว่า
“รายงานวิจัยนั้นทำให้ทั้งสภาตกตะลึง ท่านเฟลิเปเองก็ได้รับชื่อเสียงมหาศาลจากรายงานฉบับนี้ จึงได้เป็นจอมเวทระดับสี่และนักเวทผู้เป็นความหวังของ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ ลาซาร์กล่าวด้วยความหวาดเกรง
ลูเซียนพยักหน้า ตอนแรกเขาคิดว่าเฟลิเปนั้นหยิ่งยโสเกินไป แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเฟลิเปมีพรสวรรค์อย่างจริงแท้และชอบการแข่งขันอย่างยิ่ง
หลังจากนั้น ลูเซียนก็ขอยืมวารสารอาร์คานาสองฉบับกับวารสารเวทมนตร์หนึ่งฉบับ ซึ่งตีพิมพ์รายงานวิจัยตามที่อเล็กซ์พูดถึง และยืมหนังสืออีกสามเล่มที่มีความรู้พื้นฐานทางด้านดวงจิต
แล้วเขาก็ถามอเล็กซ์อีกครั้ง “ท่านอเล็กซ์ขอรับ ได้โปรดช่วยข้าหารายงานการวิจัยที่วิเคราะห์ประเมินธรรมชาติอันแตกต่างของธาตุที่มีอยู่ในตอนนี้ทั้งหมด เช่นเดียวกับบทความที่อธิบายความเชื่อมโยงระหว่างธาตุบางธาตุได้หรือไม่”
“เป็นข้าคงแนะนำให้เจ้าอ่านบทความเกี่ยวกับการนิยามธาตุขึ้นใหม่นะ ลูเซียน” ลาซาร์กล่าวด้วยความมึนงง “มันเป็นส่วนพื้นฐานทางอาร์คานาของศาสตร์แห่งธาตุไม่ใช่หรือ”
“ข้าเข้าใจเจ้า ลาซาร์ แต่ก็อย่างที่เจ้าบอก ในฐานะนักเวทแห่งธาตุ ข้าจำเป็นต้องอ่านบทความสำคัญทั้งหมด และข้าก็จะยืมตำราที่เกี่ยวข้องด้วย ในขณะเดียวกัน ข้าเองก็อยากจะเข้าใจพื้นฐานทางธรรมชาติของแต่ละธาตุและรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับศาสตร์นี้ในช่วงนี้ เพื่อความสะดวกต่อการวิจัยและการศึกษาในอนาคตของข้า”
“เป็นเช่นนี้เอง เจ้ารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่สินะเพื่อน” ลาซาร์พยักหน้า จากนั้นเขาก็เริ่มครุ่นคิดพิจารณาว่าเขาควรจะยืมหนังสือเล่มใดดี
………………………