ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 900 พบเพื่อนเก่า

นี่เป็นการปะทะกันระหว่างความคิดสมัยใหม่และความคิดแบบเก่า หลี่ว์ซู่รู้ถึงผลของการไม่ใส่ใจในความสะอาด เขาเคยถามหลี่เฮยทั่นและคนอื่นๆ ว่าเคยป่วยกันบ้างไหม หลี่เฮยทั่นก็บอกว่าเคยมีคนตายเพราะเจ็บป่วยมาก่อน เขาไม่รู้ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร  

 

 

หลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ ไม่ได้เจอสัตว์ป่าที่อันตรายมาก หลี่ว์ซู่เห็นสัตว์ระดับสองอยู่ด้วย และนี่ก็เป็นสิ่งที่เขากลัว เพราะสถานที่นี้มีความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณมากเหลือเกิน ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าจะส่งผลต่อมนุษย์อย่างเดียวเท่านั้น  

 

 

หลี่ว์ซู่ตระหนักได้ว่ามีปลิงอยู่ในหนองน้ำน้ำมืดที่สามารถบาดเข้าผิวของผู้บำเพ็ญระดับสามได้ด้วย แล้วปรสิตต่างๆ ล่ะ พวกมันก็ต้องกลายพันธุ์ด้วยเหมือนกัน  

 

 

เขาจับปลิงมาทำการทดลอง ปลิงจะตายก็ต่อเมื่อจมอยู่ในน้ำเพียงนาทีเดียว ดังนั้นหลี่ว์ซู่ก็เลยบอกให้ทหารทุกคนต้มน้ำอย่างน้อยสองนาทีก่อนจะดื่ม  

 

 

โชคดีที่แม่น้ำตรงตีนเขานั้นสะอาดดีและเห็นทะลุลงไปที่ก้นแม่น้ำได้ น้ำที่ใสจนเห็นลงไปลึกขนาดนั้นได้ปกติจะไม่มีปรสิตอาศัยอยู่ และน้ำที่มีปลิงอาศัยอยู่ก็ไม่เหมาะกับการนำมาดื่มถึงแม้ว่าจะต้มแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีสิ่งสกปรกเหลืออยู่อีกมาก  

 

 

สิ่งที่หลี่ว์ซู่อยากทำที่สุดก็คือปลูกฝังความรู้พื้นฐานของเขาให้กับทหารในกองทัพ เขาไม่สนใจว่าพวกเขาจะชอบกันหรือเปล่า แต่เขาก็ตัดสินใจแล้ว  

 

 

พวกชายเถื่อนพวกนี้ไม่สนใจเรื่องนี้หรอก ตอนเดินในป่าหลี่ว์ซู่เห็นว่ามีหมัดและเหากระโดดออกมาจากหัวพวกเขาด้วย สกปรกมาก  

 

 

หลี่ว์ซู่ก็เลยบอกให้หลี่เฮยทั่นเอาสบู่ออกมาแจกให้พวกเขาใช้เพื่อแก้ปัญหาเรื่องความสะอาด  

 

 

เมื่อพวกเขาเดินกันอยู่ริมแม่น้ำ พวกทหารก็พูดขึ้นมาเบาๆ “ท่านผู้ยิ่งใหญ่เกลียดพวกเราหรือเปล่านะ ทำไมเราต้องเปลือยกายให้พวกเขาตรวจหลังอาบน้ำด้วย น่าอายจริง”  

 

 

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่จ้องพวกเราตลอดเลย เขาสั่งให้เราเปลือยและอาบน้ำด้วย หรือว่า…” มีใครคนหนึ่งเริ่มกลัวขึ้นมา  

 

 

“ฉันไม่ใช่ทาสที่มีรอยประทับบนก้นนะ…” มีคนพูดด้วยความตกใจ  

 

 

เมื่อหลิวเชียนจือได้ยินอย่างนั้น เขาก็เหลือบมองพวกเขาไม่วางตา “ทำตามที่ท่านผู้ยิ่งใหญ่พูด อย่าทำตัวไร้สาระ!”  

 

 

เมื่อหลี่ว์ซู่ได้ยินเรื่องนี้ก็ทำให้มุมปากกระตุกขึ้นมา เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมน้ำเสียงของจางเว่ยอวี่เปลี่ยนไปแปลกๆ ! เพราะว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยนี่เอง!  

 

 

ตอนแรกพวกทหารที่อาบน้ำทุกวันก็รู้สึกอึดอัด แต่เมื่อผ่านไปเจ็ดวันแล้วพวกเขาก็รู้สึก…สบายกันมากขึ้น!  

 

 

เมื่อก่อนนั้นถึงแม้พวกเขาจะอาบน้ำแล้ว ทั้งหมัดทั้งเหาก็ยังกระโดดอยู่บนตัวพวกเขาอยู่ดีเมื่อกลับมาที่ค่าย พวกเขาชินกับอาการคันไปแล้วล่ะ  

 

 

หลังจากที่ค่ายเน้นความสะอาดกันมากขึ้น ทุกคนก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่ากันมาก เหมือนกับได้ยกระดับจิตวิญญาณกันเลย  

 

 

มีคนถามท่านผู้ยิ่งใหญ่ด้วยว่าเกลียดพวกเขาเหรอ แต่เมื่อผ่านไปเจ็ดวัน พวกเขาก็กลายเป็นไม่ชอบตัวเองเมื่อเจ็ดวันก่อนไปแล้ว  

 

 

หลี่ว์ซู่ถอนใจออกมา เขาเริ่มการจัดระเบียบทหารทัพอู่เว่ยและทุกอย่างจะต้องเริ่มจากศูนย์ คนพวกนี้ไม่ใส่ใจกันมาก ถ้าจะเป็นทหารที่จะประสิทธิภาพในการรบ ก็ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนนิสัยและวินัยใหม่  

 

 

ขั้นแรกก็คือการรักษาความสะอาดก็เห็นผลแล้ว ตอนนี้บ้านก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างมากขึ้น และที่เพาะปลูกก็เริ่มหว่านเมล็ดกันแล้ว  

 

 

ถึงแม้หลี่ว์ซู่จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่เขาก็รู้สึกทำสำเร็จด้วย  

 

 

พวกเขาไปเอาไม้กันมาจากต้นไม้แถวๆ ในป่า มีไม้ให้ใช้กันอย่างถมเถ และพวกผู้บำเพ็ญก็เป็นคนขนวัสดุด้วย สะดวกมาก  

 

 

หลี่ว์ซู่มองหลิวเชียนจือและคนอื่นๆ พวกเขาดูจะคุ้นเคยในการสร้างค่ายทหาร หลี่ว์ซู่ดูสงสัยเล็กน้อย “เก่งมากเลยนะ”  

 

 

“เมื่อก่อนเราไม่ค่อยเป็นทหารที่เป็นที่ชื่นชอบในทัพอู่เว่ยกันหรอกครับ พวกเราก็เลยไปทำงานยากๆ ใช้กำลังเยอะๆ อย่างสร้างค่ายทหาร” หลิวเชียนจือยิ้ม “ผมเคยเป็นรองผู้บัญชาการมาก่อน เคยนำคนสร้างอะไรพวกนี้แหละครับ”  

 

 

หลี่ว์ซู่พยักหน้ารับรู้ คนพวกนี้เก่งในเรื่องนี้จริงๆ นะ แต่ปัญหาก็คือพวกเขาจะเก่งการต่อสู้มากแค่ไหนน่ะสิ  

 

 

ที่จริงแล้วความแข็งแกร่งที่แท้จริงของคนกลุ่มนี้ไม่ได้แตกต่างจากกองทัพชิงไซมาก ทหารก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น คนที่ให้ความสำคัญกับการต่อสู้และมีใจที่มุ่งมั่นกว่าก็จะแข็งแกร่งกว่า แต่คนพวกนี้ขาดเรื่องพวกนี้น่ะสิ  

 

 

ถ้าทัพเฮยอวี่มากันจริงๆ แล้วทัพอู่เว่ยป้องกันตัวเองได้ก็คงจะดีน่ะสิ  

 

 

หลี่ว์ซู่รำคาญเล็กน้อย ถ้าจงอวี้ถังอยู่นี่ด้วยเรื่องทุกอย่างก็ง่ายไปแล้ว ถึงจะจับพวกทหารพวกนี้มาฝึกเหมือนทหารใหม่ ก็คงจะเริ่มเห็นผลได้ในอีกประมาณครึ่งปี หลี่ว์ซู่เสียดายที่ไม่เคยฝึกทหารมาก่อน ถึงเขาจะเคยเป็นอาจารย์แต่ก็สอนในเรื่องการต่อสู้ของแต่ละคนเท่านั้น  

 

 

เขาน่าจะสอนการใช้กระบี่ให้พวกทาสพวกนี้ด้วย แต่เขาไม่ได้รับอนุญาตจากหอเกียรติกระบี่ หลี่ว์ซู่คงไม่เก็บวิถีต่อสู้ไว้กับตัวเองคนเดียวหรอก เขาอยากส่งต่อความรู้ให้คนอื่นด้วยความสบายใจ  

 

 

ที่นี่มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการฝึกทหารอู่เว่ยด้วย แต่เขาฝึกให้ไม่ได้…  

 

 

เขาจะเอาเรื่องนี้ไว้ก่อน เขาค่อยคิดถึงมันทีหลังตอนบ้านและพื้นที่เพาะปลูกถูกสร้างให้เสร็จ ตอนนี้หลี่ว์ซู่จะต้องฝึกฝนตัวเองแล้ว  

 

 

เขาค้นพบโดยบังเอิญว่าพลังจิตวิญญาณในถ้ำนี้สูงกว่าที่หมู่บ้านมังกรฟ้า เขาอาจจะอยู่ในถ้ำหินปูนนี่และฝึกวิชากระบี่ทุกวันเพื่อเพิ่มพลังตัวเอง  

 

 

ครึ่งเดือนผ่านไป หลี่ว์ซู่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก วิชากระบี่ของเขาอยู่ในระดับสี่แล้ว พลังกระบี่ที่เขามีตอนนี้อาจทำให้เขาเลื่อนเป็นระดับสามเลยก็ได้!  

 

 

ตอนนั้นหลี่เฮยทั่นตะโกนมาจากนอกถ้ำหินปูน “ท่านผู้ยิ่งใหญ่ครับ! เราจับคนน่าสงสัยได้คนหนึ่ง!”  

 

 

หลี่ว์ซู่ชะงักไป ที่นี่อยู่นอกเส้นทางนี่ แล้วจะไปจับใครมาได้อย่างไร หรือจะเป็นสายลับจากทัพเฮยอวี่กันนะ  

 

 

เขาเดินออกไปจากถ้ำหินปูน เมื่อทหารทัพอู่เว่ยเห็นท่านผู้ยิ่งใหญ่เดินออกมาจากถ้ำ พวกเขาก็วันทยหัตถ์ทำความเคารพ นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลี่ว์ซู่สั่งหรือบังคับเลย เขาให้ความยุติธรรมกับคนอื่นตลอดและไม่เคยกักตุนการปันส่วนอาหารในทุกวัน ถึงจะไม่อิ่มมากแต่ก็ได้กินดี  

 

 

ในโลกแห่งความวุ่นวายนี้นั้นไม่มีอะไรจะดีไปกว่าผู้นำที่เข้าใจและเห็นใจลูกน้องอีกแล้ว ดูเหมือนทหารพวกนี้จะรู้สึกขอบคุณมากกว่าคนธรรมดาเสียอีก  

 

 

แต่ตอนนี้พวกเขาทำได้แค่เคารพและออกแรงทำงานเท่านั้น หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าถ้าเขาอยากจะเอาคนพวกนี้เข้าสนามรบจริงๆ พวกเขาก็ต้องวิ่งให้เร็วกว่ากระต่ายให้ได้ก่อน!  

 

 

หลี่ว์ซู่เดินตามหลี่เฮยทั่นออกไปตามเนินเขา “เกิดอะไรขึ้นล่ะ”  

 

 

“ดูเหมือนว่าจะมีคนธรรมดากว่า 50 คนขึ้นมาทางเหนือเพื่อหนีมาครับ” หลี่เฮยทั่นคิดอะไรบางอย่างแล้วพูดต่อ “แต่ท่านผู้ยิ่งใหญ่ครับ ท่านน่าจะไปตรวจสอบเอง พวกเขาดูหิวโหยแต่ก็มีท่าทางแปลกๆ กันด้วย พวกเขาไม่อยากจะดื่มน้ำที่พวกเราเอาให้เลย…”  

 

 

หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้ว ถ้าเป็นคนธรรมดาจริง พวกเขาก็ควรหนีไปให้ไกลจากที่นี่ ถ้ามีคนปล่อยข่าวแล้วทัพเฮยอวี่อาจจะรู้ว่าทัพอู่เว่ยอยู่บนภูเขากันก็ได้  

 

 

แต่เมื่อหลี่ว์ซู่เห็นคนกลุ่มนี้ เขาก็ตะลึงไปเลย หลี่เฮยทั่นพูดขึ้นมา “ถ้ามีอะไรจะพูดกันก็บอกท่านผู้ยิ่งใหญ่ของเราได้เลย!”  

 

 

เมื่อเขาเห็นหลี่ว์ซู่ชายคนนั้นก็ตะลึงไปเช่นกัน “เราไม่ได้เจอกันหน่อยเดียวนี่กลายเป็นท่านผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้วเหรอ… ตำแหน่งบ้าอะไรกันเนี่ย”  

 

 

หลี่ว์ซู่ดีใจมาก “จางเว่ยอวี่ นายไม่ได้หลบอยู่ในถ้ำมาตลอดหรอกเหรอ ทำไมมาที่นี่ได้ล่ะ”  

 

 

เมื่อจางเว่ยอวี่คิดเรื่องที่จะพูดเขาก็รู้สึกรำคาญใจขึ้นมา “พวกทัพเฮยอวี่นี่เหลือเกินจริงๆ ดีนะที่เรารู้สึกตัวก่อน ไม่อย่างนั้นก็คงตายไปแล้ว”  

 

 

ทันใดนั้นจางเว่ยอวี่ก็มองหลี่ว์ซู่และมองดูคนที่ตามหลี่ว์ซู่มาอย่างเคารพ สองเดือนที่แล้วเขายังเป็นแค่ทาสหลบหนีอยู่เลย ทำไมตอนนี้กลายมาเป็นผู้นำของคนตั้งเยอะได้เนี่ย  

 

 

หลี่ว์ซู่ดูจะเข้าใจที่เขาคิด “ก่อนฉันจะไป นายเองเป็นคนบอกให้ฉันเข้าร่วมกับทัพอู่เว่ยไม่ใช่เหรอ”  

 

 

“แล้วไงล่ะ”  

 

 

“แล้วฉันก็รวบรวมกองทัพอู่เว่ยด้วยความแข็งแกร่งของฉันเองน่ะสิ” หลี่ว์ซู่พูด  

 

 

[ได้รับแต้มจากจางเว่ยอวี่ +666]  

Related

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset