ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 733 เข้าภูเขาคุนหลุน

หลังจากที่ดื่มกันไปรอบวงแล้วทุกคนก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้หลอกอย่างที่พวกเขาคิดไว้ หลี่ว์ซู่ไม่ได้เมาเลยสักนิด แต่จางเยี่ยนเฟิงและคนอื่นๆ ใกล้จะอาเจียนกันแล้ว…

จางเยี่ยนเฟิงและนักเดินทางที่มีชื่อเสียงอื่นๆ ได้แจกแผ่นโบรชัวร์เกี่ยวกับเส้นทางไปหุบเขามรณะอยู่นอกโรงแรม พวกเขาประกาศออกไปอย่างโจ่งแจ้งว่าพวกเขาผู้บำเพ็ญลับระดับ D นำกลุ่มไปด้วย สุดท้ายพวกเขาก็รวบรวมคนจนครบ 12 คนภายในระยะเวลา 2 วัน

กลุ่มคนที่มาใหม่ประกอบด้วยผู้ชาย 4 คน และผู้หญิง 1 คน และมีคู่รักในหมู่คนที่มาใหม่ด้วย

ทุกคนดูจะเตรียมตัวกันมาอย่างดี ขนาดผู้หญิงคนนั้นยังดูมีประสบการณ์มากเลย เหมือนกับว่าเธอแบกเป้มาเที่ยวบ่อยแล้ว

สมัยนี้ไม่ได้มีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่จะหาความตื่นเต้นในชีวิตได้ ผู้หญิงก็ทำได้เช่นกัน แต่คนกลุ่มใหม่พวกนี้ไม่ได้อายุน้อยๆ กันเลย สมาชิกที่อายุน้อยที่สุดก็คือ 25 ปี ดูจากที่พวกเขาแต่งตัวกันแล้ว พวกเขาน่าจะมาจากตระกูลคนรวย และน่าจะรวยกว่าหลี่ว์ซู่มาก

หลี่ว์ซู่ใส่เสื้อแจ็กเกตที่มีราคามากกว่า 300 หยวน ทุกคนสวมรองเท้าปีนเขา แต่หลี่ว์ซู่ใส่รองเท้าผ้าใบ เขาไม่อยากใช้เงินมากที่นี่ เขาเอาชีวิตรอดได้แม้จะใส่เสื้อยืดตัวเดียวท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น อย่าว่าแต่ใส่รองเท้าเลย เพราะทุกครั้งที่เขาออกแรงมากเกินไปเขาจะทำรองเท้าพังทุกที และทุกการต่อสู้ก็ทำให้เขากระวนกระวายใจ

จางเยี่ยนเฟิงมองชุดที่หลี่ว์ซู่ใส่แล้วพูดออกมา “เดี๋ยวนายจะไปลำบากบนภูเขาแน่ถ้าแต่งตัวแบบนั้นไปนะน้องชาย นายต้องใส่เสื้อแจ็กเกต รองเท้าปีนเขา รองเท้าลุยหิมะและเครื่องแต่งกายอื่นๆ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น ถึงจะเป็นฤดูนี้ก็เถอะ แต่บนภูเขาเขาคุนหลุนก็อาจจะมีหิมะตกได้นะ”

หลี่ว์ซู่คิดตาม เขาไม่สามารถทำให้ตัวเองเด่นมากได้ เขาเลยไปซื้อชุดแบบที่ถูกที่สุดและเดินกลับมา

คนอื่นๆ ไม่ได้ออกความเห็นเรื่องการแต่งการของหลี่ว์ซู่อีกแล้ว ทุกคนต่างต้องรับผิดชอบตัวเอง อย่ามาบ่นทีหลังว่าข้างบนภูเขานั่นหนาวแทบตายล่ะ

สมาชิกใหม่อีกห้าคนไม่ได้อยากมาพูดกับหลี่ว์ซู่ เพราะพวกเขาคิดว่าตัวเองอยู่ในระดับที่เหนือกว่า และโลกที่พวกเขาอยู่ก็แตกต่างออกไป

พวกเขาเคยแบกเป้ปีนเขากันมาแล้ว หลังจากที่นักปีนเขาเหล่านี้รู้ภูมิหลังครอบครัวและสถานะทางการเงินแล้วของกันและกันแล้ว พวกเขาก็ขอการสนับสนุนเรื่องเงินทุกวัน มิตรภาพที่พวกเขาสร้างมาก็หายวับไปในครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

ผู้หญิงคนนั้นมองหน้าหวังเจ๋อแล้วพูดออกมา “เราจ่ายเงินไปแล้วนี่คะ แล้วคุณก็ได้ในสิ่งที่อยากได้ไปแล้ว ไหนลองแสดงให้พวกเราดูหน่อยว่าคุณเป็นผู้บำเพ็ญลับระดับ D จริงๆ พื้นผิวที่ภูเขาคุนหลุนไม่เรียบเสมอกันนะคะ ถ้าคุณโกหกเรา เราอาจจะตายกันหมดได้”

หวังเจ๋อยกก้อนหินที่เอาไว้ตกแต่งในโรงแรมขึ้นมาด้วยความหยิ่งทะนง “แค่นี้พอไหม”

ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอเห็นความแข็งแกร่งของเขาแล้ว

ตอนนี้พวกนักปีนเขาทุกคนก็รู้ว่าภูเขาคุนหลุนนั้นไม่ปลอดภัย เพราะฉะนั้นคนรวยๆ ก็อยากจะไปกับกลุ่มที่มีผู้บำเพ็ญลับเป็นคนนำ จางเยี่ยนเฟิงหัวเราะออกมา “ไม่ต้องเป็นห่วงกันหรอกครับทุกคน เมื่อวานมีกลุ่มหนึ่งออกมาจากช่องเขาเค่อหลี่หย่า พวกเขาไม่ได้เจอกับอันตรายอะไรกันตลอดทาง และก็มีอีกหลายกลุ่มเดินเข้าออกภูเขาคุนหลุนและก็ไม่เจออะไรกันเลยนะครับ”

หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้ว มิน่าล่ะพวกเขาถึงกล้าหาญกัน เพราะทุกคนออกมาได้อย่างปลอดภัยนี่เอง

แต่เขายังไม่แน่ใจ หรือว่าการเปลี่ยนแปลงของภูเขาคุนหลุนจะไม่ได้ยิ่งใหญ่มากอย่างที่เขาคิดไว้กันนะ

พวกเขาจะออกเดินทางไปยังเทือกเขาคุนหลุนในวันรุ่งขึ้น จางเยี่ยนเฟิง หวังเจ๋อ และคนอื่นๆ เตรียมอุปกรณ์และทำเครื่องหมายโดยละเอียดบนแผนที่เพื่อยืนยันเส้นทางที่จะไป บางคนก็ปรับการนำทางของ GPS ไปที่เหมืองเคนดริกซึ่งจะเป็นที่ที่พวกเขาจะออกไปกัน ถ้าพวกเขาออกนอกเส้นทางไปก็จะทำให้ติดอยู่ในภูเขาคุนหลุนที่แสนจะอันตรายได้

หลังจากที่หลี่ว์ซู่มาถึงที่ซ่าเฉิงกว่าห้าวัน พวกเขาก็นั่งเครื่องบินไปที่ชิงโจว พวกเขาจะปีนเขาผ่านภูเขาฉีมั่นถ่าและเดินไปตามเขตแดนของทะเลทรายคู่มู่คู่หลี่ก่อนที่จะไปถึงภูเขาคุนหลุนในที่สุด

หลี่ว์ซู่เห็นภูเขาคุนหลุนอยู่ข้างล่างเมื่อนั่งอยู่บนเครื่องบิน ภูเขามองเห็นเป็นสีดำเหมือนกับเถ้าถ่านในกองไฟ

เขารู้สึกว่ามีบางอย่างในภูเขากำลังจับจ้องพวกเขาอยู่ และทำให้หลี่ว์ซู่รู้สึกสงสัยมาก

จังเหยียนเฟินซื้อแป้งนานที่เมืองชิวโจว นานเป็นอาหารที่เหมาะกับการกินบนภูเขามากกว่าอาหารอื่นๆ เพราะมันเก็บรักษาง่ายและระงับความหิวได้ดี

หลี่ว์ซู่เก็บน้ำและอาหารจำนวนมากไว้ในตราแผ่นดิน เขาจะไม่ตายที่นั่นเพราะความหิวหรือกระหายน้ำแน่ๆ

ในขณะที่พวกเขาปีนขึ้นภูเขาฉีมั่นถ่า หลี่ว์ซู่ปีนเขาขึ้นไปเป็นคนสุดท้ายอยู่เสมอ เขาดูเหมือนจะหยุดกลางคันได้ตลอดเวลา แต่สุดท้ายเขาก็ตามมาได้อยู่ดี ไม่มีใครรู้ว่าเขาแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็คิดกันว่าเดี๋ยวหลี่ว์ซู่ก็จะเหนื่อยเกินขีดจำกัดของตัวเองไปเอง

จางเยี่ยนเฟิงและคนอื่นๆ ดูแลพวกคนรวยดีมาก แต่ไม่มีใครอยากจะช่วยหลี่ว์ซู่เลย เว้นเสียแต่ว่าเขาจะจ่ายเพิ่ม

จางเยี่ยนเฟิงและคนอื่นๆ กำลังรอให้หลี่ว์ซู่ยอมแพ้และเข้าไปช่วยเขา หลังจากนั้นพวกเขาก็จะขอเงินเพิ่ม แต่หลี่ว์ซู่ไม่ปริปากบ่นเลยระหว่างการเดินทาง

อยากจะเล่นกับฉันงั้นเหรอ… เขาคือหลี่ว์ซู่ที่อยู่เหนือกว่าคนระดับ B ด้วยกันนะ คนพวกนี้สู้เขาไม่ได้หรอก ถึงจะต่อให้พวกเขาขับรถยนต์ก็เถอะ

[ได้รับแต้มจากจางเยี่ยนเฟิง +10 +10 +19…]

พวกเขาผ่านแม่น้ำมาแล้ว และมีสถานีสูบน้ำอยู่ริมแม่น้ำ เจ้าหน้าที่ในสถานียืนยันที่จะเลี้ยงอาหารดีๆ แก่หลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ หลี่ว์ซู่หยิบเอาแอปเปิลออกมาสองลูกจากในกระเป๋า แล้วก็ยื่นให้เจ้าหน้าที่คนนั้น ที่นี่ไม่ค่อยมีผักผลไม้เท่าไหร่

ผู้คนมักใกล้ชิดกันมากขึ้นในสถานที่ที่ไม่ค่อยมีผู้คน แต่เมื่อคนที่เหลือเห็นว่าหลี่ว์ซู่ยังมีแรงที่จะนำผลไม้ฟุ่มเฟือยอย่างแอปเปิลมา พวกเขาก็รู้สึกเหม็นขี้หน้า

หลี่ว์ซู่ไม่ได้พูดคุยกับคนอื่นๆ ในกลุ่มเลย ตอนพวกเขาปีนเขามาก็จะเห็นฝูงละมั่งเดินผ่านมาบ้าง เขาอยากจะไปดูว่าพวกสัตว์เหล่านี้กลายพันธุ์หรือยัง แต่ก็ยังไม่เห็นร่องรอยของการกลายพันธุ์

เขายังเห็นละมั่งที่สันเขาซึ่งมีร่างกายกำยำผิดปกติ เขาก็มันก็คมอย่างกับมีด มันมองดูกลุ่มคนมาจากที่ไกลๆ หลี่ว์ซู่รู้ว่าพวกเขายังไปไม่ถึงใจกลางของบริเวณนี้เลย

ก่อนที่พวกเขาจะออกมาจากสถานีสูบน้ำ หลี่ว์ซู่ก็ใช้โอกาสนั้นหาสัญญาณเพื่อส่งข้อความหาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ [ที่นี่ปลอดภัยดี ฉันกำลังจะเข้าไปในภูเขาคุนหลุน แล้วเดี๋ยวจะออกมาอีกใน 12 วัน ไปรวมตัวกันที่ชิงโจวนะ]

คืนนั้นจางเยี่ยนเฟิงก็พากลุ่มไปบริเวณที่ไม่มีลมพัดผ่านเพื่อกางเต็นท์สำหรับพักคืนนี้ ทุกคนนั่งลงและบีบแผลพุพองที่เท้าตัวเอง หลี่ว์ซู่นั่งลงที่ปากทางเข้าเต็นท์ของตัวเองและมองดูดวงดาว เหมือนกับว่าดวงดาวพวกนี้กำลังหายใจไปพร้อมกับเขา

โลกนี้ยิ่งใหญ่เสียจริง

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เอาข้อความที่ได้จากหลี่ว์ซู่ไปให้ทุกคนดูในชิงโจว หลัวหนานพูดขึ้นมา “งั้นเรารอหลี่ว์ซู่ที่นี่กันเถอะ”

เฉินจู่อานใจร้อน “อาจารย์มากับพวกเราจะดีจริงๆ เหรอครับ นี่ไม่ใช่การละทิ้งหน้าที่ใช่ไหมครับ”

“ไม่หรอก” หลัวหนานยิ้ม “เรามาเก็บตัวอย่างกันไง”

เฉิงชิวเฉี่ยวสงสัยขึ้นมา “พี่จู่อาน พี่กลัวการโดดเรียนอยู่เหรอ พี่ดูไม่เหมือนนักเรียนดีเด่นเลยนะ”

เฉินจู่อานทำหน้าเศร้า “ฉันไม่เคยโดดเรียนมาก่อนในชีวิตเลย ฉันยังจำฝังใจมาตั้งแต่เด็ก ตอนฉันอยู่ประถม ฉันเคยโกหกว่าปวดท้องแล้วอยากกลับบ้าน คนดูแลชั้นเรียนเลยโทรหาพ่อของฉัน พ่อฉันอยากจะให้ฉันไปโรงพยาบาล แต่ฉันบอกเขาไม่ได้ว่าฉันไม่เป็นไรหรอก ถ้าบอกไปก็โดนตีน่ะสิ พอไปถึงโรงพยาบาลแล้วหมอก็บอกว่าฉันเป็นไส้ติ่งอักเสบ แล้วก็ต้องผ่าตัดเอาไส้ติ่งออก…”

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset