ยอดคุณหมอสกุลเฉิน – ตอนที่ 54 ปรับอารมณ์

ตอนที่54 ปรับอารมณ์

ฉีเล่ยขจัดอารมณ์ฟุ้งซ่านไร้สาระออกไป และเพ่งเล็งมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการฝังเข็มเพียงอย่างเดียว

เวลานี้ ชายหนุ่มได้แสดงทักษะความสามารถทางการแพทย์อันน่าอัศจรรย์ของตนเองออกมาได้เต็มที่ ใบหน้าของฉีเล่ยดูจริงจัง มือไม้ที่เคลื่อนไหวพลิ้วไปมานั้น บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญและช่ำชอง

ชายหนุ่มปักเข็มลงไปในแต่ละจุดโดยไม่มีท่าทีลังเล ทั้งแม่นยำและรวดเร็ว หากมองให้ละเอียดกว่านั้น กระทั่งน้ำหนักเข็ม จังหวะ และแรงกดยังสม่ำเสมอ ช่างเป็นการเคลื่อนไหวมือที่ไร้ที่ติจริงๆ ไม่แปลกเลยที่ปู่ของเธอชื่นชมในตัวเขามาก

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลี่ถงซีได้เฝ้าดูการฝังเข็มของคนอื่น แต่ที่ผ่านมา เธอไม่เคยพบเห็นใครที่เคลื่อนไหว และลงเข็มได้เยี่ยมยอดเหมือนกับฉีเล่ยมาก่อนเลย

หลี่ถงซีพลางคิดอยู่ในใจ ผู้หญิงส่วนใหญ่คงจะชอบผู้ชายแบบนี้ ทั้งยังคิดไปถึงกระทั่งว่า  ภรรยาของเขาคงจะเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ และดีกว่าผู้หญิงคนอื่นๆอย่างแน่นอน

แต่เธอกลับไม่รู้อะไรเลยสักนิดว่า ตลอดแปดปีที่ฉีเล่ยอยู่ในสกุลเฉินนั้น เขาต้องผ่านความทุกข์ทรมานมามากเพียงใด?

หลังจากทำการฝังเข็มที่เท้าสองจุดเสร็จสิ้นแล้ว ฉีเล่ยจึงค่อยๆ ปล่อยมือคลายเท้าประหนึ่งหยกขาวคู่นั้นให้เป็นอิสระ พร้อมกับร้องบอกหญิงสาวว่า

“ช่วยดึงผ้าห่มออกไปด้วย ต่อไปจะเป็นการฝังเข็มที่จุดซูอูวี๋บริเวณต้นขาครับ”

จุดซูอูวี๋คือบริเวณต้นขาด้านในลึกลงไปสามนิ้ว อธิบายให้ฟังเข้าใจง่ายก็คือ ช่วงฐานต้นขา หรือศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่ากระดูกเชิงกราน (Pubic tubercle ) เป็นส่วนมัดกล้ามเนื้อต้นขาด้านใน (Adductor longus)

หากจะอธิบายให้เห็นภาพก็คือ หลี่ถงซีจะต้องกางขาเพื่อให้ฉีเล่ยเข้าไปฝังเข็มนั่นเอง..

หลี่ถงซีมีสีหน้าท่าทางเขินอายอย่างหนัก ถึงกับทำตัวไม่ถูก..

เมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวที่เวลานี้กลายเป็นสีแดงก่ำราวกับลูกท้อ สีหน้าแววตาบอกถึงความประหม่าเก้อเขิน พร้อมกับนั่งนิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อน ฉีเล่ยรับรู้ได้ทันทีว่า อีกฝ่ายกำลังรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก

ฉีเล่ยจึงค่อยๆ อธิบายให้หญิงสาวเข้าใจ

“นี่เป็นจุดฝังเข็มที่ละเอียดอ่อนมาก เรื่องนี้ผมเข้าใจได้ดี แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ทักษะปิดตาฝังเข็มไม่ได้นี่ แต่เนื่องจากจุดนี้อยู่ใกล้กับเส้นเลือดแดงมาก ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน…”

“นี่คุณปิดตาฝังเข็มได้ด้วยเหรอ?” หลี่ถงซีเอ่ยอุทานออกมาด้วยความตกใจ

เธอที่เป็นถึงอาจารย์ในมหาลัยแพทย์ ย่อมเข้าใจได้ในเรื่องเหล่านี้ได้ง่าย แม้เธอจะสอนเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มของแพทย์แผนปัจจุบันก็ตาม แต่ก็ยังพอมีพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับแพทย์แผนจีนอยู่บ้าง

ทักษะปิดตาฝังเข็ม ชื่อก็บอกชัดเจนแล้วว่า เป็นการหลับตาในระหว่างทำการฝังเข็ม และเพ่งสมาธิทั้งหมดไปอยู่กับการสัมผัสแทน แต่ผู้ที่จะใช้ทักษะปิดตาฝังเข็มนี้ จะต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์ และมีประสบการณ์ที่สั่งสมมานานหลายสิบปี และต้องเป็นระดับปรมาจารย์แล้วเท่านั้น จึงจะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้

เท่าที่หลี่ถงซีรู้มา ในบรรดาแพทย์แผนจีนทั่วโลก มีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำไปที่สามารถใช้ทักษะปิดตาฝังเข็มได้ และทุกคนก็ล้วนแต่เป็นปรมาจารย์แพทย์แผนจีนระดับประเทศทั้งนั้น

เป็นไปได้หรือไม่ว่า ชายหนุ่มตรงหน้าที่ดูอ่อนเยาว์กว่าเธอคนนี้จะเป็นหนึ่งในสิบปรมาจารย์ของแพทย์แผนจีน?

ฉีเล่ยยิ้มกว้าง ก่อนจะตอบหญิงสาวกลับไปว่า

“ถ้าผมไม่มีฝีมือจริงๆ คิดเหรอครับว่าอาวุโสหลี่จะให้เกียรติชวนผมให้มาอยู่ที่บ้านด้วย? เขาเคยพานักศึกษาแพทย์ปริญญาเอกมาที่บ้านหลังนี้สักกี่คนเชียว? แล้วเคยเห็นใครเก่งกว่าผมบ้างหรือเปล่า?”

หลี่ถงซีจ้องมองฉีเล่ยราวกับว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาดตนหนึ่ง ในวัยเพียงเท่านี้ แต่กลับมีฝีมือทัดเทียมกับปรมาจารย์แพทย์แผนจีนระดับประเทศเชียวหรือ?

แต่ถึงแม้จะเป็นความจริง หรือไม่ว่าตัวเองจะเย่อหยิ่งแค่ไหน แต่การดูถูกทักษะทางการแพทย์ของคนอื่นแบบนี้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรนัก อย่างน้อยก็ควรต้องมีมารยาทบ้าง

แต่เมื่อหญิงสาวสังเกตเห็นแววตาที่สงบนิ่งปราศจากนัยยะแอบแฝง เธอก็ตระหนักได้ทันทีว่า ผู้ชายคนนี้ไม่คิดที่จะฉวยโอกาสกับเธอแน่นอน

ดังนั้น… เธอจึงควรต้องให้โอกาสเขาลองดู

หลี่ถงซีเองก็เบื่อหน่ายเกินจะทนกับบุคลิกอันเย็นชาของตัวเอง เธอรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย แต่เธอก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และด้วยบุคลิกแบบนี้นี่เอง ที่ทำให้เธอไม่มีแม้แต่เพื่อนในมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำไป

เพราะหญิงสาวไม่อยากจะเข้าใกล้ใครเลยสักคน!

อย่าว่าแต่ผู้ชายเลย เวลานี้ แม้แต่ผู้หญิงด้วยกัน เธอก็เริ่มไม่อยากเข้าใกล้แล้วด้วย

หลี่ถงซีรู้สึกราวกับว่า ตนเองเป็นดั่งนกน้อยที่โบยบินอยู่ในโลกเพียงลำพัง มันช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน! โดดเดี่ยวอ้างว้างเสียจนเธอไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว…

“รอก่อนได้ไหม? ฉัน…ฉันขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” หลี่ถงซีร้องบอกฉีเล่ยด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

“เปลี่ยนเสื้อผ้างั้นเหรอ?”

ฉีเล่ยร้องถามพร้อมกับเหลือบมองชุดนอนสีม่วงของหลี่ถงซีเล็กน้อย แล้วจึงพูดต่อว่า “ไม่ต้องเปลี่ยนก็ได้นะครับ ชุดนี้ก็ดูหลวมกำลังพอดี น่าจะสะดวกสบายพอแล้ว”

“เปลี่ยน…เปลี่ยนดีกว่า”

หลั่ถงซีร้องตอบกลับไป หญิงสาวรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้า คล้ายกับว่ามันกำลังจะระเบิดออก

หญิงสาวอายเกินกว่าจะบอกฉีเล่ยไปตามตรงว่า เมื่อครู่ที่เธอกำลังอาบน้ำอยู่ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ด้วยความรีบร้อนที่จะออกมาดู เธอจึงแค่เช็ดตัวแล้วรีบสวมชุดนอนออกมาทันที โดยไม่ได้สวมกางเกงชั้นใน

แล้วนี่ถ้าเธอต้องกางขาให้ชายหนุ่มฝังเข็มในสภาพแบบนี้ อีกฝ่ายจะไม่เห็นของเธอหมดหรือยังไง?

ฉีเล่ยเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่า บทหญิงสาวจะดื้อ ก็ดื้อแบบไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แต่เมื่อเห็นเธอยืนกรานว่าจะเปลี่ยนชุดให้ได้ เขาก็ด้แต่ทำได้พยักหน้าตอบ

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเปลี่ยนเฉพาะเสื้อก็ได้ ผมแนะนำว่าไม่ต้องเปลี่ยนกางเกง เพราะกางเกงตัวนี้ดูค่อนข้างสะดวกดีอยู่แล้ว”

“อืม”

หลี่ถงซีเค้นเสียงออกจากลำคอ ก่อนจะรีบวิ่งไปเปิดตู้เสื้อผ้า พร้อมกับแอบหยิบกางเกงชั้นในออกมา แล้วเข้าไปใส่ในห้องน้ำทันที

แต่เมื่อหญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำ ฉีเล่ยกลับเห็นว่า อีกฝ่ายก็ยังใส่ชุดนอนตัวเดิมอยู่ดี ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย

‘อ่อ…ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่เปลี่ยนไป ก็คงจะเป็นกางเกงชั้นในที่ก่อนหน้านี้หญิงสาวลืมใส่นั่นเอง แล้วก็เสื้อชั้นในด้วย แต่ไม่เห็นจำเป็นที่เธอจะต้องตื่นเต้นขนาดนั้น การแอบลุ้นว่าใครใส่กางชั้นในสีอะไร ยังจะดูน่าตื่นเต้นกว่าซะอีก!’

ฉีเล่ยยักไหล่ พร้อมกับร้องถามออกไปว่า “นี่คือ…เปลี่ยนชุดแล้วสินะ?”

“อะ-อืม…เปลี่ยนแล้ว อย่าถามมากได้ไหม? ไม่งั้นฉันฆ่าคุณแน่!”

หลี่ถงซีไม่รู้หรอกว่า ฉีเล่ยมีความสามารถในการมองที่เหนือกว่าคนทั่วไปมากเพียงใด แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ต้องแกล้งทำตัวกลมกลืนไปกับสถานการณ์ด้วย

‘ช่างเถอะ เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว!’

ฉีเล่ยปิดปากเงียบไม่ถามอะไรหญิงสาวอีก จากนั้นก็หยิบเข็มทองหางหงส์ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นจับขาทั้งสองข้างของหลี่ถงซีให้อ้าออกกว้าง

หากจะพูดกันตามความจริง ทุกคนล้วนมีไฟราคะตามสัญชาตญาณอยู่ในตัว แต่ก็ต้องหักห้ามให้อยู่เพียงแค่ภายใน

ไม่ว่าจะเป็นชุดชั้นในสีก็ดี หรือจะเป็นลูกไม้บางๆก็ดี แค่ได้เห็นก็ทำเอาคนผู้นั้นสามารถคิดเตลิดไปไกลได้แล้ว นี่จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท ถึงขั้นมีปากเสียงกันระหว่างคู่สามีภรรยา บางคนอาจลุกลามถึงขั้นฉีกทะเบียนสมรส และจบลงที่การหย่าร้างก็มากมาย

การฝังเข็มที่ฝ่าเท้านั้นไม่เท่าไหร่ แต่การที่เขาจะต้องมานั่งจ้องหว่างขาของผู้หญิงนานๆแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงสวยๆด้วยแล้ว…

‘จะว่าไปแล้วต้นขาของเธอสวยมากจริงๆ…’

“…..”

เมื่อจำต้องเผชิญหน้ากับท่อนขาเรียวงามของหลี่ถงซี ฉีเล่ยก็ถึงกับต้องแอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาอันสุดแสนทุกข์ยากลำบาก

อีกทั้งยังกลิ่นสบู่หลังอาบน้ำใหม่ๆนี่อีกน่ะสิ… มันเกินที่ชายหนุ่มอย่างเขาจะอดทนอดกลั้นได้จริงๆ!

ฉีเล่ยถึงกับต้องยกมือปาดเหงื่อไปหนึ่งรอบ แม้เขาจะมีจิตใจที่ต้องการรักษาผู้คนมากเพียงใด แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหว่างขาของอีกฝ่ายเข้าจริงๆ มันกลับทำให้จิตใจของเขาสับสนไม่น้อยทีเดียว

เมื่อจิตใจกระสับกระส่าย เข็มทองหางหงส์ในมือย่อมสั่นสะท้านตามโดยธรรมชาติ และการฝังเข็มเกิดความผิดพลาดแม้แต่ครึ่งมิลลิเมตร อาจส่งผลเสียต่อผู้ป่วยเกินกว่าที่จะจินตนาการได้

‘แต่นี่มัน…นางฟ้าเชียวนะ!’

‘โธ่เอ๊ย! ทำไมต้องมาเจอคนสวยขนาดนี้ด้วยนะ!’

หญิงสาวนั่งหลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพบว่าฉีเล่ยยังไม่ลงเข็มเสียที เธอจึงอดที่ลืมตาขึ้นมองไม่ได้และเอ่ยถามไปว่า

“เป็นอะไรไป? มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”

“เปล่า…”

ฉีเล่ยสะบัดหน้าไปมา เพื่อสลัดเอาความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไป

“งั้นเริ่มกันเลยนะ”

ทันทีที่พูดจบ ฉีเล่ยก็สูดหายใจเข้าลึก พร้อมกับเพ่งสมาธิไปที่ยังจุดตันเถียนของตนเอง ลอบเดินลมปราณด้วย ‘เคล็ดสิบสองวิถีแห่งเต๋า’ ปรับลมหายใจให้กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง  และทำจิตใจให้กลับมามั่นคงดังเดิม

ปักเข็ม ปรับเข็ม และดึงเข็มออกมา

“เอาล่ะ”

ฉีเล่ยถอนหายใจเล็กน้อย ตอนนี้เขายังไม่ถึงกับเข้าที่เข้าทางมากนัก อยู่ต่อหน้าสาวสวยเหมือนนางฟ้าขนาดนี้ จะให้เขาสงบได้ยังไงกัน?

ถ้าในเมื่อปรับลมหายใจแล้วยังช่วยอะไรได้ไม่มาก ดูท่าเขาคงจะต้องใช้หลักศีลธรรมเข้าช่วยอีกทาง

‘นึกถึงหน้าภรรยาเข้าไว้ หากอวี้หลัวรู้ว่าเราคิดไม่ดีแบบนี้ เธอจะเสียใจแค่ไหนกัน?’

ที่สำคัญที่สุด ในวันข้างหน้า ฉีเล่ยเองก็ไม่รู้ว่าตนเองจะต้องพบเจอคนไข้อีกมากมายเท่าไหร่? จะต้องพบเจอผู้หญิงสวยๆแบบนี้อีกสักกี่คน?

หากเขาซึ่งเป็นแพทย์ยังต้องใจสั่นทุกครั้งที่รักษาคนไข้ที่เป็นหญิงสาวสะสวย นี่ไม่เท่ากับเป็นการหมิ่นทักษะการแพทย์ที่บรรพชนสกุลเฉินถ่ายทอดให้หรอกรหรือ?

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน
Status: Ongoing
โดย นำเรื่อง ยอดคุณหมอสกุลเฉิน มาเป็นบางส่วน บทนำ จากชายหนุ่มที่บังเอิญได้รับมรดกตกทอดของบรรพชนสกุลเฉินเพราะอุบัติเหตุ และในที่สุด จากลูกเขยที่ไร้ค่าไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง กลับกลายมาเป็นหมอเทวดาที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศยิ่ง ‘เถ้าแก่เฉิน! ครั้งก่อนคุณสละชีวิตเพื่อช่วยผม แต่ครั้งนี้ ผมได้สละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยชีวิตของลูกสาวคุณแล้ว..’ ‘หนี้ชีวิตที่ผมติดค้างคุณ ผมได้ชดใช้คืนให้จนหมดแล้ว..’ ‘เวลานี้.. ผมเป็นอิสระแล้ว!’ เรื่องย่อ “แกมันคนไม่เอาไหน! ไอ้สวะกระจอก! ไปคุกเข่าหน้าบ้านเดี๋ยวนี้!” ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนด่าอย่างดูถูกเหยียดหยาม ฉีเล่ยที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมแม้กระทั่งรองเท้า แก้มข้างหนึ่งของเขามีรอยฝ่ามือแดงเถือกประทับอยู่ ถูกผลักกระเด็นออกจากประตูบ้านอย่างไม่ปราณี ฉีเล่ยถึงกับล้มลงอยู่หน้าประตู เขาได้แต่พยุงตัวลุกขึ้นคุกเข่ากับพื้น พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นใจ เขาคุกเข่าอยู่เงียบๆเช่นนั้นเป็นเวลานาน และได้แต่แอบถอนหายใจ และคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่า “เถ้าแก่เฉินครับ! เมื่อไหร่ผมถึงจะชดใช้หนี้ชีวิตให้คุณหมดเสียที?” ……….. เมื่อแปดปีก่อน เพื่อต้องการช่วยชีวิตฉีเล่ย เถ้าแก่เฉินถึงกับต้องยอมเสียสละชีวิตของตนเอง แต่ก่อนตายนั้น เขาได้แต่หวังว่า ให้ฉีเล่ยแต่งงานกับลูกสาวของเขา.. การตัดสินใจของเฉินฉางเชิงในครั้งนั้น ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับภรรยา และบุตรสาวของเขาเป็นอย่างมาก และสองแม่ลูกก็คัดค้านหัวชนฝา ทั้งคู่ไม่เห็นด้วยกับความต้องการของเฉินฉางเชิงเป็นอย่างมาก ที่จะให้ชายหนุ่มซึ่งเป็นต้นเหตุให้หัวหน้าครอบครัวของพวกเธอสองแม่ลูกต้องเสียชีวิต กลายมาเป็นลูกเขยสกุลเฉินเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เถ้าแก่เฉินก็ยังยืนกรานหนักแน่น และประกาศต่อหน้าภรรยากับลูกสาวว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมให้ฉีเล่ยแต่งเข้าสกุลเฉิน เขาคงจะต้องตายตาไม่หลับแน่ และด้วยสาเหตุนี้ หลังจากเฉินฉางเชิงเสียชีวิตลง ฉีเล่ยจึงได้แต่งเข้าเป็นลูกเขยสกุลเฉิน และใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวนี้มานานถึงแปดปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่สองแม่ลูกนึกถึงการตายของเฉินฉางเชิง ทั้งคู่ก็มักจะมาระบายอารมณ์ความโกรธแค้นภายในใจกับฉีเล่ยอยู่เสมอ และในคืนนี้ก็เช่นกัน ฉีเล่ยที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านตลอดทั้งคืน ไม่อาจทนต่อความเหนื่อยล้าของร่างกายได้อีก ร่างของเขาค่อยๆเอนลงเรื่อยๆ ก่อนจะล้มฟุบลงไปกองกับพื้น และหลับไปในสภาพเช่นนั้น จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าก็ดังออกมาจากด้านในบ้าน ฉีเล่ยถึงกับสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าตามเดิมอย่างรวดเร็ว และเมื่อประตูบ้านเปิดผางออก แม่ยายของฉีเล่ยก็ยืนจ้องมองเขาด้วยสีหน้า และแววตาเคียดแค้น ฉีเล่ยเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่เตรียมใจที่จะรับพายุอารมณ์ของหญิงในวัยกลางคนอีกระลอก.. “ไอ้คนสารเลว นี่แกกล้าเผลอหลับงั้นเหรอ? ไอ้คนขี้ขลาด! ไอ้ฆาตกร! ฉันจะฆ่าแก!” สีหน้าของแม่ยายฉีเล่ยดูเหมือนจะแสดงความสงสารออกมาวูบหนึ่ง แต่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว ก็ถูกบดบังไว้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นแทน ความปรารถนาของเถ้าแก่เฉิน ได้ทรมานจิตใจของหญิงวัยกลางคนผู้นี้จนแทบเสียสติ และกลายเป็นคนบ้า เธอเองก็เริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ และไม่รู้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยมแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่.. หลังจากที่ได้ฟังคำกร่นด่าด้วยความเคียดแค้นของแม่ยาย บนหน้าผาก และขมับทั้งสองข้างของฉีเเล่ย ก็ปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมามากมาย แต่เขาก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่เช่นนั้นอย่างอดทน และปล่อยให้ร่างกายของตนเอง กลายเป็นที่ระบายความเคียดแค้นของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ต่อไป “พี่เฉิน.. ทำไมพี่ถึงต้องช่วยไอ้คนสารเลวพรรณนี้ด้วย? ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป? เพราะมันคนเดียว ทำให้ฉันต้องกลายเป็นหม้าย ส่วนลูกสาวของเราก็ต้องกำพร้าพ่อ! “พี่เฉิน.. พี่ปล่อยให้เราสองคนแม่ลูกมีชีวิตที่ทุกข์ทรมาน อยู่กับไอ้คนชั่วช้าทุกวันแบบนี้ได้ยังไงกัน?” แม่ยายของเขาทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทีุ่สุด! ฉีเล่ยได้แต่อดกลั้นต่อความทุกข์ใจ และทุกข์กายไว้เงียบๆเพียงลำพัง ความโกรธแค้นภายในใจที่เกิดจากการถูกข่มเหงด่าทอ กลับถูกความรู้สึกผิดภายในใจสะกดไว้แทน “แม่คะ กลับเข้าไปในบ้านเถิดนะคะ!” ฉีเล่ยแทบไม่ต้องลืมตามอง เพราะเพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า เจ้าของเสียงนุ่มนวลนี้ก็คือเฉินอวี้หลัว ภรรยาของเขานั่นเอง เฉินอวี้หลัวเดินเข้าไปช่วยพยุงแม่ยายของเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพาเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่หลังจากเดินไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เธอก็หันมาบอกกับฉีเล่ยว่า “นายเองก็ควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว!” หลังจากที่บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งลงแล้ว ฉีเล่ยที่เวลานี้มีบาดแผลอยู่เต็มร่างกาย ก็ได้แต่ลุกขึ้นยืน และเดินตามเข้าไปในบ้าน เขาปิดประตูบ้านลงอย่างช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่แคร่ไม้ซึ่งตั้งอยู่ตรงระเบียงบ้าน แล้วทรุดกายลงนอน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ที่กำลังทอแสงนวลอยู่บนท้องฟ้า …… จนกระทั่งเวลาหกโมงครึ่งของเช้าวันใหม่ ฉีเล่ยจึงรีบลืมตาตื่นขึ้น เพื่อลุกขึ้นมาทำงานที่คั่งค้างของเมื่อวาน รวมทั้งงานที่ต้องทำในวันนี้ด้วย เขาลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้กับเฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ จากนั้นจึงกลับไปนั่งหลบที่มุมระเบียง เพื่อรอให้สองแม่ลูกรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็จะได้เข้าไปเก็บโต๊ะ และจัดการล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อย ในระหว่างที่นั่งหลบมุมอยู่ข้างระเบียงนั้น ในมือของฉีเล่ยก็ถือชามข้าวถ้วยหนึ่งไว้เหมือนเช่นทุกๆวัน แม้สถานการณ์ต่างๆ ดูเหมือนจะสงบนิ่งลงบ้างแล้ว แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับอึมครึม และดูเหมือนจะตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ราวกับภูเขาไฟที่สามารถระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อครั้งที่เขาและเฉินอวี้หลัวแต่งงานกันใหม่ๆนั้น ฉีเล่ยได้เคยพยายามที่จะปรับเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดแบบนี้ให้ดีขึ้น แต่เขาก็ไม่เคยทำสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากนั้นมา เขาก็ได้แต่อดทนต่อความทุกข์กายทุกข์ใจที่ได้รับอย่างเงียบๆ ในระหว่างที่เฉินอวี้หลัวจะออกไปทำงานนั้น เธอก็สังเกตเห็นฉีเล่ยที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งของระเบียงบ้าน และดูเหมือนจะมีบาดแผลอยู่เต็มตัว แววตาของหญิงสาวปรากฏร่องรอยของความสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่ใยดีต่อฉีเล่ย หลังจากรับประทานอาหารเช้า และจัดการเก็บโต๊ะจนเรียบร้อยแล้ว ฉีเล่ยก็หยิบถุงปุ๋ยคู่กายไปหนึ่งอัน และเริ่มเดินไปตามท้องถนนเพื่อเก็บขยะที่สามารถขายเป็นเงินได้กลับมา ใบหน้าของเขานั้นเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ฉีเล่ยคุ้นเคยกับสีหน้า และแววตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็มองเขาด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ส่วนใหญ่มักจะมองเขาด้วยแววตาเยาะเย้ยถากถาง และบางส่วนก็มองเขาด้วแววตาเฉยเมย ใครจะไปคิดเล่าว่า ชายหนุ่มที่เคยร่ำเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง กลับจะต้องกลายมาเป็นคนเก็บขยะไปวันๆแบบนี้? แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เฉินอวี้หลัว และแม่ของเธอ สั่งให้ฉีเล่ยทำมาตลอดระยะเวลาแปดปี! ฉีเล่ยเดินก้มๆเงยๆเก็บขวดตามถังขยะบ้าง ตามท้องถนนที่ผู้คนต่างพากันโยนให้เขาบ้าง แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูร้องตะโกนเสียงดัง “ขโมย! ช่วยจับขโมยด้วย!” ฉีเล่ยรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และพบว่าเฉินอวี้หลัวกำลังวิ่งตามเด็กหนุ่มคนหนึ่งมา เขาโยนสิ่งของที่อยู่ในมือทิ้งทันที และรีบวิ่งตามโจรผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset