ตอนที่99 เจตนาร้าย
นักศึกษาต่างเบี่ยงหน้าหนี ไม่กล้ามองภาพตรงหน้าอีกต่อไป เพราะคิดว่าฉีเล่ยจะต้องโดนการโจมตีอันรุงแรงของอีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
แต่ในไม่ช้า สีหน้าของพวกเขากลับต้องเปลี่ยนเป็นความเหลือเชื่อ
เพราะฉีเล่ยกำลังทำท่าอะไรสักอย่างดูแปลกตาอย่างยิ่ง
ร่างของเขาเอนหลังหลบการโจมตีชนิดที่ว่าโค้งเกือบ180องศา ในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้ เรียกท่านี้กันว่า ท่าสะพานโค้ง
นักสู้ด้วยกันจะรู้ดีว่า ขณะเคลื่อนไหวเพื่อที่จะโจมตี คือช่วงเวลาที่ร่างกายจะเปิดช่องโหว่และจุดอ่อนออกมามากที่สุด แม้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงแค่ 0.23วินาที แต่นั่นก็มากพอที่ฉีเล่ยจะหาจังหวะสวนกลับไปได้
เขาเกร็งกล้ามเนื้อหลังทรงตัวยืนหยัดกลับขึ้นมาจนกายตั้งตรง ร่างกายที่โค้งงอเมื่อครู่ดีดเด้งกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถ่ายโอนพละกำลังส่วนหนึ่งกรอกเทลงไปบนฝ่ามือ พร้อมซัดเข้าบริเวณใต้เอวของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ
นี่คือจุดแบ่งวิญญาณ สามารถสร้างอันตรายต่อทุกชีวิตที่โดนสกัดจุดดังกล่าวได้
จุดฝังเข็มดังกล่าวนี้ยังมีคำกล่าวเล่าอีกว่า‘หนึ่งกระบวนหนึ่งจุด พิฆาตทั่วร่าง’ หากใช้ในแง่ของการรักษา มันคือตัวช่วยชั้นดีในยามฉุกเฉิน แต่หากใช้ในแง่ของการต่อสู้ มันคือเครื่องมือสังหารที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด
ต้องกล่าวว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ดวงซวยเหลือเกิน ที่คู่ต่อสู้ตรงหน้าดันเป็นฉีเล่ย ผู้ที่มีความช่ำชองด้านการฝังเข็มบนร่างกายมนุษย์มากที่สุดคนหนึ่งบนโลก
ตุบ!
หลังจากยกฝ่ามือตบอัดจุดแบ่งวิญญาณเข้าไป จู่ๆชายวัยกลางคนผู้นั้นก็ล้มลงนอนแน่นิ่งกับพื้นโดยปราศจากสัญญาณเตือนใดๆ ฟองขาวฟอดพุ่งออกมาจากปากของเขา ทั่วทั้งร่างกายกระตุกไม่หยุด ตาเหลือกจนเห็นเพียงตาขาว ลักษณะคล้ายคนกำลังจะตาย
“หัวหน้า!”
“หัวหน้า! หัวหน้าได้ยินผมไหม!?”
“พวกเรา! ล้างแค้นแทนหัวหน้า!”
กลุ่มบอดี้การ์ดสวมสูทสีดำพากันวิ่งเข้าไปดูอาการของชายวัยกลางคนเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นร้องตะโกนออกมาด้วยความแค้น และเตรียมเปิดศึกโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเหล่านักศึกษาเห็นว่า อีกฝ่ายไม่ยอมรักษาสัญญาที่ให้ไว้ หลังจากเห็นชัดแล้วว่า การดวลครั้งนี้อาจารย์ฉีเป็นฝ่ายชนะ แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาไป กลับจะมาลงไม้ลงมือกันต่อ แต่มีหรือที่เด็กพวกนี้จะกลัว? แต่ละคนรีบกระชับขวดปากฉลามในมือแน่น เตรียมสู้ตายกับพวกบอดี้การ์ดสวมชุดสูทดำอีกเป็นระลอกสอง
หัวหน้ารปภ.ที่ก่อนหน้าแอบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังฝูงชน พอเห็นว่าฝ่ายของเปียวโต้วพ่ายแพ้แล้ว ก็รีบนำกลุ่มรปภ.ที่เหลือออกมาห้ามปรามสถานการณ์ทันที โดยชี้ไปที่นักศึกษาคนหนึ่งและกล่าวโทษทันทีว่า
“พวกแกทำบ้าอะไรกัน! ที่นี่เป็นสถานบันเทิงนะ ไม่ใช่ที่ชกต่อย!”
“อย่างงั้นเหรอ? ตอนพวกนั้นเข้ามาหาเรื่องก่อนทำไมถึงไม่ออกมาห้าม? ตอนนี้เห็นว่าพวกตัวเองเสียเปรียบก็รีบแห่กันเข้ามาใหญ่เลย เรื่องนี้จะอธิบายว่ายังไง?”
เหอจื่อร้องตะโกนสวนกลับไปทันที ด้วยสายตาอันเฉียบคมของเธอ หญิงสาวสังเกตเห็นตั้งแต่ก่อนหน้าแล้วว่า พวกรปภ.ล้วนแอบซ่อนตัวอยู่หลังฝูงชนมาตั้งแต่แรก เพียงแต่ว่าพวกมันไม่คิดที่จะออกมาช่วยฉีเล่ยและนักศึกษาคนอื่นๆเท่านั้น
ถ้าไม่คิดจะเข้ามายุ่ง ก็ไม่ควรจะเข้ามาขวางจริงไหม?
หัวหน้ารปภ.แสยะยิ้มเยาะตอบกลับไปอย่างไม่เกรงกลัวว่า
“ทุกคนวางขวดในมือลงซะ! ผมโทรแจ้งตำรวจแล้ว! เมื่อตำรวจมาถึง ใครถูกใครผิดเดี๋ยวก็รู้เอง!”
เหอจื่อโบกมือปฏิเสธ
“ไม่จำเป็น ฉันเองก็โทรเรียกคนของฉันมาแล้วเหมือนกัน”
“ก็ดี”
หัวหน้ารปภ.ยิ้มสบประมาทใส่
โทรเรียกคนมาแล้ว? ไอ้คนที่ว่าของเธอมันจะไปเก่งกว่าตำรวจได้ยังไง? เรียกมาให้โดนจับเพิ่มรึไง? โง่จริงๆ!
แต่ทันใดนั้นทั่วทั้งร้านKTVก็ถึงกับสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว!
ความโกลาหลนี้เกิดขึ้นที่ชั้นหนึ่ง ทั้งเสียงผู้หญิงและเสียงผู้ชายที่กรีดร้องด้วยความหวาดกลัวได้ดังลั่นมาถึงชั้นสอง เสียงรองเท้าคอมแบทดังตุ้บตับเดินขึ้นบันไดยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
ทันทีที่กองทหารติดอาวุธปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูห้อง หัวหน้ารปภ.ก็ถึงกับฉี่ราดกางเกงด้วยความกลัวจัด
เมื่อเหอจื่อเห็นผู้นำกองทหาร เธอก็รีบโบกมือและตะโกนเรียกทันที
“ซูจง ทางนี้!”
ซูจงที่เห็นเหอจื่อโบกมือให้ ก็รีบพากองทหารเคลื่อนพลเข้าไปล้อมรอบเหอจื่อไว้อย่างรวดเร็ว
กึก!
ทหารทุกนายยกปลายกระบอกปืนไรเฟิลขึ้นชี้ไปทางเหล่าอดี้การ์ดและรปภ.ทั้งหมด และกำลังเตรียมรอคำสั่งขั้นต่อไปจากซูจง
ซึ่งคำสั่งขั้นต่อไปที่ว่าก็คือ‘ยิง’
บรรดาบอดี้การ์ดเห็นแบบนั้นถึงกับกลัวกันหัวหด รีบโยนมีดในมือทิ้งราวกับเป็นของแสลงใจ ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อขอความเมตตาทันที
“ลูกพี่ อย่ายิงผมเลยนะครับ!”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรานะครับ นี่ไม่เกี่ยวกับพวกเราเลย…”
“เราแค่…แค่…ล้อเล่นกันเฉยๆน่ะครับ!”
ทันทีที่หม่ารุ่ยเห็นภาพฉากดังกล่าว ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นสีเขียวคล้ำด้วยความหม่นหมองใจทันที ไอ้คนที่เขาดันไปมีเรื่องด้วยเป็นใครกันแน่? ต้องมีภูมิหลังแข็งแกร่งขนาดไหนถึงสามารถเรียกกำลังเสริมเป็นเครื่องจักรกลในชุดเขียวลายพรางแบบนี้ออกมาได้เป็นกองร้อย!?
เหลือบซ้ายแลขวาพอเห็นว่า ตนเองอยู่ในจุดลับสายตาของพวกทหาร หม่ารุ่ยที่กำลังแข้งขาสั่นเทา ก็ค่อยๆแอบถอยร่นออกไป หวังที่จะแอบหนีออกไปจากที่เกิดเหตุอย่างเงียบๆ
แต่ขณะที่เขากำลังก้าวถอยหลังอยู่นั้น กลับถูกเหอจื่อพบเข้าเสียก่อน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! นั่นแกจะหนีไปไหน?”
เหอจื่อกล่าวต่อว่า
“ซูจง หมอนั่นแหละที่คิดจะทำร้ายฉันก่อน พอแพ้แล้วพาลก็เลยพาคนมาล้างแค้น”
“ทำร้ายคุณหนู?”
ซูจงแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่นัก คุณหนูเหอจื่อคนนี้มีหรือที่เขาจะไม่รู้จัก? ใครก็ตามที่กล้าสัมผัสร่างเธอ ไม่มือหักก็ตีนแตกจริงไหม?
เหอจื่อชี้ไปที่ใบหน้าอันยับเยินของหม่ารุ่ยและกล่าวว่า
“คิดว่าฉันโกหกรึไง?”
เนื้อตัวของซูจงสั่นสะท้านเล็กน้อย รีบเอ่ยปากออกคำสั่งทหารอีกนายทันที
“ไปพาตัวไอ้หมอนั่นมาตรงนี้!”
ทหารนายนั้นรีบวิ่งตรงออกไปและจับตัวหม่ารุ่ยมาไว้ต่อหน้าซูจง
หลังจากสำรวจใบหน้าของหม่ารุ่ยเล็กน้อย ซูจงจึงได้ร้องถามออกไปว่า
“นี่แกรู้จักกองทัพภาคที่1ใช่ไหม?”
หม่ารุ่ยส่ายหัวอย่างช้าๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพยักหน้าแทนคำตอบ ขณะเดียวกันเขาก็ถึงกับเหงื่อตก และเม็ดเหงื่อก็ไหลรินหยดลงบนพื้นดังติ๋งติ๋ง
แน่นอนว่า เขาจะต้องเคยได้ยินคำว่า กองทัพภาคที่1มาอยู่แล้ว ไม่สิ…ทุกคนในปักกิ่งล้วนต้องเคยได้ยิน ทหารทั้งหมดที่อยู่ในหน่วยนี้ล้วนแล้วแต่เป็นนายทหารระดับสูงทั้งสิ้น…
ผัวะ!
ซูจงสะบัดหลังมือตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรงไปหนึ่งที
“แล้วแกกล้าทำร้ายคุณหนูของแม่ทัพภาคที่1ได้ยังไง!”
ผัวะ!
เสียงตบหน้าดังลั่นอีกครั้ง
“คุณหนูของแม่ทัพภาคที่ไม่เคยใช้เส้นสายกดขี่หรือรังแกใครเลยสักครั้ง! แม้แต่ฉันยังไม่เคยถูกโดนเอาเปรียบมาก่อน!”
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
จากนั้นซูจงก็กระหน่ำโบกหลังมือตบหน้าหม่ารุ่ยไม่หยุดด้วยความโกรธจัด ตั้งแต่ต้นจนจบเขาตบอย่างต่อเนื่องชนิดที่ไม่มีพักหายใจ
“คุณหนูเหอ ต้องการนำตัวเขาไปทรมานต่อไหมครับ?”
จงซูหันไปเอ่ยถามเหอจื่อ
“ไม่ต้อง ฉันระบายอารมณ์โกรธไปจนหมดแล้ว ตอนนี้กำลังคิดว่าจะเอายังไงต่อกับคนพวกนี้ดี?”
เหอจื่อกล่าวถามขึ้น
“พาคนพวกนี้กลับเข้ากรมเพื่อสอบปากคำครับ ถ้าทำให้ติดคุกในคดีผู้ก่อการร้ายที่ถูกจ้างวานมาให้มาลอบสังหารญาติ และครอบครัวของท่านแม่ทัพภาคได้ ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วครับ”
เหอจื่อพยักหน้า
“เข้าใจแล้ว ว่าแต่นายมาด้วยตัวเองเลยเหรอ? พ่อฉันให้โอกาสนายพิสูจน์ฝีมือหรือยังไง?”
ซูจงมองซ้ายแลขวาหันไปรอบๆก่อนเอ่ยกระซิบกับเธอว่า
“หัวหน้าออกไปตรวจการอยู่ข้างนอกครับ แต่ระหว่างนั้นคุณนายก็โทรเข้ามาบอกว่า มีคนกำลังไล่ฆ่าคุณหนู ทั้งยังสั่งให้ส่งหัวหน้าหน่วยและกองร้อยที่ประจำอยู่ในบริเวณที่ใกล้ที่สุดออกไปปฏิบัติการ ซึ่งก็เป็นผมนี่แหละครับ แถมคุณนายยังกำชับอีกว่า ห้ามให้คุณหนูเสียพรหมจรรย์โดยเด็ดขาด…ไม่อย่างนั้นพวกผมคงโดนสั่งย้ายทั้งกองร้อย แถมยังอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงได้ด้วยหากเกิดความโกลาหลเกินควบคุม”
ที่แท้ก็ห่วงพรหมจรรย์ลูกสาวตัวเอง…
เหอจื่อถึงกับพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่ เธอไม่คิดเลยว่า แม่จะพูดอะไรแบบนั้นออกไปภายใต้สถานการณ์เคร่งเครียดแบบนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเหอจื่อขึ้นมาจริงๆ ซูจงก็จะถูกตัดสินโทษเพราะเรื่องนี้จริงๆงั้นเหรอ?
“แล้วแม่ฉันล่ะ? ไม่มาด้วยเหรอ?”
เหอจื่อเอ่ยถามขึ้น
“คุณนายยังมาไม่ถึงครับ”
“ยังมาไม่ถึง? นี่แสดงว่ามาจริงๆงั้นเหรอ?”
“ครับ คุณนายกำลังเดินทางมาที่นี่ครับ”
จากนั้น ซูจงก็รีบร้องบอกทันที
“ไอ๊ย๊ะ! คุณนายใกล้จะมาถึงที่นี่แล้ว! พวกเราถอยทัพ! ถอยทัพ!”
“ห๊ะ? จะไปทั้งแบบนี้น่ะเหรอ? แล้วไอ้พวกรปภ.กับพนักงานในร้านที่เหลือล่ะ? ไอ้พวกนี้หน้าไหว้หลังหลอกทั้งนั้น ต่อหน้าพวกนายมันก็แกล้งทำเป็นดี แต่ลับหลังนี่มันสัตว์ประหลาดชัดๆ!”
“สัตว์ประหลาด?”
ซูจงหัวเราะอย่างขมขื่นใจยิ่ง
“คุณหนูประเมินคุณนายต่ำเกินไปแล้ว เธอนั่นแหละสัตว์ประหลาดของจริง…”
หลังพูดจบ ซูจงก็ตะโกนออกคำสั่งให้ทหารลากคอพวกบอดี้การ์ดที่เหลือ และกำลังนอนเกลือนอยู่บนพื้นออกไป ส่วนหม่ารุ่ยก็ยังอยู่ในห้องคาราโอเกะดังกล่าวกับคนอื่นๆ รอให้แม่ของเหอจื่อเข้ามาเก็บงานและจัดการเองต่อ
มู่เซียวหยานเป็นผู้หญิงที่มีอารมณ์รุนแรงอย่างมาก ถ้ามาถึงที่เกิดเหตุเมื่อไหร่ แล้วไม่มีใครเป็นกระสอบทรายให้เธอได้ระบายอารมณ์ มีหวังเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน
ถ้ายังมีแม่ทัพภาคอยู่ที่บ้านยังพอทำเนา คุณนายน่าจะกลับไประบายความโกรธกับสามีของเธอได้ แต่เนื่องจากตอนนี้แม่ทัพภาคดันไม่อยู่บ้าน แถมเหตุการณ์ในวันนี้ยังเกี่ยวข้องกับลูกสาวที่คุณนายรักสุดชีวิตอีกด้วย ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องหาตัวตายตัวแทนสักคนให้เป็นที่ระบายความโกรธกับเธอ
ซูจงครุ่นคิดเป็นอย่างดีแล้ว จึงได้ปล่อยให้หม่ารุ่ยอยู่เป็นที่รองรับอารมณ์ของคุณนาย
เมื่อได้ฟังซูจงพูดถึงคุณแม่ของเหอจื่อแบบนั้น ฉีเล่ยก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที
ไหนว่า…แม่ของเหอจื่อป่วยไม่ใช่เหรอ?