“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” จางเยี่ยนเฟิงเห็นว่าหลี่ว์ซู่ใจลอยไป เขาไม่รู้ว่าตัวจริงของหลี่ว์ซู่เป็นใคร เขาก็ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าหลี่ว์ซู่ตกใจแค่ไหนที่เข้ามาเห็นรูปของหลัวหนานแบบนี้
ฐานนี้สร้างขึ้นโดยการนำอาคารชั่วคราวสามอาคารมาเรียงต่อกันเป็นสามเหลี่ยม มีเครื่องทำความร้อนแบบเติมเชื้อเพลิงอยู่ พื้นที่บริเวณหนึ่งมีกล่องใส่อาหารกระป๋องวางเรียงอยู่อย่างเป็นระเบียบ
หลี่ว์ซู่ส่ายหน้า “ในฐานะที่คุณมีประสบการณ์เรื่องนี้ ลองประมาณได้ไหมครับว่าสถานที่นี้ถูกทิ้งร้างมานานแค่ไหนแล้ว”
“บอกไม่ได้หรอก” จางเยี่ยนเฟิงตอบ “ปกติแล้วในสถานที่ที่คุ้นเคยจะบอกได้ง่ายกว่า แค่ดูจำนวนฝุ่นก็บอกได้แล้วว่าถูกทิ้งร้างมานานแค่ไหน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาที่นี่น่ะสิ ก็เลยไม่มีข้อมูลมากพอ”
“เดี๋ยวนะครับ รอผมตรงนี้นะ” หลี่ว์ซู่พูดจบก็เดินเข้าไปในอาคารชั่วคราว
“นายไม่กลัวเหรอว่าหวังเจ๋อจะไปถึงก่อน” จางเยี่ยนเฟิงถามอย่าไม่มั่นใจ
“เขาจะพาพวกเราไปตายแน่ครับ” หลี่ว์ซู่พูดเสียงเรียบ
จางเยี่ยนเฟิงตกตะลึง ตอนแรกที่หลี่ว์ซู่เข้าร่วมกลุ่มมาด้วยเขาก็รู้แล้วว่าหลี่ว์ซู่อยากจะไปที่หุบเขามรณะ ถ้าเขาเป็นคนธรรมดาจางเยี่ยนเฟิงก็คงไม่คิดอะไรมาก แต่เห็นได้ชัดว่าหลี่ว์ซู่ไม่ใช่คนธรรมดา เขาเล็งเป้าหมายมาที่หุบเขามรณะโดยเฉพาะ เขารู้อะไรมากกว่าจางเยี่ยนเฟิงแน่ๆ
น่าจะมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น ชายหนุ่มอย่างหลี่ว์ซู่ถึงได้มาที่นี่
หลี่ว์ซู่เปิดลิ้นชักทั้งหมดในอาคารชั่วคราวนี้ออกดูหวังใจว่าจะเจอเบาะแสอะไรบ้าง เขาเจอสมุดบันทึกการสำรวจ แต่เนื้อหาก็ไม่ได้สำคัญอะไร ดูเหมือนว่าคนในฐานจะไม่ได้รับคำสั่งให้เข้าไปในหุบเขามรณะ แต่พวกเขาต้องมาสังเกตสัตว์กลายพันธุ์ที่นี่แทน
หลี่ว์ซู่มองดูวันที่พวกนี้ วันที่ล่าสุดที่ปรากฏคือสี่เดือนที่แล้ว
หลังจากนั้นทุกอย่างก็หายไปหมด ยกเว้นหลัวหนาน
หลี่ว์ซู่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมา “เราพักกันที่นี่เถอะครับ ผมมีบางอย่างจะต้องทำ”
มีแสงสีน้ำเงินกะพริบบนภูเขาคุนหลุนจากที่ไกลๆ ภูเขาสีดำทั้งหมดเป็นเหมือนหุบเหวนรก
ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็อยากจะเดินเข้าภูเขาไปตอนกลางคืนเพื่อไปดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า แต่เขาก็ต้องหยุดความคิดนั้นไว้ก่อนเมื่อมาเจอเรื่องหลัวหนาน เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ก่อน
หลี่ว์ซู่ไม่เจอป้ายพนักงานของหลัวหนานที่นี่ ในรูปนั้นมีกลุ่มคนกว่า 20 คนอยู่ หลี่ว์ซู่ยังไม่อยากฟันธงเลยว่าหลัวหนานเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับ C ที่ถูกให้มาประจำที่นี่หรือเปล่า ถ้าเขาต้องไปทำงานในที่ทุรกันดารเหมือนคนอื่นๆ ก็คงจะสมเหตุสมผลดีแล้วที่เขาไปอยู่ในรูปนั้นด้วย หลี่ว์ซู่เก็บรูปลงในตราแผ่นดินเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเห็นมัน
จางเยี่ยนเฟิงไม่ได้ถามอะไรหลี่ว์ซู่ต่อ เขาเดินไปเปิดเครื่องทำความร้อน และข้างๆ ที่ทำความร้อนก็มีเครื่องปั่นไฟอยู่ ตอนนี้ก็เป็นช่วงปลายเดือนมิถุนายนแล้ว แต่เนื่องจากระดับความสูงของภูเขา เลยทำให้อากาศหนาวเย็นมากโดยเฉพาะตอนกลางคืน
หิมะกำลังก่อตัวขึ้นมาบนภูเขาคุนหลุน อยู่ๆ ข้างนอกก็มีหิมะก็ตกลงมา
อุณหภูมิในอาคารนี้ค่อยๆ อุ่นขึ้นมา ฐานเล็กก็เหมือนเป็นบ้านหลังเล็กที่อบอุ่น ทุกคนรู้สึกโล่งใจ
หลี่ว์ซู่ยืนอยู่ตรงประตูของอาคารชั่วคราว เขาจ้องมองไปที่ภูเขาคุนหลุนอย่างใจลอย ทุกคนเริ่มจะเอาเสื้อโค้ทออกมาใส่แล้ว สามีของหวังเยี่ยนขอโทษขอโพยหวังเยี่ยนไม่หยุด แต่เธอก็ไม่คิดจะรับคำขอโทษนั้น หลังจากที่ถูกปล่อยให้อยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาเธอก็ยังใจเสียอยู่ไม่น้อย
จางเยี่ยนเฟิงเอากาน้ำมาต้มน้ำบนเครื่องทำความร้อน บนที่สูงขนาดนี้ทำให้จุดเดือดของน้ำต่ำมาก ในสถานการณ์ปกติถ้าต้มน้ำให้ได้ 70 องศาเซลเซียสก็จะฆ่าแบคทีเรียส่วนใหญ่ได้แล้ว ซึ่งจะต้องต้มน้ำนานกว่า 20 นาทีเพื่อฆ่าเชื้อโรคที่ทนต่อความร้อน แต่ในที่ทุรกันดารแบบนี้ก็ไม่มีใครสนใจเรื่องนั้นมากกันเท่าไหร่
จางเยี่ยนเฟิงส่งแก้วน้ำร้อนให้หลี่ว์ซู่ เขามองไปที่แสงสีน้ำเงินที่ส่องสว่างในป่าแล้วถอนหายใจ “สวยจังนะ ครั้งแรกที่มาปีนเขาฉันตามเพื่อนมา ตอนนั้นเป็นครั้งแรกเลยที่เห็นท้องฟ้ากว้างใหญ่ในป่าแบบนี้ จากนั้นฉันก็รู้ว่านี่แหละที่ของฉัน ถ้าเป็นที่อื่นก็ไม่มีทางได้เห็นหิมะในเดือนมิถุนายนหรอก ถ้าเอาเหล้ามาก็คงดีนะ แหม พูดเสียเป็นกวีเลย กลางคืนกำลังย่ำเข้ามาและหิมะกำลังโปรยปราย สหายเอ๋ย จงมาร่ำสุรากับข้าสักถ้วย… [1] เอ ท่อนต่อไปว่ายังไงนะ”
หลี่ว์ซู่เงียบไปสองวินาทีก่อนตอบ “เมาแล้วขับ กลับไม่ถึงบ้านหรือเปล่าครับ”
[ได้รับแต้มจากจางเยี่ยนเฟิง +666]
จางเยี่ยนเฟิงสำลัก เขาถามกลับทันที “แล้วทำไมนายต้องหยุดไปสองวินาทีก่อนตอบทุกทีเลย”
“ก็ผมจะต้องใช้ความสามารถของผมภายในสองวินาทีไงครับ” หลี่ว์ซู่พูดขณะมองทอดออกไปโดยไม่หันหลังกลับ สีหน้าของเขาเย็นชาอย่างกับหิมะ
[ได้รับแต้มจากจางเยี่ยนเฟิง +66]
จางเยี่ยนเฟิงเริ่มรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ งั้นที่ทำให้คนอื่นอับอายขายหน้าก็เป็นความสามารถของนายงั้นสินะ!
หลี่ว์ซู่หันขวับมามองจางเยี่ยนเฟิง “คุณน่าจะมีโทรศัพท์สัญญาณดาวเทียมติดตัวอยู่ใช่ไหมครับ”
นักปีนเขาที่มาบ่อยๆ มักจะมีโทรศัพท์สัญญาณดาวเทียมอยู่ จางเยี่ยนเฟิงก็เลยหยิบออกมาจากกระเป๋าใบเล็กของเขาแล้วยื่นให้หลี่ว์ซู่ หลี่ว์ซู่เดินออกไปเพื่อไปโทรศัพท์
จางเยี่ยนเฟิงร่วมมือกับหลี่ว์ซู่มาตั้งแต่ที่พวกเขาไปเจอหมียักษ์ เขารู้สึกว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนลึกลับมาก แล้วชายหนุ่มลึกลับอย่างเขาก็ควรค่าแก่การลงทุน
แต่เขาไม่แน่ใจเลยว่าชายหนุ่มคนนี้มาจากไหนกันแน่
หลี่ว์ซู่เดินกลับเอาโทรศัพท์สัญญาณดาวเทียมมาคืนให้จางเยี่ยนเฟิง “เราจะอยู่กันที่นี่สองวันเพื่อรอให้เพื่อนร่วมทีมของผมมา”
จางเยี่ยนเฟิงอึ้ง “เพื่อนๆ ของนายอยู่ใกล้ๆ งั้นเหรอ”
“เปล่าครับ พวกเขาอยู่กันที่เมืองหลวงของจังหวัดชิงโจว” หลี่ว์ซู่ตอบ
“งั้นพวกเขาก็ต้องใช้เวลาห้าถึงหกวันกว่าจะมาถึงนี่นั่นแหละ” จางเยี่ยนเฟิงคำนวณระยะทาง พวกเขาต้องเดินผ่านทะเลทรายคู่มู่คู่หลี่เป็นเวลาสี่วัน และต้องใช้เวลาห้าวันกว่าจะมาถึงที่นี่ ถึงกลุ่มเพื่อนของหลี่ว์ซู่จะเป็นผู้บำเพ็ญทั้งหมดก็เถอะ ยังไงก็ต้องใช้เวลาหกวัน
“ไม่หรอกครับ สองวันก็พอแล้ว” หลี่ว์ซู่พูดอย่างมั่นใจ ราวกับว่าเขาไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยว่าเพื่อนร่วมทีมของเขาจะไม่สามารถมาถึงที่นี่ได้ภายในสองวัน
พวกเขาแข็งแกร่งมากขนาดไหนนะ
จางเยี่ยนเฟิงที่คิดว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนลึกลับ ตอนนี้เขาเริ่มจะรู้สึกแล้วว่าเขาอาจจะดูถูกความสามารถของหลี่ว์ซู่มากไป!
ทันใดนั้นก็มีใครบางคนเดินออกมาถาม “เราจะทำอะไรต่อจากนี้เหรอ”
“เราจะหยุดพักสัก 3 วัน ที่นี่มีอาหารกระป๋องให้กิน ดูวันหมดอายุแล้วยังอีกนาน เรามีเชื้อเพลิงเติมไฟฟ้าด้วย” จางเยี่ยนเฟิงตอบ
“ทำไมเราไม่กลับทางเดิมล่ะ จะมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ทำไม” หวังเยี่ยนที่ยืนอยู่นอกประตูพูดเสริมขึ้นมา
“คุณกลับไปเองเลยก็ได้” หลี่ว์ซู่อย่างสงบ “ไม่มีใครรั้งคุณไว้นะครับ”
จากนั้นเขาก็เดินออกไปทางภูเขาคุนหลุน ก่อนเขากลับเขาก็บอกกับจางเยี่ยนเฟิงเอาไว้ “ผมจะไปเดินเล่นเสียหน่อย อย่าตามมานะครับ ไม่ใช่ที่ที่คุณจะไปเดินเล่นได้หรอก”
จางเยี่ยนเฟิงไม่ได้ว่าอะไร เขารู้ว่าขืนตามหลี่ว์ซู่ไปก็เหนื่อยเปล่าๆ ถึงเขาอยากจะพึ่งพาหลี่ว์ซู่แต่เขาก็ไม่สามารถฝากทั้งชีวิตของเขาไว้ในมือหลี่ว์ซู่ได้
——
[1] บทกวีโดยนักกวีชาวจีนชื่อไป๋จวีอี้