ตอนที่116 ความรู้สึกที่แสดงออกมา
ห้องเรียนเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็เป็นจินเซิงที่ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า
“อาจารย์ฉีอย่าล้อเล่นกันแบบนี้สิครับ! นี่โกหกใช่ไหม!?”
“ใช่แล้ว อาจารย์ฉีเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมมหาวิทยาลัยถึงไล่อาจารย์ออก?”
“เว้นแต่ว่าทางมหาวิทยาลัยจะขอให้อาจารย์เป็นคณบดี นอกจากนั้นผมไม่ปล่อยให้อาจารย์ไปแบบนี้แน่นอน!”
“อาจารย์ฉีอย่าทำให้พวกหนูกลัวสิค่ะ…”
หนึ่งในนักศึกษาเหล่านั้นจู่ๆ น้ำตาก็เริ่มคลอเบ้า
ฉีเล่ยไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ปฏิกิริยาของทุกคนจะรุนแรงถึงขนาดนี้ เขาทราบดีว่าทุกคนไม่มีใครเต็มใจให้ลาจากกันทั้งแบบนี้ แต่ก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า พวกเขาจะแสดงออกมาถึงขนาดนี้
เหอจื่อแทบกระโดดขึ้นยืน และเนื่องจากเธอลุกขึ้นเร็วเกินไปจนทำให้เกือบเซล้มลง ดวงตาคู่สวยของสาวน้อยคนนี้เปี่ยมล้นไปด้วยความโกรธจัด เธอจับจ้องฉีเล่ยตาเขม็งพร้อมกล่าวว่า
“ใครกันที่กล้าไล่อาจารย์ออก! แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่ต้องไล่!? ภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ยังมีอาจารย์คนไหนที่สอนดีเทียบเท่าอาจารย์ฉีอีก!!?”
“ถูกต้อง! ผมของเสนอให้ทุกคนในคลาสร่วมลงนามและระบุถึงจุดยืนของเราในมหาวิทยาลัยแห่งนี้!”
“เมื่อก่อนทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาเรียน ในหัวมีแต่คิดว่าจะหาอะไรทพแก้เซ็งระหว่างคลาสเรียนดี ทว่าตั้งแต่ที่อาจารย์ฉีมาสอน อย่าว่าแต่ต้องนาฬิกาปลุกเลย ผมตื่นก่อนนาฬิกาปลุกซะอีกเพื่อมาอ่านทบทวนเตรียมความพร้อมก่อนเรียน! ยังมีอาจารย์คนไหนสามารถทำให้เด็กคนหนึ่งรักการเรียนได้เท่าอาจารย์ฉีอีก? ได้! ถ้าอาจารย์ฉีออก ผมก็ขอลาออกจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้เช่นกัน!”
“ถ้าอาจารย์ฉีออก พวกเราก็ไม่ขออยู่มหาวิทยาลัยบัดซบนี่แล้วเหมือนกัน! อาจารย์ฉีเปิดสถานติวเตอร์เลยครับ ผมขอสมัครเรียน!”
“ฉันด้วย!”
“ผมด้วยครับ!”
นักศึกษาเหล่านี้โกรธแค้นมหาวิทยาลัยยิ่งกว่าอะไรแล้ว พวกเขาเลือกที่จะยืนเคียงข้างและสนับสนุนฉีเล่ย ทัศนคติของพวกเขาแน่วแน่ยิ่งกว่าอะไรดี
ฉีเล่ยโบกมือปัดพลางหัวเราะตอบไปว่า
“ใจเย็นๆ ก่อนทุกคน อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นกันไป ฟังให้ดีนะ ทางมหาวิทยาลัยเองก็มีจุดยืนเช่นกัน พวกเขาต้องการหาอาจารย์ที่มีคุณสมบัติเพียงพอ ซึ่งผมไม่มีแม้แต่ใบประกอบวิชาชีพด้วยซ้ำ ถ้าพูดออกไปคงถูกหัวเราะแย่ อันที่จริงแม้แต่มหาวิทยาลัยผมยังไม่มีโอกาสได้เรียนด้วยซ้ำ พวกเขาก็เลยกลัวว่า ผมจะมาหลอกสอนพวกคุณ…”
โดยไม่มีรีรอให้ฉีเล่ยกล่าวจบ จินเซิงก็ตะคอกสวนพร้อมใบหน้าแดงก่ำเนื่องจากความโกรธจัด
“ไร้สาระ! ข้ออ้างทั้งนั้น! ในประกอบวิชาชีพแล้วยังไง? ถ้ามีใบประกอบแต่โง่ก็ไม่มีคุณสมบัติมาสอนพวกผมเหมือนกัน! สิ่งที่พวกเราต้องการไม่ใช่อาจารย์ที่มีประวัติดีเด่นยาวเป็นหางว่าว แต่ต้องการอาจารย์ที่รู้จริงและสอนพวกเราได้! ไอ้อาจารย์สองตัวนั้นที่เพิ่งไล่ออกไปมันก็จบสูงกันทั้งนั้น แต่พอมาสอนจริงกลับไม่ได้เรื่อง! อาจารย์ฉี พวกเรานับถือแค่คุณคนเดียวเท่านั้นในฐานะอาจารย์ หากใครมันกล้าไล่อาจารย์ออก พวกเราไม่ยอม! พวกเราไม่ยอม!”
ภายใต้แกนนำอย่างจินเซิง นักศึกษาทุกคนราวกับถูกปลุกใจ ตะโกนลั่นกล่าวเสริมกันไม่หยุดไม่หย่อน
“ใบประกอบแล้วไง? แค่แผ่นกระดาษโง่ๆ ใบหนึ่ง!”
“ไร้สาระสิ้นดี พวกเราช่วยกันระดมเงินคนละ200-300หยวน ก็หาซื้อในตลาดมืดได้แล้ว! ก็แค่ใบประกอบใบหนึ่ง!”
ฉีเล่ยถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
‘ปัง ปัง ปัง!’
เขาทุบโต๊ะสอนไปสองสามทีเพื่อให้ทุกคนสงบลง แล้วกล่าวต่อขึ้นว่า
“ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบครับ นี่มันเรื่องของผม ผมจะจัดการเอง พวกคุณคือนักศึกษาก็ควรใส่ใจกับเรื่องเรียน ไม่ว่าใครก็ตามต่อจากนี้จะมาสอน พวกคุณก็ต้องตั้งใจเรียนเข้าใจไหม? อาจารย์ที่ดียังมีอีกมาก ถ้าพวกคุณไม่เปิดใจและให้โอกาส พวกคุณก็จะจมปรักอยู่แบบนี้ไปชั่วชีวิต!”
“แต่เราอยากเรียนวิชา ‘การวินิจฉัย’ ของอาจารย์ฉี!”
“อาจารย์ฉี ถ้ามหาวิทยาลัยไล่คุณออก พวกเราก็ขอลาออกตามคุณออกไป!”
“ทุเรศมาก! ทางมหาวิทยาลัยคงเห็นแต่ประโยชน์ส่วนบุคคล ก็เลยใช้ข้ออ้างหาเรื่องไล่อาจารย์ฉีออก!”
ฉีเล่ยเพียงต้องการให้คำแนะนำก่อนที่จะลาจาก แต่นักศึกษาเหล่านี้กลับไม่ยอมปล่อยเขาให้ไปไหนทั้งนั้น และไม่ฟังอะไรทั้งสิ้นอีกด้วย การที่ตัวเขาเพียงคนเดียวสามารถทำให้เหล่านักศึกษาแสดงออกมาได้รุนแรงถึงระดับนี้ มันก็ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจมากแล้วจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น ฉีเล่ยเองก็ไม่อยากให้อนาคตของลูกศิษย์พังลงเพราะยึดติดกับเขามากเกินไป
ขณะที่เชากำลังจะเอ่ยกล่าวอะไรใดๆ ต่อ จู่ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
ฉีเล่ยยิ้มให้ทุกคนและเดินออกจากห้องเรียนโดยเร็ว
บนหน้าจอปรากฏเป็นเบอร์โทรที่ไม่คุ้นเคยเลย ฉีเล่ยกดรับสายทันทีอย่างไม่มีลังเล
“สวัสดีครับ นี่ใคร?”
“ฉีเล่ยใช่ไหม? นี่ฉันเองหลินหมิงจาง”
สุ้มเสียงอันสุดแสนจะสดใสดังขึ้นจากปลายสาย
เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉีเล่ยก็ตกใจอย่างมาก
“โอ้! หัวหน้าภาคหลินสวัสดีครับ!”
“ฮ่าฮ่า…”
ปลายสายโทรศัพท์เปล่งเสียงหัวเราะดังออกมา หลินหมิงจางกล่าวอย่างยิ้มแย้มขึ้นว่า
“เธอควรเรียกฉันว่า อธิการบดี นะ”
“อธิการบดีงั้นเหรอครับ?”
ฉีเล่ยสับสนอย่างมาก
“ถูกต้อง”
หลินหมิงจางกล่าวอธิบายต่อว่า
“ตาแก่หลี่ได้ขึ้นครองตำแหน่งประธานบริหารใหญ่ของโรงพยาบาลพันธมิตรปักกิ่งอีกหนึ่งวาระใช่ไหมล่ะ? เจ้านั่นบอกว่า หลังจากนี้คงยุ่งตัวเป็นเกลียว เพราะต้องล้มล้างระบบอันเน่าเฟะภายในโรงพยาบาลลงให้ได้ ดังนั้นก็เลยไม่มีเวลามาดูแลมหาวิทยาลัยแบบแต่ก่อนแล้ว ทำให้การประชุมใหญ่ของกระทรวงศึกษาธิการเมื่อวาน ทุกคนในที่ประชุมจึงเสนอให้ฉันขึ้นรับตำแหน่งอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแทนน่ะ จะว่าไป…ตาแก่หลี่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเธอเหรอ?”
ฉีเล่ยเกาหัวเล็กน้อย
“เขาไม่ได้บอกอะไรผมเลยนะครับ แต่ก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับหัวหน้า…ไม่สิ…อธิการบดีหลิน”
“ถ้าต้องการแสดงความยินดีให้ฉันจริงๆ น้องฉี ต่อจากนี้เรียกฉันว่าเฒ่าหลี่เถอะ เดี๋ยวฉันค่อยโทรหาเธอใหม่นะ ไม่อยากรบกวนคาบสอนของนายน่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า?”
จุดที่น่าสนใจของเหตุการณ์ในขณะนี้ก็คือ ช่วงเวลาการโทรเข้ามา ทั้งๆ ที่ฉีเล่ยเพิ่งถูกหัวหน้าคณะอาจารย์ซีไล่ออก แต่หลินหมิงจางกลับบอกให้เขากลับไปสอนต่อให้เสร็จก่อนค่อยคุยกัน นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่?
ในฐานะที่หลินหมิงจางเป็นถึงอธิการบดี การจะไล่อาจารย์ออกสักคนโดยกะทันหันแบบนี้จำต้องมีการประชุมและหารือกันภายในก่อน และฉีเล่ยเองก็มั่นใจว่าหลินหมิงจางเองก็น่าจะทราบเรื่องนี้แล้ว แต่ก็บอกให้ไปสอนต่อหลังจากนั้นค่อยมาคุยกัน นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ต้องการให้ออก สรุปสุดท้ายนี้ การที่หัวหน้าคณะอาจารย์ซีจู่ๆ จะมีความกล้าไล่ฉีเล่ยออกส่งเดชแบบนี้ แสดงว่าต้องมีผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังอีกทีหนึ่ง
หลินหมิงต้ากล่าวตอบทางโทรศัพท์ไปว่า
“ฉันเพิ่งได้ยินเรื่องของเธอน่ะ ถ้าว่างก็หาในห้องทำงานอธิการบดีเลย”
“ว่างครับ”
ฉีเล่ยตอบตกลงทันที
“แล้วห้องทำงานอธิการบดีมันอยู่ส่วนไหนของมหาวิทยาลัยเหรอครับ?”
หลังจากหลินหมิงจางบอกที่อยู่เสร็จสรรพก็วางสายไป
ฉีเล่ยเดินเข้าไปในห้องเรียนอีกครั้ง และยังคงเห็นว่าทุกคนกำลังจับกลุ่มสนทนาเรื่องของเขาด้วยความโกรธแค้น ดังนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า
“ผมรู้นะครับว่าทุกคนรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ แต่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าใครล้วนแต่ต้องพบเจออุปสรรคที่ถาโถมเข้าใส่ แต่ข้อสำคัญมันอยู่ที่ว่า พวกคุณจะวางตัวและรับมือกับอุปสรรคเหล่านั้นอย่างไรมากกว่า อีกหนึ่งคุณสมบัติของแพทย์คือความสงบ ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทำให้พวกคุณโมโหจนขาดสติได้ ต่อหน้าความเป็นความตายของคนไข้ พวกคุณไม่รอดแน่นอน เอาล่ะ ผมยจังมีเรื่องที่ต้องจัดการต่อ ทบทวนบทเรียนด้วยตัวเองไปก่อนนะ”
ด้วยเหตุนี้เอง ฉีเล่ยจึงเดินจากห้องเรียนไปอีกครั้ง ทว่าท้ายสุดกลับมีเหอจื่อที่วิ่งไล่ตามเขาออกมาด้วย
ฉีเล่ยเหลียวมายิ้มให้และกล่าวว่า
“ไม่เข้าใจตรงไหนรึเปล่า?”
“อาจารย์ฉีจะไปไหนค่ะ?”
ทั่วทั้งใบหน้าของเหอจื่อเปี่ยมล้นไปด้วยความวิตกกังวลใจ เธอกลัวอย่างมากว่า ฉีเล่ยจะจากไปโดยไม่กลับมาอีกแล้ว
ฉีเล่ยกล่าวตอบไปว่า
“ท่านอธิการบดีเรียกตัวผมเข้าพบน่ะ”
“ท่านอธิการบดีต้องการเรียกไปคุย? งั้นให้หนูไปกับอาจารย์ด้วยนะคะ”
“นี่เธอรู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?”
พอได้ฟังดังนั้น ฉีเล่ยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เหอจื่อกล่าวสวนกลับไปโดยไม่มีลังเล
“หนูมาในฐานะตัวแทนของทุกคนในคลาส หนูต้องไปคุยกับท่านอธิการบดี!”
“หยุดได้แล้ว!”
สีหน้าของฉีเล่ยเย็นยะเยือกลงฉับพลัน
“ผมมีธุระสำคัญต้องคุยกับท่านอธิการบดีส่วนตัว! คุณมาที่นี่เพื่ออะไร? ไม่ใช่ว่ามาเรียนหนังสือหรอกเหรอ? กลับไปทบทวนบทเรียนที่ผมให้ไปเดี๋ยวนี้!”
พูดจบฉีเล่ยก็หมุนตัวกลับและเดินจากไปทันที แต่ทันใดนั้น เหอจื่อก็ตะโกนเสียงดังลั่นไล่หลังเขามาติดๆ
“ฉีเล่ย! หยุดเดี๋ยวนี้!”
ฉีเล่ยตกใจถึงขั้นผงะ หันควับกลับมามองเหอจื่ออย่างไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“ที่นี่คือมหาวิทยาลัย คุณควรเรียกผมว่าอาจารย์ไม่ใช่เหรอ?”
เหอจื่อยืนกำหมัดกัดฟันแน่น พร้อมกระทืบเท้าทีหนึ่งอย่างแรงและกล่าวว่า
“ถ้าไม่พาหนูไปด้วย เดี๋ยวจะกลับห้องเรียนไปเดี๋ยวนี้และเรียกทุกคนเดินทางไปหาอธิการบดีพร้อมกับคุณ!”
“…”
“หนูไม่ได้ขู่ ไม่เชื่อก็ลองได้”
“คุณกำลังขู่ผม”
“อาจารย์ก็ลองเดินออกไปอีกก้าวนึงสิ หนูจะตะโกนเรียกพวกเขามาเดี๋ยวนี้แหละ”
ทุกสายตาของบรรดานักศึกษาในห้องต่างจับจ้องฉีเล่ยกับดเหอจื่อไม่ห่าง บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียดอย่างยิ่ง
คล้อยหลังสักครู่หนึ่ง ฉีเล่ยถึงกับถอนหายใจและกล่าวว่า
“ก็ได้ ก็ได้ งั้นไปกันเถอะ”