บทที่ 469 ธุรกรรมครั้งใหญ่

บทที่ 469 ธุรกรรมครั้งใหญ่

เมื่อหลินชิงเหอถือแม่ไก่ตัวหนึ่งและไข่หนึ่งตะกร้ากลับไป ท่านแม่โจวก็ยังคงมีรอยยิ้มระบายเต็มหน้า

เพื่อนบ้านอย่างแม่เฒ่าหูทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงเอ่ยถามขึ้นมา “แม่สามีโจว สะใภ้ของเธอเพิ่งขับรถมาหาเหรอ? รถคันนั้นเป็นของลูกชายกับลูกสะใภ้เธอใช่ไหม?”

ท่านแม่โจวไม่อาจทนต่อการอยู่ร่วมกับแม่เฒ่าหูและแม่เฒ่าจูได้เป็นอย่างมาก นางไม่คุยกับแม่เฒ่าหูมานานมากแล้ว แถมเมื่อไม่นานมานี้นางก็เพิ่งจะได้เพื่อนใหม่จากสวนสาธารณะ ไม่จำเป็นต้องข้องเกี่ยวกับเพื่อนบ้านเหล่านี้เลยสักนิด

แต่หลังจากได้ยินดังนี้แล้ว ท่านแม่โจวก็ตอบอึกอัก “เป็นสะใภ้สี่เองน่ะ สะใภ้สี่ของฉันขับรถมาเอง หล่อนยังส่งปูตัวใหญ่พร้อมกับเป๋าฮื้อพวกนี้มาให้เราด้วย แต่หล่อนส่งมาไม่เยอะหรอก ฉันก็เลยแบ่งให้เธอไม่ได้”

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางจงใจเอ่ยแบบนี้เพื่อยั่วน้ำลายแม่เฒ่าหู

แม่เฒ่าหูไม่รู้สึกอยากเท่าใดนัก แต่แม่เฒ่าจูที่เพิ่งออกจากบ้านและได้ยินเข้าก็เกิดความละโมบขึ้นมา

ถึงอย่างนั้นแม่เฒ่าหูก็รู้สึกตกใจอยู่ในใจ สะใภ้บ้านโจวคนนี้ช่างอัศจรรย์นัก หล่อนทำได้แม้กระทั่งขับรถบรรทุกคันเบ้อเริ่มด้วยตัวเอง!

ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนักกับการขับรถเป็น ถ้านางอายุน้อยกว่านี้สักสองสามทศวรรษ นางก็จะไปเรียนขับรถเหมือนกัน แต่ประเด็นสำคัญที่สุดคือพวกเขาจะซื้อรถได้หรือเปล่า

รถบรรทุกคันใหญ่ขนาดนั้นคงมีราคาหลายหมื่นหยวนถูกไหม? ตระกูลโจวรวยขนาดนั้นเลยเหรอ?

ไม่ใช่แค่แม่เฒ่าหูที่คิดเช่นนี้

หลังแม่เฒ่าจูกลับไปที่บ้าน นางก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาเช่นกัน

นางรู้ว่าตระกูลโจวเปิดร้านค้ามากมาย มันคงจะทำกำไรได้ดีไม่น้อย ไม่อย่างนั้นทำไมพวกเขาถึงทยอยเปิดร้านเป็นว่าเล่นแบบนี้ล่ะ?

ถ้าหลานสาวของนางจับคู่สำเร็จในคราวนั้น หลานสาวนางที่แต่งงานไปแล้วจะมีชีวิตในตอนนี้ดีขนาดไหนกันนะ ในอนาคตคงจะไม่ต้องกังวลกับอะไรอีกแล้ว

เมื่อเร็ว ๆ นี้ใครบางคนก็ได้แนะนำคนให้กับหลานสาวของนาง เมื่อลองตรวจดูแล้วก็พบว่าคนพวกนั้นยังคงเป็นแตงชั้นเลวอยู่ดี ไม่มีใครเข้าตานางเลยสักคน

เหมือนมีแค่โจวข่ายเท่านั้นที่ดูดี

ด้วยความสูงขนาดนั้น คงไม่มีใครกล้ารังแกเขาแน่หากต้องออกไปไหนมาไหน แถมชายหนุ่มยังดูมีพลังเปี่ยมล้น เพียงเหลือบตามองครู่หนึ่งก็บอกได้ว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่เก่งกล้าสามารถ

แต่ตระกูลโจวไม่ชอบหลานสาวของนาง

หลานสาวของนางดีเลิศขนาดไหนกันเล่า? หล่อนเกิดมาเพื่อคู่กับโจวข่ายโดยเฉพาะ เป็นคู่สร้างคู่สมจากบัญชาสวรรค์ชัด ๆ

ยิ่งดูครอบครัวโจวในตอนนี้สิ พวกเขาเจริญก้าวหน้าด้วยดี จนซื้อรถบรรทุกขนาดใหญ่แบบนั้นมาขับได้แล้ว

แม่เฒ่าจูรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตับและหัวใจหลังคิดดังนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่มีความเห็นใจแบบนั้นแล้ว นางก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก!

การซื้อรถบรรทุกคันนี้กลับมาย่อมสร้างความฮือฮาแก่คนอื่น ๆ

และโจวชิงไป๋ก็ขอให้พนักงานใต้บังคับบัญชาของเขาเรียนขับรถ

ตอนนี้พวกเขามีรถเป็นของตัวเองแล้ว ทั้งสองจึงไม่อยากให้มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่ขับรถเป็น เพราะทั้งคู่ยุ่งมากเหลือเกิน

หู่จือจึงเป็นคนแรกที่ได้เรียนขับรถ

ตอนนี้หู่จือกับเอ้อร์นีไม่ได้ไปโรงเรียนภาคค่ำแล้ว เนื่องจากพวกเขาถือเป็นนักเรียนรุ่นใหญ่ที่สำเร็จหลักสูตร นับจากนี้ไปพวกเขาจึงได้ทำเพียงเรียนรู้ด้วยตัวเอง และเข้าชั้นเรียนบ้างในบางครั้งเพื่อพัฒนาการเรียนของตน

ขณะที่ซื่อนีและกังจือยังคงเรียนโรงเรียนภาคค่ำต่อ

“ทันทีที่หู่จือขับเป็น คุณก็ต้องขับให้เป็นด้วยนะคะคุณเฉิงหมิน” หลินชิงเหอสั่งหม่าเฉิงหมิน

หม่าเฉิงหมินส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมใช้แค่จักรยานก็พอ”

“ในอนาคตคุณยังต้องเรียนรู้ไว้นะคะแม้จะอยากหรือไม่อยากเรียนก็ตาม ยิ่งกว่านั้นฉันเป็นคนจ่ายเงินให้คุณเรียนด้วย” หลินชิงเหอบอก

หม่าเฉิงหมินลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ถ้าเขาหัดขับรถได้เขาก็อยากเรียนรู้ ต่อให้จะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้มันก็ถือเป็นทักษะอย่างหนึ่งถูกไหมล่ะ?

มีเพียงหู่จือ หม่าเฉิงหมิน และโจวเฉวี่ยนเท่านั้นที่ได้ฝึกขับรถ ส่วนคนอื่น ๆ ต้องรอให้พวกเขามีอายุครบ 18 ปีเสียก่อน ซึ่งรวมถึงกังจือด้วย

เดิมทีหลินชิงเหออยากให้โจวเอ้อร์นีฝึกขับรถด้วยเช่นกัน เธอฝึกโจวเอ้อร์นีราวกับเป็นลูกสาวของตัวเอง แล้วจะพลาดเรื่องขับรถไปได้อย่างไร

แต่หวังหยวนก็คัดค้านเรื่องนี้

ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากให้โจวเอ้อร์นีก้าวหน้า แต่เขารู้สึกเป็นห่วงหล่อนมากกว่า

หลินชิงเหอเข้าใจเรื่องนี้ รถยนต์ในยุคนี้ยังขับค่อนข้างยากกว่ารถยนต์ในยุคหลัง ๆ อย่างเช่นในเรื่องที่พวกมันต้องใช้แรงมากและยังมีระบบซับซ้อนยิ่งกว่า

หลินชิงเหอเองเป็นคนที่ขับรถทุกประเภทได้คล่องคนหนึ่ง แต่มันคงเป็นเรื่องค่อนข้างยากสำหรับโจวเอ้อร์นีที่จะเรียนรู้มัน

ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่หวังหยวนพูดมายังเป็นเรื่องที่ถูก ตัวเขาเองขับรถเป็นก็พอแล้ว เขาสามารถรับส่งหล่อนไปที่ไหนก็ได้ที่หล่อนอยากไป แล้วทำไมหล่อนถึงต้องหัดขับรถด้วยล่ะ?

หลินชิงเหอจึงพิจารณาอีกครั้งและปล่อยเรื่องนี้ไป ในอนาคตค่อยว่ากัน ถึงอย่างไรในภายภาคหน้าถ้าหล่อนอยากเรียนขับรถจริง ๆ ก็ยังมีโอกาสอยู่

ทุกวันนี้ชั่วโมงทำงานในร้านค้าใต้การดูแลของหลินชิงเหอถูกกำหนดไว้เป็นแบบแผนแล้ว มันเป็นระบบกะทั้งหมด ทำให้ทุกคนมีเวลาที่จะนัดพบใครหรือทำอะไรสักอย่างได้

วันนั้นเอง หลินชิงเหอก็โทรศัพท์ไปยังสำนักงานโรงงานอาหารทะเลในภาคใต้

กิจการร้านอาหารแห้งของโจวซานนีกับหลี่อ้ายกั๋วนับว่าดีมาก อย่างน้อย ๆ สินค้าคงคลังก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว หลินชิงเหอจึงต้องการเติมสต็อกรอบใหม่

ครั้งนี้การซื้อขายกระทำในปริมาณมหาศาล คิดเป็นมูลค่าสินค้าเกือบ 4,000 หยวน

ตอนที่พวกเขาลงไปทางใต้ พวกเขาก็ตกลงกันแล้วว่าจะต้องซื้อสินค้าเท่าใดจึงจะคุ้มทุน ซึ่งตอนนี้เธอสั่งซื้อสินค้าไปถึง 4,000 หยวน

เถ้าแก่ร้านอาหารทะเลรู้สึกพอใจมากเช่นกัน

เมื่อสั่งสินค้าและตกลงเวลาจัดส่งกันเรียบร้อย หลินชิงเหอก็วางสาย

ไม่ใช่ว่าหลินชิงเหอไม่มีความคิดที่จะติดตั้งโทรศัพท์บ้านหรอก แต่หลังจากคิดไตร่ตรองดูแล้ว เธอก็พับเก็บความคิดนั้นไป

เนื่องจากในยุคนี้ค่าติดตั้งโทรศัพท์เริ่มต้นแพงเกินไป คิดเป็นเงินพัน ๆ หยวน นับว่าเป็นราคาสูงเสียดฟ้าเลยทีเดียว หากต้องใช้เงินมากขนาดนั้นแล้ว ทำไมถึงไม่ใช้ไปกับเรื่องอื่นแทนที่จะติดตั้งโทรศัพท์ล่ะ?

แถมในเดือนหนึ่ง ๆ ก็ไม่ได้โทรหาใครมากนัก เธอจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป อย่างไรเธอก็ใช้โทรศัพท์ที่สำนักงานเป็นประจำอยู่แล้ว ในเดือนหนึ่งเธอโทรศัพท์เพียง 3-4 ครั้งเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่มากเลย

สินค้ามาถึงใน 5 วันถัดมา ฝั่งนั้นช่างจัดส่งได้รวดเร็วนัก หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋เองก็ได้ไปพบกับพวกเขาแล้ว

การสอบถามปริมาณและข้อมูลบางอย่างให้ตรงกันถือเป็นเรื่องจำเป็น หลังทำเช่นนั้นแล้วจึงสามารถจ่ายเงินและรับสินค้าได้ ซึ่งมันค่อนข้างเร็วไม่น้อย

“ฝั่งเมืองหลวงของคุณถือว่าพัฒนาดีทีเดียวนะครับ” ชายหนุ่มสองคนที่มาครั้งนี้เป็นหลานชายของเถ้าแก่ร้านอาหารทะเล เป็นเพราะเขาไม่มั่นใจที่จะมอบธุรกิจครั้งใหญ่ขนาดนี้ให้พนักงานใต้บังคับบัญชา

“นั่นไม่ถูกเหรอคะ ฉันพาพวกคุณเที่ยวดีไหมคะ?” หลินชิงเหอเอ่ยอย่างสุภาพ

“ไม่ได้หรอกครับ แต่ถ้าครั้งหน้ามีโอกาส เราก็จะรบกวนคุณแน่นอนครับ” ทั้งสองตอบ

หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ส่งพวกเขากลับตามทางเดิมที่เคยมา

จากนั้นพวกเขาก็ขับรถไปยังร้านขายอาหารแห้ง

“สินค้าที่ร้านเราเกือบจะหมดคลังแล้วค่ะ โชคดีที่ของใหม่มาส่งพอดี” โจวซานนีเอ่ยเจื้อยแจ้วอย่างมีความสุข

“เราจะปล่อยให้หมดสต็อกไม่ได้หรอกจ้ะ” หลินชิงเหอพูด

เธอให้โจวชิงไป๋กับหลี่อ้ายกั๋วเคลื่อนย้ายสินค้า จากนั้นก็ลากโจวซานนีเข้าไปในห้อง ทุกวันนี้เธอยุ่งมากจนไม่มีเวลามาตรวจสอบความเป็นไปของโจวซานนีเลย

“ตอนนี้ดีขึ้นแล้วค่ะ” โจวซานนีตอบด้วยท่าทางเอียงอายเล็กน้อย

ในใจของหล่อนรู้สึกสุขล้น การรักษาที่เมืองหลวงช่างยอดเยี่ยมมากจริง ๆ หล่อนเทียวมาเทียวไปโรงพยาบาลแค่ 3 ครั้งเท่านั้น แล้วก็พบว่าสภาพร่างกายของหล่อนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แน่นอนว่าหล่อนได้เรียนรู้เกี่ยวกับสุขอนามัยส่วนตัวและสุขอนามัยระหว่างคู่รักมามาก มันทำให้หล่อนหน้าแดงขณะที่รับรู้เรื่องเหล่านี้

…………………………………………………………………………………………………………………………

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset