ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 554 ไม่มีคู่ต่อสู้ที่คู่ควร

ตอนที่ 554 ไม่มีคู่ต่อสู้ที่คู่ควร

 

 

ในอนาคตเนี่ยถิงไม่อยากเห็นว่ามีคนที่ไม่มีความสามารถและขาดความแข็งแกร่งอยู่ในเครือข่ายฟ้าดินจนสุดท้ายพวกเขาเหล่านั้นต้องฝากชีวิตไว้ในมือคนอื่นตอนอยู่ในสถานการณ์คับขัน เนี่ยถิงหวังว่าคนที่เข้ามาในเครือข่ายฟ้าจะเข้ามาด้วยความเต็มใจ และพวกเขาจะพร้อมใจกันหยิบอาวุธลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องตัวเองได้

 

 

รวมถึงไม่ใช่แค่ปกป้องตัวเองเท่านั้น แต่ต้องกล้าปกบ้านเกิดที่อยู่ข้างหลังด้วย

 

 

นักเรียนถูกแบ่งออกเป็นกลุ่ม หนึ่งกลุ่มมีเก้าสิบถึงร้อยยี่สิบคน กลุ่มนี้มีหนึ่งร้อยคน นั่นก็หมายความว่าเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงทั้งหนึ่งร้อยคนนี้จากห้องเต้าหยวนต้องสู้กันแบบจริงๆ จังๆ ใครชนะก็ได้กินข้าว ส่วนใครแพ้ก็อดข้าวไป

 

 

ทหารผู้บัญชาการเป็นคนจัดกลุ่มเด็กนักเรียนด้วยตัวเอง กลุ่มหนึ่งจะต้องยืนห่างกันห้าสิบเมตร แล้วอยู่ๆ บรรยากาศก็เริ่มกดดันขึ้นมา ทุกคนรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว

 

 

ถ้าพูดกันตามจริง พวกเด็กผู้ชายจะไม่ค่อยกล้าโจมตีเด็กผู้หญิงเท่าไหร่ ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ พวกเขาก็ต้องให้โอกาสพวกเด็กผู้หญิงบ้าง พวกเขาไม่ว่าอะไรหรอกถ้าจะต้องไปวิ่งหรืออดข้าววันนี้

 

 

เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ก็คิดกันแบบนั้น คงไม่แย่อะไรถ้าให้โอกาสพวกผู้หญิงบ้าง นี่อาจทำให้พวกเธอชอบพวกเขาขึ้นมาก็ได้นะ

 

 

แต่ก็แน่นอนล่ะ พวกเขาจะแสดงตัวว่ายอมอ่อนข้อให้แบบออกนอกหน้าไม่ได้ พอกลุ่มแรกออกมาสู้กัน พวกผู้ชายจึงทำทีว่าจะจู่โจมพวกผู้หญิงอย่างรุนแรง แต่พวกเขาก็แค่แสดงเท่านั้น ทว่าไม่นานหลังจากนั้น ทหารผู้บัญชาการก็สั่งหยุดการต่อสู้ทันที เขาหัวเราะออกมาเสียงเย็น “ฉันจะคัดพวกเธอสองคนออกเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูในฐานะที่คิดว่าจะมีใครยอมเสียสละให้อีกฝ่ายหนึ่งจริงๆ”

 

 

เขาชี้ไปที่เด็กผู้ชายสองคนนั้น “เอาสองคนนั้นออกไป อย่าปล่อยให้พวกเขาทำตัวเองให้ดูโง่ไปหน่อยเลย พาไปรอที่ห้องแล้วล็อกห้องไว้ สองคนนี้ต้องถูกลงโทษ”

 

 

สิ้นคำทหารผู้บัญชาการ ทุกคนก็ตกอยู่ในความตะลึง เอาจริงน่ะ…

 

 

“อย่าทำอะไรที่พวกเธอจะเสียใจไปจนตาย จริงอยู่ที่พวกเธอยอมเสียสละชีวิตให้คนอื่น แต่คิดเหรอว่าคนอื่นจะทำแบบนั้นกลับมาน่ะ” ทหารผู้บัญชาการเหลือบมองเด็กทุกคน

 

 

พวกผู้หญิงค่อยๆ ร้องไห้กันออกมา หลายคนรู้สึกหมดหวังกับการฝึกซ้อมครั้งนี้ไปเสียแล้ว อยู่บ้านยังไม่เคยทำงานบ้านเลย แต่พอมาค่ายฝึกฝนสามวันกลับต้องต่อสู้แล้ว

 

 

ตอนแรกก็คิดว่าพวกผู้ชายจะอ่อนข้อให้ แต่พอมาถึงการต่อสู้ของกลุ่มที่สอง พวกผู้ชายก็ปฏิบัติตามกฎกันอย่างเคร่งครัด พวกเขาต้องสู้!

 

 

พวกเด็กผู้หญิงทำอะไรไม่ได้นอกจากวิ่งหนี

 

 

และในตอนนั้นเอง เสี่ยวอวี๋ก็แหวกตัวผ่านทุกคนออกไปอยู่ข้างหน้ากลุ่มนักเรียนหญิง เธอมองไปยังทุกคนแล้วพูดว่า “ตามฉันมานะ”

 

 

เพียงแค่ไม่กี่คำก็เหมือนคลื่นที่เชี่ยวกรากในทะเลลึก หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยืนอยู่หน้าทุกคนด้วยความมั่นใจ เธอพร้อมที่จะสู้!

 

 

การต่อสู้ในครั้งนี้ก็เหมือนกับการต่อสู้ของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เพื่อแย่งชิงตำแหน่งบนฟ้ามาให้ได้

 

 

หลายคนมองเสี่ยวอวี๋ไม่ค่อยดีนัก เธอทะเลาะต่อยตีกับคนอื่นมาทั้งวัน แล้วจะให้มองในแง่ดีได้ยังไง แถมสามวันที่ผ่านมาเสี่ยวอวี๋ก็กินข้าวและซักผ้าคนเดียวด้วย นี่เพราะเธอถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว

 

 

แต่ทุกคนไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น พวกเขาแค่ไม่กล้าเข้าไปคุยกับเสี่ยวอวี๋

 

 

พอเธอพูดไม่กี่คำในตอนนี้ว่า ‘ตามฉันมานะ’ เท่านั้นแหละ เด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอก็เจอสิ่งยึดเหนี่ยวเข้าให้แล้ว

 

 

ในเวลาแบบนี้จะต้องมีใครสักคนลุกขึ้นสู้และทำอะไรสักอย่าง และเสี่ยวอวี๋คือคนคนนั้น เธอรู้ว่านักเรียนหญิงพวกนี้รู้สึกกลัวกัน แม้จะไม่มีอะไรให้กลัวแต่ทุกคนไม่คิดแบบนั้น พวกเด็กผู้หญิงตอนนี้คิดว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นฮีโร่ที่ออกไปต่อสู้ท่ามกลางแสงอาทิตย์ เมื่อเธอกลับมาพร้อมชัยชนะ พวกเธอก็พร้อมจะดื่มเหล้าแรงๆ เพื่อฉลองให้กับชัยชนะนั้น และพวกเธอก็จะมุ่งหน้าสู่ขอบโลกอีกครั้ง

 

 

ขนาดหลี่ว์ซู่เองก็ยังไม่คิดว่าเสี่ยวอวี๋จะนำคนและโน้มน้าวใจคนได้โดยไม่ได้ตั้งใจแบบนี้เลย…

 

 

พวกนักเรียนหญิงที่เคยมาแกล้งหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เองก็รู้สึกว่าเธอดูตัวใหญ่ขึ้น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเธอผอมเสียขนาดนั้น

 

 

นาทีต่อมา เสี่ยวอวี๋ก็พุ่งตัวเข้าไปหากลุ่มเด็กผู้ชายเหมือนกับลูกศรที่ติดความเร็วแสง ทันได้นั้นเองเธอก็ทำให้พวกเด็กผู้ชายสับสนงงงวย ไม่มีใครหลบการโจมตีของเธอได้ เธอออกหมัดไปที่เด็กผู้ชายทีละคนจนหมอบลงกับพื้น

 

 

จริงอยู่ที่เด็กผู้ชายเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าเด็กผู้หญิง แต่เสี่ยวอวี๋นั้นเคยร่วมต่อสู้และฆ่าคนกับหลี่ว์ซู่มาก่อน เลือดสดๆ ที่ไหลออกมาในตอนนั้นมันคนละระดับกับในตอนนี้เลย!

 

 

พวกเด็กผู้หญิงมองหน้ากันอย่างหวาดกลัว จากนั้นก็ตัดสินใจกัดฟันแล้ววิ่งเข้าสู้พร้อมกับเสี่ยวอวี๋ ตอนแรกพวกเธอก็ระมัดระวังกัน แต่พอเวลาผ่านไป พวกเด็กผู้ชายก็พบว่าพวกเด็กผู้หญิงโจมตีกันสุดแรงโดยไม่เมตตาสักนิด นี่แหละคือพลังที่แท้จริงของพวกเธอ!

 

 

สุดท้ายแล้วพวกเขาก็คือผู้บำเพ็ญกันทั้งนั้น ไม่มีแบ่งเพศว่าเป็นชายหรือหญิง ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายเสมอ

 

 

“เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใครน่ะ!” ทหารผู้บัญชาการตกตะลึง

 

 

“หลี่ว์เสี่ยวอวี๋น่ะ คนที่ทำให้หลี่ว์ซู่ได้สมญานามฮีโร่แห่งชาติ” ทหารผู้บัญชาการอีกคนหนึ่งกล่าวอย่างรำคาญพร้อมกับเคี้ยวหมากฝรั่งไปด้วย

 

 

“น้องสาวของหลี่ว์ซู่เหรอ” ทหารผู้บัญชาการสูงสุดเลิกคิ้ว “พี่ชายป่าเถื่อน น้องสาวก็ด้วยงั้นเหรอ”

 

 

“ท่านเคยเจอหลี่ว์ซู่มาก่อนไหมครับ” ทหารผู้บัญชาการถามอย่างสงสัย

 

 

“เคยสิ…” ผู้บัญชาการสูงสุดตอบและพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “เคยไปคุยครั้งหนึ่งตอนไปเมืองหลวง…”

 

 

ทหารผู้บัญชาการพวกนี้เคยโอนย้ายมาจากเครือข่ายฟ้าดิน ซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาเคยประจำก่อนจะถูกย้ายไป…

 

 

ตอนนั้นเขาเป็นนายทหารที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของห่าวจื้อเชา เขาเคยโดนหลี่ว์ซู่ตามไล่และโดนอัดมาแล้วตอนที่เขาถูกทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียว…

 

 

เขาไม่อยากจะมองย้อนไปถึงในอดีต หลี่ว์ซู่คงไม่รู้หรอกว่าคนที่เคยอัดไปเมื่อก่อนจะกลายเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในทุกวันนี้…

 

 

เสี่ยวอวี๋เข้าไปประจันหน้าต่อสู่อย่างรวดเร็วและจบการต่อสู้อย่างรวดเร็วเหมือนกัน เธอมีความสามารถเหนือคนอื่นๆ โดยสิ้นเชิง เธอเคลื่อนที่หลบไปมาในการต่อสู้ ทำให้คู่ต่อสู้นั้นยากที่จับตัวเธอได้

 

 

นี่มันเหมือนกับการเล่นเกมแข่งห้าต่อห้า โดยที่เก้าคนนั้นเป็นมือใหม่ ส่วนคนสุดท้ายที่เหลืออีกหนึ่งคนนั้นแข็งแกร่งกว่าใครเพื่อน โดยปกติแล้วคนคนเดียวนี่แหละจะเป็นคนแบกทั้งเกมการต่อสู้

 

 

ถ้าเด็กผู้ชายพวกนี้ได้ฝึกฝนกลยุทธ์ทางทหารและได้เรียนรู้การต่อสู้ร่วมกันอีกสักหน่อย สถานการณ์ก็คงจะดีกว่านี้มาก แต่ครั้งนี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้น พวกเขาสู้กันโดยไม่มีทีมเวิร์ก และยังขาดความสามารถกันอีกทำได้อย่างเดียวก็คือรอให้โดนอัดไปเรื่อยๆ

 

 

พอพวกเด็กผู้ชายล้มลงไปกับพื้นกันหมด เสี่ยวอวี๋ก็ยืนอยู่ตรงกลางของสนามต่อสู้ เธอถอนใจออกมา “ไม่เห็นมีคู่ต่อสู้ที่คู่ควรสักคน ห่างไกลกับหลี่ว์ซู่อะไรอย่างนี้”

 

 

พวกเด็กผู้ชายที่กำลังเจ็บหนักก็พูดออกไปไม่ได้ แต่พวกเขามีหนึ่งคำถามอยู่ในหัว หลี่ว์ซู่นี่เป็นใครกัน

 

 

ขณะนี้ทุกคนก็คิดไปถึงการประกาศจากเครือข่ายฟ้าดินที่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ว่าหลี่ว์ซู่ที่พูดถึงคือผู้มีพลังระดับ B คนนั้นที่เหตุการณ์โบราณสถานที่เกาะช้างใช่ไหม

 

 

แล้วพวกเขาจะไปสู้ได้ไงล่ะ! นั่นมันตำนานเลยนะ!

 

 

“ก็ไม่ได้จะว่าใครเป็นพิเศษหรอก แค่อยากจะบอกว่าที่นอนกองกันอยู่เนี่ย ขยะทั้งนั้น” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เริ่มอินหนัก…

 

 

เธอไม่ได้สังเกตเลยว่าเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอทั้งหลายกำลังมองเธอต่างออกไป

 

 

มนุษย์น่ะชอบคิดว่าความรุนแรงจากภายในไม่ใช่ความรุนแรงที่แท้จริง แต่พอเสี่ยวอวี๋พาพวกเธอชนะศึกนี้แล้ว พวกเธอก็เห็นความสามารถของเสี่ยว์อวี๋แล้ว

 

 

ในขณะเดียวกันหลี่ว์ซู่เองก็ได้รับค่าอารมณ์อย่างไม่หวาดไม่ไหว เยอะเสียจนมองไม่ทันแล้ว! ตอนแรกก็ได้มาจากชื่อของเด็กผู้หญิงหลายๆ คน แล้วคราวนี้ก็เป็นชื่อของเด็กผู้ชายหลายๆ คนเหมือนกัน

 

 

เขาลังเลอยู่นานว่าจะถามหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดีไหมว่าทุกอย่างยังเป็นปกติอยู่หรือเปล่า…

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset