เหยาฝูโซ่วพาคุณชายอวิ๋นออกจากสวน จนขึ้นเกี้ยวเสร็จ ก็รีบกลับไปที่ศาลา
หนิงซีฮ่องเต้ทั้งออกจากพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน ทั้งตรัสกับคุณชายไปพักใหญ่ เวลานี้พระองค์ทรงรู้สึกเหนื่อยอย่างที่สุด จึงโน้มพระวรกายลงที่พระแท่นพลางหลับตา
ตั้งแต่ฮองเฮาเสด็จสวรรคต อาการประชวรของพระองค์หนักขึ้นทุกวัน และวันนี้อยู่ได้นานก็เพราะฝืนตัวเอง เหยาฝูโซ่วเดินเข้าไปทูล “ฝ่าบาท กระหม่อมจะไปเตรียมพระเกี้ยว เสด็จกลับพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ ข้ามิเป็นไร ข้ารู้สึกโล่งสบายเลยต่างหาก ไม่ได้รู้สึกสบายเช่นนี้มานานมากแล้ว” หนังพระเนตรของหนิงซีฮ่องเต้ขยับเล็กน้อย ทรงลืมตาขึ้นพร้อมแย้มพระโอษฐ์
เหยาฝูโซ่วเข้าใจทันทีเมื่อเห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ แม้เป็นการได้พบอวิ๋นจิ่นจ้งครั้งแรก แต่พระองค์นั้นทรงปลื้มอย่างหาที่สุดมิได้ อย่างไรเสีย ยามเมื่อเห็นสีพระพักตร์พระองค์เปล่งประกายสดใสขึ้น ก็โล่งอกไปด้วย
ณ จวนฉินอ๋อง
เมื่อจิ่นจ้งกลับ ฟ้าเริ่มค่ำมืด
วันไหนที่กลับดึก มักมีผู้ติดตามกลับมารายงานให้ทราบ แต่วันนี้กลับไม่มีใครมาแจ้งเลยแม้หนึ่งคน อวิ๋นหว่านชิ่นนั่งรอถึงพลบค่ำ จนรอต่อไม่ไหว
น้องตนเป็นเด็กดี ไม่เคยประพฤติเหลวใหลเช่นนี้มาก่อน
อวิ๋นหว่านชิ่นใจเริ่มว้าวุ่น ชูซย่า ชิงเสวี่ยและเจินจูต่างสงสัยเช่นกัน แต่ยังปลอบใจ “อยู่ถึงเมืองหลวง ในกั๋วจื่อเจียน จะมีเรื่องอะไรได้เจ้าคะ คุณชายอาจจะอ่านหนังสือจนเพลินจนลืมเวลา”
รอไปอีกพักหนึ่ง ตะวันใกล้จะตกดิน เมื่อเห็นยังกลับมาไม่ถึงเสียที อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะบอกให้เกาจ๋างสื่อไปดูที่กั๋วจื่อเจียนเสียหน่อย แล้วก็ได้ยินเสียงรายงานดังมาจากหน้าประตู “กลับมาแล้ว คุณชายอวิ๋นกลับมาแล้ว!”
ทุกคนถอนหายใจโล่งอก อวิ๋นหว่านชิ่นกลับหน้าย่นขมวดคิ้ว “เรียกคุณชายกับม่อเซียงมาหาข้า”
ชูซย่ารู้ว่าพระชายาเอกโกรธมา ก จึงพาคุณชายมาหาอย่างรวดเร็ว
จนถึงตอนนี้ อวิ๋นจิ่นจ้งยังมึนงงเล็กน้อย จึงไม่ทันสังเกตสีหน้าของท่านพี่ อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่าทางบื่อๆ ไม่พูดไม่จา ก็ยิ่งโมโห พลันหันเอ่ยถามม่อเซียง “คุณชายไปไหนมา”
ม่อเซียงเซียงเห็นเหนียงเหนียงกริ้วโกรธ ตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ “เหนียงเหนียง บ่าวมิทราบ..บ่าวกับผู้ติดตามหลายคนรอคุณชายอยู่ด้านหน้ากั๋วจื่อเจียนอยู่นาน ไม่เห็นออกมาเสียที เห็นเพียงคนรับใช้ในกั๋วจื่อเจียนออกมาส่งข่าวว่า คุณชายเดินออกไปทางประตูรองแล้ว เนื่องจากมีธุระเล็กน้อย ให้พวกเรารออยู่ตรงนั้น มิต้องเป็นกังวล พวกบ่าวไม่ทราบจริงๆ ว่าคุณชายไปที่ไหนมา จึงได้แต่ยืนรออยู่ที่เดิม ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ถึงเห็นคุณชายกลับมาด้วยเกี้ยวลำหนึ่ง จากนั้นก็รีบกลับมาที่จวนเจ้าค่ะ”
ชูซย่าเป็นห่วงกลัวว่าคุณชายจะถูกทำโทษ จึงรีบเอ่ยเตือน “คุณเชาย รีบกราบขออภัยกับเหนียงเหนียงสิเจ้าคะ”
ทีแรกอวิ๋นหว่านชิ่นคิดว่าน้องชายไปเที่ยวเล่น ก็มิได้จะว่าอะไร เด็กตัวแค่นี้มีคนใดไม่ชอบเที่ยวเล่นบ้าง อีกอย่างช่วงที่ผ่านมาการเรียนของเขาตึงเครียดพอควร หลังเกิดอุบัติเหตุก็ไม่ได้ออกไปเล่นว่าวอีกเลย ถึงเขาไม่พูด แต่ตนก็วางแผนแล้วว่าหากวันใดมีเวลาว่าง จะพาออกไปเที่ยวสักหน่อย แต่ถึงออกไปเที่ยวเล่นจริง ก็ควรจะบอกกล่าวกันสักหน่อย ปล่อยให้ทุกคนในจวนเป็นห่วงอย่างนี้ได้อย่างไรกัน เมื่อได้ยินม่อเซียงเล่าเช่นนั้น นางเองก็แอบสงสัย แล้วความโมโหก็เริ่มทุเลาลง เอ่ยขึ้น “คนอื่นออกไปก่อน จิ่นจ้งอยู่รอก่อน ชูซย่าด้วย”
เมื่อเห็นทุกคนออกไปแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นมองน้องชายไม่ขยับ “ว่าอย่างไรล่ะ ผู้ใดมาหาเจ้ารึ”
อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นว่าไม่มีใครแล้ว จึงทำใจให้นิ่ง และบอกเล่าเรื่องราวที่ฮ่องเต้เรียกพบตนแบบลับๆ ตั้งแต่ต้นจนท้ายให้พี่สาวฟัง
บรรยากาศเงียบกริบทันทีที่เล่าจบ
อวิ๋นหว่านชิ่นคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะเรียกพบน้องชาย ยิ่งคิดไม่ถึงว่าน้องชายจะได้รับพระกรุณาให้ไปเรียนหนังสือที่หอหนังสือ
อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นพี่สาวเงียบไป ก็คิดว่าคงตกตะลึงกับความเอ็นดูของฮ่องเต้ที่มีต่อตน ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านพี่ ท่านแม่กับฝ่าบาทเป็นเพื่อนสนิทกันจริงๆ หรือขอรับ เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน”
อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งได้สติ พยักหน้าหงึกๆ “เป็นเรื่องที่นานมากแล้ว” คิดไปคิดมา ก็เอ่ยเตือน “จิ่นจ้ง สาเหตุที่ฮ่องเต้ให้เจ้าเข้าหอหนังสือ เจ้ารู้ก็พอ อย่าเที่ยวไปบอกแก่ผู้ใด ฝ่าบาททรงเป็นผู้ชาย ส่วนท่านแม่เป็นหญิงมีสามี ชายหญิงนั้นแตกต่างกัน หากคนนอกรู้เข้า จากที่บริสุทธิ์อาจกลายเป็นข่าวลือจนผู้คนซุบซิบนินทาท่านแม่เอาได้ เจ้าเองก็โตแล้ว ควรรู้อะไรควรมิควร”
“จิ่นจ้งเช้าใจขอรับ” อวิ๋นจิ่นจ้งรับปากทันทีเมื่อรู้ว่าเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของท่านแม่
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย อืม หนึ่งคำ ก็กล่าวอีก “ในเมื่อฝ่าบาททรงตรัสกับเจ้าล่วงหน้า พระราชโองการก็คงจะส่งมาถึงในอีกไม่ช้า เจ้าอย่าทำให้พระองค์ทรงผิดหวังเชียวล่ะ ตั้งใจเรียนเมื่ออยู่ที่หอหนังสือ นี่ก็สายมากแล้ว เจ้ายังไม่ได้ทานข้าว กลับเรือนของเจ้าไปเถอะ อย่าให้ปล่อยให้ท้องหิวเชียวล่ะ”
อวิ๋นจิ่นจ้งได้รับพระกรุณาให้เข้าหอหนังสือ เป็นเรื่องที่ชวนให้งงงวยไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก ในเมื่อท่านพี่มิได้พูดอะไรอีก แถมอารมณ์ยังดีขึ้นทันตา ก็เพราะการได้เข้าเรียนที่หอหนังสือหาใช่เรื่องที่ได้มาโดยง่ายไม่ เขาจึงพยักหน้าและเดินออกไป
ชูซย่าเห็นสีหน้าเหนียงเหนียงดีขึ้น เห็นคุณชายออกไปแล้ว ก็พูดเสียงต่ำ “หอหนังสือนั่น ได้ยินว่านอกจากองค์ชายแล้ว เพื่อนเรียนของเหล่าองค์ชายก็ล้วนแต่เป็นเชื้อพระวงศ์ และใช่ว่าเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์จะได้รับสิทธินี้ นอกจากเป็นผู้สืบทอดของวงศ์ตระกูลแล้ว ยังต้องมีการเรียนเป็นเลิศ ความสามารถโดดเด่น เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท ในราชวงศ์นี้ยังไม่เคยมีลูกหลานขุนนางท่านใดได้เข้าไป การที่คุณชายได้รับพระกรุณาในครั้งนี้นั้น นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณมากล้น ฝ่าบาททรงยกย่องมากไปนะเจ้าคะ”
ประโยคที่ว่า “ยกย่องมากไป” ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นยิ่งคิดหนัก
เมื่อครั้นฝ่าบาททรงแนะนำน้องชายให้สอบชิวเหวยก่อนใครกับเฉาจี้จิ่ว อวิ๋นหว่านชิ่นก็รู้สึกประหลาดใจ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ยิ่งทำให้นางว้าวุ่นใจ พลันนึกถึงเรื่องที่อวิ๋นหว่านถงกับอนุฟางคิดจะใช้วิธีแมวดาวสับเปลี่ยนองค์ชาย คำสั่งเดียวของฝ่าบาท ทำให้เรื่องนั้นเงียบสนิทไม่มีใครกล้าพูดอันใดอีก จวนอวิ๋นก็แทบจะไม่ถูกตำหนิใดๆ ในตอนนั้นนางรู้สึกเพียงว่าช่างโชคดีนัก ขอแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อน้องชายก็เพียงพอแล้ว
แล้วการที่ฝ่าบาททรงปกป้องตระกูลอวิ๋น จะทำไปเพียงเพราะกลัวมีผลกระทบต่อน้องชายจริงหรือ…
ชูซย่าเห็นนางกำลังครุ่นคิด ก็เอ่ยเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา “เหนียงเหนียงอย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ ฝ่าบาทคงยังมิลืมความรู้สึกที่มีต่อนายหญิง…มิเคยได้ครอบครอง เวลานี้ จะดีกับคุณชายสักหน่อย ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้เจ้าค่ะ”
ยิ่งพูดถึงเรื่องนี้ ก็ยิ่งตรงกับสิ่งที่นางคิดอยู่ในใจแต่พูดออกมาไม่ได้ ในเมื่อพูดออกมาไม่ได้ ก็ทำได้เพียงพยักหน้าตาม
หวังว่าจะเป็นดั่งเช่นนั้นจริง
ภายหลังสองวัน สำนักพระราชวังอ่านพระราชโองการ บุตรชายคนโตเจ้ากรม อวิ๋นจิ่นจ้งเป็นผู้มีปัญญามากล้น มีความโดดเด่นในหมู่ลูกหลานข้าราชบริพาร จึงเลือกให้เป็นเพื่อนเรียนในหอหนังสือ ประการที่หนึ่ง เพื่อให้กำลังใจแด่เชื้อพระวงศ์ ประการที่สอง เพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่ลูกหลานข้าราชบริพาร ขอประกาศให้เริ่มตั้งแต่บัดนี้ อนุญาตให้เข้าพระราชวังทุกวัน และเป็นเพื่อนเรียนของเหล่าองค์ชายต่อไป
วันนี้อวิ๋นจิ่นจ้งอยู่ที่จวนฉินอ๋อง พระราชโองการนั้นเหยาฝูโซ่งเป็นผู้ร่างตามพระราชดำรัสของหนิงซีฮ่องเต้ และนำส่งถึงจวนอ๋องด้วยตนเอง
อวิ๋นหว่านชิ่นรับพระราชโองการแทนน้องชาย หลังยืนขึ้น ก็สั่งให้บ่าวรับใช้รินน้ำชายกเก้าอี้มาให้เหยากงกง
อวิ๋นหว่านชิ่นเริ่มเอ่ย หลังออกคำสั่งให้บ่าวรับใช้ทุกคนออกไป “ฝ่าบาททรงพระกรุณาต่อตระกูลอวิ๋นอย่างหาที่สุดมิได้ ข้านั้นรู้สึกว่ามากเกินไป”
คล้ายว่าซึ้งในน้ำพระทัย แต่แท้จริงก็ปนไปด้วยการหยั่งเชิง
เหยาฝูโซ่วยิ้มพลางเอ่ย “ก่อนอื่น ฝ่าบาททรงกระทำด้วยความรู้สึกส่วนตัว มิอยากให้ลูกหลานของเพื่อนเก่าต้องลำบาก รองลงมา ก็เพราะท่านทั้งสองมีความสามารถจริงๆ ฝ่าบาทถึงยกย่อง หากเป็นใครที่ไม่มีแม้ความสามารถอะไรเลย อยากช่วยแค่ไหนก็คงยาก”
เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่กล้าถามต่อ เมื่อจิบน้ำชาเสร็จ ก็ส่งเหยาฝูโซ่วขึ้นเกี้ยว
เวลาผ่านไปแล้วสามวันอย่างรวดเร็ว
น้องชายแท้ๆ ของเจ้านายได้เข้าหอหนังสือ ก็นับว่าเป็นเรื่องมงคล
หลายวันมานี้บ่าวรับใช้ทุกระดับชั้นต่างช่วยกันตัดเย็บ จัดเตรียมเสื้อผ้าข้าวของที่ใช้สำหรับเข้าวังหลวงของอวิ๋นจิ่นจ้งอย่างวุ่นวาย ทั้งเกี้ยวนั่งเข้าออก เสื้อผ้าเข้าเรียน ของใช้ต่างๆ ยังต้องคัดเลือกและชี้แจงมารยาทบางอย่างแก่บ่าวผู้ติดตามที่จะเข้าวังด้วยทุกวัน