สวี่เจ๋อเทาไม่พูดจาตั้งแต่โถงศาลจนถึงหน้าประตู ร่างกายยังคงสั่นๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่าท่านอากังวลว่าพี่ชายไปแล้วจะไม่ได้กลับมา ก็เอ่ยปลอบใจ “ท่านอา ระหว่างทางข้าจะสั่งให้คอยดูแลท่านพี่ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ไม่ให้ท่านพี่ต้องทนทุกข์ลำบาก หากมีการลดหย่อนโทษ ไม่แน่อาจจะได้กลับก่อนอยู่ครบห้าปีก็เป็นได้”
“นั่นคือโทษเนรเทศ ยังกลับมาได้อีกหรือ” สวี่เจ๋อเทาผู้แข็งแกร่งแต่นัยน์ตากลับแดงก่ำ “ข้าใช้ชีวิตมาถึงอายุปูนนี้ นักโทษที่ถูกเนรเทศมีไม่กี่คนที่ได้กลับมา การลดหย่อนโทษเหรอ คงไม่โชคดีขนาดนั้นหรอกกระมัง ทั้งชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยได้ยินเลยสักครั้ง ถึงครั้งนี้จะได้ยิน ก็ใช่ว่าจะเป็นเขา”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยด้วยเสียงเบา “ท่านอาอย่าลืมนะเจ้าคะ นอกจากการลดหน่อยโทษแล้ว ยังมีการเรียกตัวจากโอรสแห่งสวรรค์อีก หลายปีนี้หากท่านพี่ปฏิบัติตัวรับใช้เป็นอย่างดี คนข้างบนอาจใช้เหตุผลบางอย่างโยกย้ายเขากลับมาก็เป็นได้”
สวี่เจ๋อเทายิ้มอย่างขมขื่น “ชิ่นเอ๋อร์ เจินเอ๋อร์มีบุญบารมีแค่ไหนกันเชียว ไร้ผลงาน ไร้ตำแหน่ง ฝ่าบาทไม่แม้แต่จะรู้จักเขา พระองค์จะทรงเรียกเจินเอ๋อร์กลับเมืองหลวงได้อย่างไร”
อวิ๋นหว่านชิ่นคงพูดมากกว่านี้กับสวี่เจ๋อเทาไม่ได้ นางดึงท่านอาเล็กน้อย จากนั้นก็พูดต่อด้วยเสียงเบา “ท่านอาลืมไปหรือไม่ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไม่เรียก แต่ฮ่องเต้องค์ต่อไป ก็ไม่แน่นะเจ้าคะ”
“เจ้าหมายถึงไท่จื่อ” สวี่เจ๋อเทาชะงัก
อว๋นหว่านชิ่นจึงไหลไปตามน้ำ “เจ้าค่ะ ก็ไม่แน่เจ้าคะ วันนี้ท่านอาก็เห็นแล้ว ไท่จื่อให้ความสำคัญกับท่านพี่แค่ไหน ในวันข้างหน้า หากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ก็ย่อมโยกย้ายท่านพี่กลับมาแน่”
ก็ไม่รู้ว่าไท่จื่อจะขึ้นครองราชย์ปีไหน หากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอายุยืนไปถึงแปดเก้าสิบ ไท่จื่อก็จะไม่ได้ขึ้นครองราชย์เสียที เจินเอ๋อร์ของตนจะรอไหวหรือ
เมื่อหลานสาวพูดขนาดนี้ อย่างน้อยก็ทำให้สวี่เจ๋อเทารู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อเริ่มเห็นถึงความหวัง สีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ความโศกเศร้าเป็นกังวลก็ไม่มีมากเท่าเมื่อครู่
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินคู่กับสวี่เจ๋อเทาจนถึงหน้าประตู เมื่อเห็นท่านอาอารมณ์ดีขึ้นก็รู้สึกโล่งอก พ่อบ้านจวนสวี่จูงรถม้ามาถึง กำลังจะพยุงท่านอาขึ้นรถม้า แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เศร้างหมองอีกครั้ง เมื่อหันกลับไปมองประตูของกรมยุติธรรม
“ชิ่นเอ๋อร์ แม่นางหงจะถูกประหารตัดหัวจริงหรือ” คนมารยาไร้ความจริงใจ คนค้าประเวณีไร้คุณธรรม แต่วันนี้หงซื่อเอาชีวิตตัวเองแลกกับการลดโทษของลูกชาย ทำให้สวี่เจ๋อเทารู้สึกซาบซึ้งมาก คนอื่นเอาชีวิตมาแลกถึงเพียงนี้แล้ว ความเกลียดก็น่าจะลดลงไปบ้างไม่มากไม่น้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ตอบ แต่ฝืนตอบกลับไป “หงเยียนใกล้จะกลายเป็นลูกสะใภ้ของท่านอาแล้ว ท่านอายังจะเรียกนางว่าแม่นางหงอยู่อีกหรือเจ้าคะ”
จนถึงขนาดนี้แล้ว สวี่เจ๋อเทาก็ยังไม่อยากยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างลูกชายกับหงเยียน แต่เมื่อหลานสาวพูดเช่นนี้ สีหน้าที่ดูตึงๆ พอคิดอีกที งานแต่งครั้งนี้ก็เพียงแต่เป็นงานที่สนองความต้องการของลูกชายเท่านั้น ส่วนหงเยียนจะถูกประหารตัดหัวในไม่ช้าไม่เร็ว ตนยังจะดึงดันอยู่อีกใย เพียงถอนหายใจแล้วก็ขึ้นรถม้าไป
อวิ๋นหว่านชิ่นมองดูรถม้าค่อยๆ จากไป พอหันกลับไปก็เห็นว่ารถม้าที่ตนนั่งมากรมยุติธรรมเมื่อคืนจอดอยู่ไม่ไกล รถม้าที่ใช้สำหรับนั่งเข้าวังหลวงก็จอดอยู่ตรงนั้น เป็นรถม้าทองจินลู่[1] สี่เสารถม้าเป็นสีแดง หลังคาถูกเคลือบด้วยทองแดงประดับมุก สวยงามโอ่อ่าสูงส่ง สี่ด้านรอบรถม้า มีองครักษ์อารักขาหลายชั้น หากมองจากไกลๆ ยืนเรียงกันแน่นแทบไม่มีช่องว่าง ด้วยความที่ดำรงตำแหน่งสูง การปกป้องอารักขาก็เลยเพิ่มขึ้นตามไม่น้อย
ซือเหยาอันมองอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินเข้าไปเรียนเชิญ “เหนียงเหนียง เชิญขึ้นรถม้าองค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ”
ชูซย่ากับบ่าวรับใช้ของจวนขึ้นรถม้าจวนอ๋อง ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นขึ้นรถม้าคันนั้นคนเดียว พอเปิดม่านออก ภายในรถม้าเป็นไม้แกะสลักลายเมฆหลากสี หรูหราสวยงามหามีที่ติไม่ เขานั่งอยู่บนเบาะรองนั่งผ้าไหม ศีรษะเอนอิงไปด้านหลังเล็กน้อย ดวงตาสองข้างปิดไว้ เขากำลังปิดตาพักสมอง
ใบหน้าอันหล่อเหลามิอาจปิดบังความเหนื่อยล้าได้
เวลาอยู่ในวังหลวง เขาทรงงานหามรุ่งหามค่ำ ต้องว่าราชกิจไม่เคยได้พัก เมื่อคืน พอกลับมาถึงจวนก็ต้องรีบมาที่กรมยุติธรรม จนถึงเวลานี้ก็ยังไม่ได้นอน นางเห็นแล้วก็รู้สึกเอ็นดูจับใจ เดินเข้าไปนั่งข้างเขาแล้วเอ่ยถามเสียงเบาด้วยความเป็นห่วง “เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ”
กลับเห็นชายหนุ่มลืมตาขึ้นเล็กน้อย พลางเอ่ยตอบว่าอืม จากนั้นก็หลับตาลงอีกครา
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดมาก แต่ยังเข้าไปใกล้กว่าเดิม พลางเอ่ย “แล้วหงเยียนจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างขี้เกียจ ตายังคงปิดไว้ “ข้าช่วยนางแล้ว นางจะมีชีวิตต่อได้หรือไม่ ก็ต้องดูว่าพี่ชายเจ้ามีความสามารถแค่ไหนแล้วล่ะ”
ดูพี่ชายข้างั้นหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกงงงวยไม่เข้าใจ “ท่านพี่มีไท่จื่อเป็นที่พักพิง แต่ยังพ้นความผิดมิได้เลย แล้วจะมีความสามารถไปช่วยหงเยียนได้อย่างไรกันหรือเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินคำว่าไท่จื่อ เขาก็ลืมตาขึ้นมา “ครั้งนี้ที่พี่ชายเจ้ารอดจากความตายได้ ไม่ได้เกี่ยวกับไท่จื่อเลยสักนิด เขาก็แค่ส่งคนมาเก็บตกในตอนสุดท้ายเท่านั้น คนๆ นี้มักเอาเปรียบคนอื่นเช่นนี้เสมอ”
นางรู้สาเหตุที่เขาเป็นเช่นนี้แล้วล่ะ แต่ก็อดพูดไม่ได้ “ไท่จื่อไม่ได้ทำเพื่อข้าเสียหน่อย ท่านพี่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา เป็นห่วงกันเล็กน้อยก็เป็นเรื่องปกตินะเจ้าคะ”
ไม่ได้ทำเพื่อเจ้า เพื่อนฝูงกับแขกคนสนิทมีเป็นพันๆ คน จะเป็นห่วงทุกคนให้ได้เลยหรืออย่างไร แล้วตอนที่ก่อนขันทีนั่นจะจากไปอีก สายตาที่ส่งมาให้ มันหมายความว่าอะไรกันแน่
จะไม่ให้เขาคิดมากได้อย่างไร
นางเห็นสีหน้าเขาตึงเครียด เลยยื่นมือออกไป คิดจะแกล้งเล่นเสียหน่อย แต่ดันแตะโดนที่บริเวณต้นคอของเขา มันตึงไปหมด เห็นได้ชัดเจนว่าทำงานมากเกินไป ผนวกกับสีหน้าอันเหนื่อยล้าของเขา นางจึงปัดม่านขึ้น
ซือเหยาอันกำลังรอคำสั่งจากเจ้านายว่าให้กลับจวน แต่แล้วกลับได้ยินเสียงของหญิงสาวอันแสนหวานดังออกมาจากด้านใน “ใต้เท้าซือ ไปชานเมือง”
ชานเมือง ซือเหยาอันตะลึงงัน “ชานเมือง ตรงไหนของชานเมืองขอรับ”
“บ่อน้ำพุร้อนเมาเหยี่ยน”
หลายเดือนมานี้ บ่อน้ำพุร้อนเมาเหยี่ยนถูกดูแลเป็นอย่างดี จนเริ่มเป็นที่รู้จัก
มีบ่อแช่น้ำขนาดต่างๆ ทั้งสี่ทิศล้อมรอบไปด้วยต้นสน เป็นแบบเปิดไร้หลังคา ไม่เพียงแต่ปกปิดได้เหมือนโรงอาบน้ำธรรมดา แต่ยังเป็นสถานที่ที่มีความส่วนตัวสำหรับผู้ที่กำลังแช่น้ำอยู่ และยังได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติอีกด้วย
บ่อแช่น้ำขนาดเล็กใหญ่ มีตะไคร่น้ำสีเขียวตรงฝั่ง มีหมอกสีขาวลอยอยู่บนผืนน้ำ และลอยผ่านตามยอดเขาและสันเขาสีเขียวมรกตโดยรอบ สวยงามเสมือนแดนสวรรค์
ตรงทางเข้า เป็นอาคารสองชั้นขนาดเล็ก มีคนงานที่จ้างมาโดยร้านเซียงหยิงซิ่ว ในตอนแรก รับจ้างเกษตรกรในท้องถิ่นมาเพียงสองคน ต่อมา เนื่องจากจำนวนแขกที่เพิ่มขึ้น หงเยียนจึงต้องจ้างคนงานระยะยาวมาอีกหลายคน
รถม้าจอดอยู่ไกลๆ แต่อวิ๋นหว่านชิ่นกลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อนึกถึงหงเยียนก็พลันรู้สึกเสียใจ สีหน้าก็หม่นหมองลงไปมาก แล้วนางก็สูดหายใจลึก ไม่คิดมากอีก
นางกระซิบข้างหูชูซย่าไม่กี่คำ ชูซย่าลงไปแจ้งที่ตึกเล็กๆ ให้รับทราบ
หัวหน้าคนงานบ่อน้ำพุร้อนเข้าใจทันทีว่าเจ้าของร้านมาที่นี่ จึงเอ่ยตอบทันที “ช่วงนี้เพิ่งเข้าฤดูใบไม้ผลิ แขกที่มาก็มีไม่มาก ตอนนี้ก็หาใช่ช่วงเวลาคนหนาแน่นไม่ มาได้เวลาพอดี เดี๋ยวข้าจะรีบไปจัดสถานที่ให้ขอรับ”
ระหว่างที่รอชูซย่ากลับมา อวิ๋นหว่านชิ่นหันกลับมาก็เห็นว่าเขาได้ถอดชุดทางการสำหรับเข้าวังหลวงออก เปลี่ยนเป็นชุดลำลองเรียบร้อย พลางเอ่ย “ท่านอ๋องตามมาเจ้าค่ะ”
ซย่าโหวซื่อถิงเดินตามอย่างเชื่อฟังและไม่พูดสิ่งใด เมื่อเห็นนางยิ้มหวานฃ ภายในใจก็รู้สึกร้อนรุ่มทันที ความรู้สึกไม่พอใจเมื่อครู่นี้ก็หายไปแทบจะครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
เขาทิ้งองครักษ์และรถม้าไว้ด้านหลัง ไขว้แขนไว้ด้านหลังและเดินตามนาง เมื่อใกล้ถึงบ่อน้ำพุร้อน อวิ๋นหว่านชิ่นก็ชี้ไปตรงหน้า เป็นการบอกว่าอยู่ตรงนั้น ให้เขาเดินไปก่อน “เดี๋ยวข้าไปหยิบของสักหน่อยนะเจ้าคะ”
เขาเดินเข้าไปและหยุดอยู่ตรงบ่อๆ หนึ่ง เป็นบ่อที่อยู่ด้านในสุด
…………………………………………………………………………………….
[1] รถม้าทองจินลู่ เป็นชื่อของรถม้าในสมัยโบราณ ตัวรถถูกประดับด้วยสีทอง จึงเป็นที่มาของชื่อรถม้า