ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 898 ยอดมนุษย์จำแลง

ทหารทัพชิงไซกำลังบุกทะลวงอย่างเต็มที่ และทัพเฮยอวี่ก็ไม่คาดคิดว่าจะเห็นทัพชิงไซหลบหนีกลางคันในพื้นที่ราบอันกว้างขวางนี้ขณะที่พวกทัพเฮยอวี่กำลังพุ่งเข้าหาพวกเขาอยู่ ตามแผนเดิมนั้นพวกเขาควรจะซุ่มโจมตีอยู่ระหว่างช่องเขาหลีหยาง แม่ทัพใหญ่ของทัพเฮยอวี่กำลังเตรียมที่จะป้องกันไม่ให้ทัพชิงไซเข้าร่วมกับทัพฉือเหยียนที่ช่องเขาหลีหยางได้

 

 

น่าเสียดายที่ทัพชิงไซไม่ไว้ใจทัพฉือเหยียน ดังนั้นพวกเขาเลยไม่ได้มุ่งหน้าไปทางตะวันตกที่มีช่องเขาหลีหยางอยู่

 

 

พวกเขาเจอพื้นที่ราบซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะต้องต่อสู่กันจนตัวตายเท่านั้น หลิวอี้เจาไม่ใช่คนขี้ขลาดและใจเสาะ เมื่อเขาเห็นว่าทางถูกปิดกั้น เขาก็ไม่ได้กลัวแม้แต่น้อย “ตามฉันมาแล้วพุ่งเข้าใส่พวกมัน ถ้ามีใครตายฉันจะดูแลครอบครัวที่เหลือให้เอง ถ้ามีชีวิตกลับไปเราจะมาดื่มด้วยกัน!”

 

 

หลีอี้เจาอยู่ที่เมืองหนานเกิงมามากกว่าสิบปีแล้ว เขาไม่ได้คาดหวังว่าการโจมตีของทัพเฮยอวี่จะทำให้ความพยายามทั้งหมดของเขาสูญเปล่า มีคนกล่าวว่าคนที่เห็นอกเห็นใจคนมากเกินไปนั้นจะนำทัพไม่ได้ หลิวอี้เจารู้เรื่องนี้ดีเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตามการตายของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ทำให้ใจเขาเจ็บปวดอยู่ดี

 

 

พวกเขามาถึงที่นี่แล้วและจะหันหลังกลับไปไม่ได้ หลิวอี้เจายังจะไม่ตายตอนนี้ เขามีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ!

 

 

หลิวอี้เจาทำได้เพียงขอบคุณที่เขาใช้เวลาและความพยายามในการฝึกฝนทัพชิงไซนี้ คนพวกนี้ไม่ได้เป็นเพียงยอดฝีมือเท่านั้น แต่พวกเขายังภักดีต่อเขาด้วย!

 

 

ทัพชิงไซพุ่งเข้าไปข้างหน้าในทันที แม่ทัพระดับหนึ่งจากทัพเฮยอวี่โฉบขึ้นไปบนฟ้า เขาขว้างหอกยาวมาทางหลิวอี้เจา หอกนั้นแผดเสียงแหลมผ่านอากาศเหมือนกับว่ามันตกลงมาจากฟ้า

 

 

ตราบใดที่เขาพุ่งเข้าใส่ขบวนรถและฆ่าหลิวอี้เจาได้ พวกเขาก็จะเอาชนะทัพชิงไซโดยไม่ต้องเปลืองแรงสู้ได้แน่นอน!

 

 

แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นหลิวอี้เจาบินขึ้นไปในท้องฟ้าเช่นกัน หอกพู่สีแดงในมือของเขาสั่นสะท้าน มีนกกระเรียนสีขาวบินออกมาจากหอกนั้นด้วย!

 

 

เมื่อหลิวอี้เจาขึ้นมาดูแลเมืองหนานเกิง ตอนนั้นเขาอยู่แค่ระดับสองเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นระดับสองตลอดไปในสิบปีที่ผ่านมา

 

 

เขาซ่อนความไม่เพียงพอจากสายตาของคนอื่น แต่เขาก็ไม่ได้คาดว่าเขาจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในแผนของคนอื่น แม้ว่าเขาจะอยู่ในระดับต่ำก็ตาม ตอนนี้มีชีวิตของเขาเป็นเดิมพัน หลิวอี้เจาพุ่งไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลัง!

 

 

“ยอดมนุษย์จำแลงอยู่ไหน!” หลิวอี้เจาคำราม

 

 

ลูกน้องคนสนิทของเขาคนหนึ่งหยิบเอาลูกกลมที่มีดอกบัวสลักอยู่ออกมา เขาบีบมันให้แตกออกมา ลูกดอกบัวลูกนั้นเริ่มเปล่งแสง และกลีบดอกเรืองแสงและโปร่งใสจำนวนมากก็บินออกไปหาแม่ทัพเฮยอวี่!

 

 

แม่ทัพที่อยู่ในชุดเกราะสีดำเห็นท่าไม่ดี เขารีบหนีไปทันทีแต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว!

 

 

การจะสู้อย่างรวดเร็วนั้นจะต้องตัดสินใจให้รวดเร็วเช่นกัน หลิวอี้เจาไม่เพียงแต่แสดงความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาเท่านั้น แต่เขาก็เปิดเผยของวิเศษออกมาด้วย ในโลกนี้จะมีแต่ยอดฝีมือระดับหนึ่งที่บินได้เหนือมนุษย์เท่านั้น และมีแต่ยอดมนุษย์เท่านั้นที่บินได้

 

 

ยอดมนุษย์จำแลง! ผู้ก่อตั้งกระท่อมกระบี่เคยมอบของวิเศษนี้ให้หลิวอี้เจา มันใช้ได้แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นหลิวอี้เจาจึงเก็บมันไว้อย่างดี แต่มีคนจำนวนไม่มากที่รู้ว่าเขามียอดมนุษย์จำแลงอยู่ เขากลัวว่าเขาคงจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองหนานเกิงอีก ผู้ก่อตั้งกระท่อมกระบี่เป็นคนแกะสลักกลีบดอกไม้พวกนี้เอง และอาวุธนี้ก็มีความสามารถในการฆ่าปรมาจารย์ระดับหนึ่ง

 

 

กลีบดอกไม้ปลิวออกไปอย่างรวดเร็ว หลิวอี้เจาเกาะติดกับแม่ทัพอย่างเหนียวแน่น เขาไม่ยอมปล่อยให้แม่ทัพหนีไปแน่ๆ ทั้งสองสู้กันเหมือนเป็นนกเหยี่ยวบนท้องฟ้า ผู้คนบนพื้นไม่สามารถเข้าไปแทรกได้เลย

 

 

ตอนนี้ทัพชิงไซและทัพเฮยอวี่เข้าปะทะกันอยู่ ระลอกทัพสีแดงและระลอกทัพสีดำก็เข้าโจมตีกัน ดูเหมือนกับว่าเป็นลาวาภูเขาไฟที่เพิ่งปะทุไหลมาสัมผัสกับแม่น้ำ!

 

 

มีเสียงคำรามและเสียงโลหะกระทบกัน ฟังเหมือนว่ากับว่ามีบางอย่างกำลังลุกไหม้!

 

 

ทันใดนั้นหลิวอี้เจาก็ยกขาขึ้นมาเตะหอกยาวที่แม่ทัพเอาไว้ปกป้องตัวเอง พวกเขาบินอยู่สูงกว่า 100 ฟุตเหนือพื้นดิน! แล้วกลีบดอกไม้ก็ตัดผ่านเข้าไปในเกราะที่แม่ทัพใส่อยู่จนกรีดเข้าไปในร่างของเขา!

 

 

หลิวอี้เจาถอนหายใจอยู่ข้างใน เขาใช้อาวุธของเขาไปแล้ว เขามองดูกลีบดอกไม้และลูกกลมลอยหายไปพร้อมกับการล่มสลายของแม่ทัพ

 

 

ทัพทั้งสองสู้กันในระยะประชิด ไม่ว่าพวกเขาจะมีแม่ทัพหรือไม่ก็ตาม ทั้งสองก็มีความเชื่อที่แตกต่างกันมาก หลิวอี้เจาพาทัพชิงไซเข้าปะทะไปข้างหน้า ในขณะที่กองทัพเฮยอวี่เริ่มจะถอยไปแล้ว!

 

 

พวกทัพเฮยอวี่นั้นประกอบไปด้วยทหารยอดฝีมือทั้งนั้น ถึงแม้ว่าแม่ทัพของพวกเขาจะตายไป แต่พวกเขาก็จะยังสู้กันจนตาย พวกเขาก้าวเข้าขึ้นมาเติมช่องโหว่แทนที่สหายที่ตายไป!

 

 

ไม่มีใครในทัพเฮยอวี่หนีไปเลยสักคน มีแต่ศพเท่านั้นที่เหลืออยู่ในสนามรบ!

 

 

ทัพชิงไซที่มีทหารแค่ 3000 คนตอนพวกเขาหนีออกมา เหลืออยู่เพียงแค่ 1000 คนแล้ว

 

 

หลิวอี้เจาหันมาดูเมืองหนานเกิงที่ไม่มีเหลืออยู่แล้ว “ทัพอู่เว่ยน่าจะไม่เหลือกันแล้ว เราจะเปลี่ยนเส้นทางหนี! ทิ้งม้าไว้ที่นี่แหละ เราจะเดินเท้าเข้าภูเขากัน!”

 

 

ทัพเฮยอวี่มาจากทางเมืองอวิ๋นอันเช่นกัน ดังนั้นหลิวอี้เจาจึงคิดว่าทัพอู่เว่ยนั้นแตกไปแล้ว ทัพเฮยอวี่มาจากด้านหลัง พวกเขาจะต้องฆ่าทัพอู่เว่ยกันมาก่อนแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกปิดทางหนี ถ้าไม่อย่างนั้นเมื่อทัพเฮยอวี่อยากจะหนีขึ้นมาพวกเขาก็ต้องไปเจอกับทัพเฮยอวี่สิ แล้วก็คงจะทำให้พวกเขามีปัญหากันมาก

 

 

หลิวอี้เจาไม่มีทางบอกได้เลยว่าจะมีทัพเฮยอวี่อยู่ที่เมืองอวิ๋นอันหรือเปล่า เพราะฉะนั้นการทิ้งม้าไว้ที่นี่และไปตามเส้นทางภูเขาก็จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

 

 

หลิวอี้เจารู้สึกว่าพวกเขาถูกศัตรูล้อมอยู่ตลอด พวกเขาโดดเดี่ยวและไร้ซึ่งการช่วยเหลือ และพวกเขาก็รู้สึกอ้างว้างขึ้นมา

 

 

ลูกน้องของเขาพูดขึ้นมาว่า “ท่านครับตอนนี้เรากลายเป็นวิญญาณที่โดดเดี่ยวกันแล้ว”

 

 

หลิวอี้เจาหัวเราะ “แต่เราก็เป็นวิญญาณที่ยังมีเขี้ยวเล็บนะ! ไปต่อกันเถอะ!”

 

 

ด้านหลังของพวกเขามีทัพเฮยอวี่กระจายตัวกันออกไปเหมือนกองทัพตั๊กแตนละขยายวงกว้างในทางใต้ ตำแหน่งเจ้าเมืองมีตั้งสิบตำแหน่ง น่าจะมีเหลือไม่พอสำหรับทุกคนหรอก!

 

 

 

 

ผู้นำคนใหม่ของทัพอู่เว่ยพาคนแก่และคนพิการไปที่ส่วนลึกของเทือกเขาทางตอนเหนือ พวกเขาไม่ได้รีบร้อนอะไร พวกเขากลัวแค่ว่าเมล็ดข้าวที่เอามาด้วยจะชื้นไปเสียหมด เพราะฉะนั้นหลี่ว์ซู่จึงอนุญาตให้พวกเขาไปอย่างช้าๆ กันได้

 

 

หลิวเชียนจือพูดขึ้นมาอย่างจริงใจ “เราดีใจมากเลยนะครับที่มีผู้นำดีๆ อย่างท่าน”

 

 

หลี่ว์ซู่เงียบไปสองวินาที “ฉันก็ดีใจกับนายเหมือนกัน”

 

 

หลิวเชียนจือไม่เข้าใจ

 

 

[ได้แต้มจากหลิวเชียนจือ +99]

 

 

หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ที่อยู่ข้างพวกเขาแอบหัวเราะขึ้นมา หลี่ว์ซู่ก็ยังเป็นหลี่ว์ซู่คนเดิม เขาชอบเงียบไปเล็กน้อยแต่ไม่เคยเงียบได้จริงๆ หรอก

 

 

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ครับ อย่ากังวลไปเลย ถึงแม้ว่าทหารที่ไม่เป็นระเบียบของเราจะเอาไปใช้งานไม่ได้มาก แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนตีสองหน้านะครับ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเย่เสี่ยวหมิงไปตั้งนานแล้ว” หลิวเชียนจือกังวลเป็นที่สุดว่าหลี่ว์ซู่จะไม่เชื่อใจพวกเขา และนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก

 

 

หลังจากผ่านไปสองวัน หลิวเชียนจือก็เข้าใจว่าหลี่ว์ซู่นั้นเป็นคนที่พูดแรงในบางครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้เป็นผู้นำที่เกรี้ยวกราด เขาเห็นด้วยว่าหลี่เฮยทั่นยังกล้าพูดเล่นกับหลี่ว์ซู่ด้วย

 

 

ว่ากันว่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ สามารถแสดงให้เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ ถ้าหลี่ว์ซู่ไม่ใช่ผู้นำนิสัยดี ก็คงไม่มีใครกล้าทำกับเขาแบบนั้นหรอก

 

 

เรื่องอาหารก็เหมือนกัน หลี่ว์ซู่ไม่ได้เก็บกักตุนอะไรไว้เพื่อตัวเองเลย อาหารที่ได้มาก็เอามาเก็บไว้เพื่อเป็นอาหารของทุกคน ถ้าเป็นเย่เสี่ยวหมิงล่ะก็พวกเขาได้ตายไปก่อนที่เขาจะอนุญาตให้ทหารดื่มน้ำสะอาดหรือได้กินข้าวดีๆ แล้ว

 

 

หลิวเชียนจือรู้สึกว่าตามผู้นำถูกคนแล้ว เพราะทุกคนต่างอิ่มท้องกันหมด

Related

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset