รวยชั่วข้ามคืน?! – ตอนที่ 543 เลื่อนตำแหน่ง

บทที่ 543 เลื่อนตำแหน่ง
เมื่อจั่วเฉินบิงคิดแบบนี้ ฉับพลันก็รู้สึกลำพองใจขึ้นมา
ตนคือผู้มีอำนาจของพันธมิตรศิลปะการต่อสู้ มีความอาวุโสมากพอสมควร ถึงแม้เจ้านายจะเอ่ยถามด้วยตัวเองเขาก็ยังมีโอกาสรอดชีวิต
ขณะนั้นเองเย่ฉางเฟิงก็เอ่ยถึงเรื่องที่สาม
“เรื่องที่สาม เป็นการเปลี่ยนแปลงบุคลากรของพันธมิตรศิลปะการต่อสู้เย็นจีน”
“ฉินหลั่งมีคุณงามความดีต่อพันธมิตรศิลปะการต่อสู้เย็นจีน และยังจัดการจั่วหู่อย่างไม่เกรงกลัว ที่สำคัญคือการต่อสู้ในวันนี้สร้างชื่อเสียงให้กับพันธมิตรศิลปะการต่อสู้”
“ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ฉินหลั่งจะไม่ได้อยู่ตำแหน่งประธานของพันธมิตรศิลปะการต่อสู้เย็นจีนแล้ว เปลี่ยนให้ฉางจื่อชงรับตำแหน่งประธานแทน และมีซ่งเสี้ยวหยู่ โจวกางหยุงเป็นรองประธาน”
“ส่วนฉินหลั่งเปลี่ยนเป็นผู้พิทักษ์อันดับหนึ่งของพันธมิตรศิลปะการต่อสู้ ควบคุมแผนกบังคับใช้กฎหมาย คอยดูแลความเรียบร้อยของทั้งสามสิบหกมณฑล สอดส่องดูแลประธานของทั้งสามสิบหกสาขาย่อย”
“นายไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งของใครไม่ว่าจะเป็นประธานสาขาย่อย ผู้ดูแลหรือแม้แต่ผู้อาวุโสคนไหน”
“นายรับผิดชอบฉันคนเดียวก็พอ”
“นี่คือสัญลักษณ์แทนสิทธิ์ผู้พิทักษ์อันดับหนึ่งของพันธมิตรศิลปะการต่อสู้ ซึ่งได้รับการยอมรับจากห้าตระกูลใหญ่และสามผู้ก่อตั้งแล้ว”
“ฉันมอบให้นายเพื่อที่จะใช้อำนาจได้อย่างสะดวก นั่นก็หมายความว่าไม่จำเป็นต้องมาขอคำแนะนำจากฉันทุกเรื่อง”
เย่ฉางเฟิงมอบสัญลักษณ์แทนสิทธิ์สีเกือบใสอันหนึ่งให้กับฉินหลั่ง
“หากใครไม่ปฏิบัติตามกฎ นายจัดการได้เลย”
……
การแข่งขันที่กำแพงเมืองจีนสิ้นสุดลง บน๓เขาท่วมไปด้วยเลือดและเป็นที่ฝังศพของจำนวนไม่น้อย ทว่าโลกภายนอกกลับไม่มีคลื่นความเคลื่อนไหวใดๆ
เมื่อเทียบกับความชุลมุนตอนที่เสี่ยวฉวนประกาศท้าดวลการต่อสู้แล้ว ความเงียบสงบหลังการต่อสู้นั้นเกินกว่าที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้
ราวกับว่าฉินหลั่งและเสี่ยวฉวนไม่เคยมีการลงมือมาก่อน
สองวันต่อมา ณ เมืองเทียนก่างบริเวณชั้นสามของเรือสำราญ เย่ฉางเฟิงนั่งกับพื้น เสื้อสีเขียวที่สวมอยู่พลิ้วสไสว ในมือประคองพิณโบราณไว้
เย่ฉางเฟิงไม่เพียงแต่ฝีมือการต่อสู้ดีเท่านั้น การประพันธ์ทางด้านดนตรีก็ถือว่าอยู่ในระดับปรมาจารย์
เมื่อหนึ่งบทเพลงจบลง มือของเย่ฉางเฟิงก็ละออกจากพิณ จากนั้นจึงหันไปมองฉินหลั่ง “การต่อสู้ที่กำแพงเมืองจีนจบลงแล้ว เดิมทีสามารถเรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แต่ชื่อเสียงนายกลับไม่โด่งดัง รู้ไหมเป็นเพราะอะไร?”
ขณะที่เอ่ยปากพูดเขาก็หยิบกาน้ำชาและใบชามาแล้วทำการชงชาอย่างไม่รีบร้อน
ฉินหลั่งเดินยิ้มเข้าไปหา “ไม่รู้ ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่สนใจมากกว่า”
“ข้อหนึ่ง เสี่ยวฉวนตายแล้ว นี่คือความอัปยศของประเทศญี่ปุ่น”
เย่ฉางเฟิงอุ่นถ้วยชาด้วยความชำนาญ “ปรมาจารย์แดนฟ้าที่มีชื่อเสียงยาวนานมากว่าสิบปีถูกนายฆ่า หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปวงการศิปะการต่อสู้ของญี่ปุ่นต้องอับอายกันถ้วนหน้า”
“ดังนั้นประเทศญี่ปุ่นจึงทำทุกวิถีทางเพื่อเหยียบเรื่องนี้ไว้ แล้วประกาศกับคนภายนอกว่าก่อนวันต่อสู้จู่ๆเสี่ยวฉวนก็มีอาการบ้าคลั่งและเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต”
“ข้อสอง ฉันไล่เสิ่นชิงซานออกไปแล้วแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนไร้ความชอบธรรมแบบนี้อีก เพื่อคำนึงถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย ทางสมาคมศิลปะการต่อสู้จึงปิดกั้นข้อมูลการต่อสู้ในครั้งนี้”
“เสิ่นชิงซานเกลียดแค้นนายอย่างถึงที่สุดจึงไม่หวังให้นายมีชื่อเสียงโด่งดัง”
“ถึงแม้คนๆนี้จะน่ารังเกียจแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาถนัดเรื่องการประชาสัมพันธ์ โดยอาศัยข่าวฉาวของคนดังในการดึงดูดความสนใจของทุกคน”
“ข้อสาม และถือเป็นข้อที่สำคัญที่สุด ฉันไม่อยากให้นายออกหน้าเอง”
เขาหันไปหัวเราะกับฉินหลั่งน้อยๆ “รู้ไหมว่าจุดประสงค์ของฉันคืออะไร?”
“คนที่ความสามารถโดดเด่นมักจะถูกอิจฉาได้ง่าย”
“วงการศิลปะการต่อสู้ในฤดูกาลนี้เรียกได้ว่ามีเยาวชนที่มีพรสวรรค์มากมาย แต่หากพูดถึงคนที่สามารถสั่นสะเทือนฟ้าดินได้จริงๆเกรงว่าจะมีแค่นายและปรมาจารย์ฉินที่เทียบเคียงได้”
“แล้วก็บังเอิญเสียจริง เขาก็สกุลฉินเหมือนกัน แล้วก็ยังหนุ่มอยู่เหมือนกันแต่ว่าปรมาจารย์ฉินค่อนข้างถ่อมตน หลังจากเอาชนะจ้านอู๋หยาได้ก็ไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็น นายควรจะเอาเขาเป็นแบบอย่างในการฝึกฝน”
ไม่พูดถึงว่าวิดีโอที่มีความเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างฉินหลั่งและจ้านอู๋หยามีการเผยแพร่น้อยมาก ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะวิดีโอที่มีความเกี่ยวข้องส่วนใหญ่ล้วนหายไปอย่างปริศนา อีกทั้งหน้าตาของฉินหลั่งในวิดีโอก็ไม่ชัดเจนอยู่แล้ว ถึงหลายคนจะคุ้นหน้าแต่ก็ไม่กล้าคิดว่าฉินหลั่งคือปรมาจารย์ฉินแล้ว
แม้แต่เย่ฉางเฟิงก็ยังไม่เชื่อว่าฉินหลั่งคือปรมาจารน์ฉิน
มีเพียงเมิ่งลี่ลี่และอึ้งย้งเท่านั้นที่อาศัยสัมผัสที่หกของผู้หญิงแล้วมั่นใจว่าฉินหลั่งคือปรมาจารย์ฉิน
ส่วนคนอื่นที่จำฉินหลั่งได้ก็คิดว่าวิดีโอนั้นเป็นการถ่ายทำภาพยนตร์แบบพรีเมี่ยม
ความจริงแล้วน้อยครั้งมากที่ฉินหลั่งจะใช้เทคนิคพิเศษแบบนี้ นอกเสียจากว่าจะเจอคู่ต่อสู้ที่สูสีกันจริงๆ ไม่อย่างนั้นต้องสั่นสะเทือนไปทั่วแผ่นดินแน่นอน
ฉินหลั่งเงยหน้าขึ้นตอบ “ผมอายุยังน้อย หลังจากผ่านสงครามการต่อสู้เหล่านั้น ได้รับชื่อเสียงมามากเท่าไหร่ก็มีอันตรายมากเท่านั้น”
“ใช่!”
เย่ฉางเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย “นายเข้าสู้แดนฟ้าในช่วงอายุเท่านี้ ไม่อาจพูดว่าภายหลังจะไม่มีแบบนี้อีก แต่อดีตที่ผ่านมาไม่มีมาก่อน”
ฉินหลั่งเอ่ยปฏิเสธในใจ “ไม่ใช่หรอก อาจารย์ยายแขงแกร่งกว่าผมร้อยเท่าพันเท่า”
“หากการแข่งขันในครั้งนี้เผยแพร่ออกไป ไม่เพียงแต่จะมีคนญี่ปุ่นจำนวนนับถ้วนที่จะตามฆ่านาย วงการศิลปะการต่อสู้ของประเทศอื่นก็คงจะอยากให้นายตายเหมือนกัน”
“ได้เป็นปรมาจารย์ขั้นแดนฟ้าตั้งแต่อายุยี่สิบกว่า ในอนาคตก็มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นปรมาจารย์ขั้นแดนฟ้า”
“แดนฟ้าก็ถือเป็นปีศาจของวงการศิลปะการต่อสู้ ส่วนปีศาจอย่างขั้นแดนฟ้า พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ปรากฏตัวง่ายๆ ทุกครั้งจะต้องร่วมมือกันทำทุกวิถีทางยับยั้ง”
“แต่ตอนนี้พื้นฐานของนายยังไม่มั่นคง ชี่แท้ยังไม่เพียงพอ ไม่สามารถรับความผิดพลาดได้มาก”
“ดังนั้นเก็บความประทับใจนี้ไว้ก่อน รอฝีมือในขั้นแดนฟ้าของนายมั่นคงก่อนค่อยเฉิดฉายก็ยังไม่สาย”
“ถึงตอนนั้นเกรงว่าฉันจะได้เป็นลูกศิษย์ของนายและยังต้องทำความเคารพนายน่ะสิ”
“นายก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าพวกซานปุ่นจะมาแก้แค้น เสี่ยวฉวนอู่เจิ้งเพิ่งตายไป พวกมันคงไม่กล้ามาสร้างความวุ่นวายที่ประเทศจีนเร็วๆนี้”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ฉันกำหนดวันท้าดวลในอีกหกเดือนหลังจากนี้ นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกมันยุ่งวุ่นวายกันไปอีกครึ่งปี”
“สิบตระกูลใหญ่ล้วนเป็นทายาทในอนาคต ทั้งหมดล้วนเป็นเหมือนทรัพย์สมบัติของชาติ หากขาดอันใดอันหนึ่งไปจะก่อให้เกิดความไม่สงบ”
เขาวางชาถ้วยหนึ่งลงตรงหน้าของฉินหลั่ง “นายมีเวลามากพอที่จะทบทวนตัวเอง”
ฉินหลั่งพยักหน้าเบาๆ “เข้าใจแล้ว”
“ทุ่มเทขนาดนี้ รอดชีวิตเอาชนะมาได้ขนาดนี้ ทว่ากลับต้องยอมละทิ้งชื่อเสียงนี้ไป……” เย่ฉางเฟิงบีบถ้วยชา “ไม่คับข้องใจหรือ?”
“ไม่มีอะไรน่าคับข้องใจ”
ฉินหลั่งเองก็ยกชาขึ้นมาดื่ม “ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับชื่อเสียงมากมาย”
“ผมหวังว่าจะได้เป็นหมอจีนธรรมดาคนหนึ่ง ได้แต่งภรรยาสักคน ใช้ชีวิตแบบติดดินอย่างคนทั่วไป”
“การตีรันฟันแทงไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ”
“ดังนั้นการต่อสู้ที่ผ่านมาสนามไหนยิ่งราบเรียบผมยิ่งดีใจ ทุกคนที่เข้าร่วมไม่มีความทรงจำในหัวจะดีที่สุด”
ฉินหลั่งเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา หากไม่ใช่เพราะเย่ฉางเฟิงจัดการจั่วเฉินบิงและยกให้เขาเป็นผู้พิทักษ์อันดับหนึ่งก่อน หลังจากจบการต่อสู้ฉินหลั่งก็เตรียมตัวที่จะลาออกจากตำแหน่งประธานอยู่แล้ว
เขามีตำแหน่งมากมายขนาดนี้ ทว่าความจริงแล้วเขาไม่สนใจเลยสักนิด
มันเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้นแหละ
ขณะนั้นเองเย่ฉางเฟิงก็ถอนหายใจ “สมมติว่าพันธมิตรศิลปะการต่อสู้ของฉันจับนายและปรมาจารย์ฉินให้อยู่ภายใต้สำนัก เช่นนั้นอีกไม่กี่ปียุทธจักรก็จะเป็นของเรา เห้อ พวกนายสกุลฉินเหมือนกัน ในวรรณกรรมมีสองหวัง วงการศิลปะการต่อสู้ในปัจจุบันมีสองฉิน ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่”
“เพียงแต่ว่าปรมาจารย์ฉินคนนั้นหาตัวจับยาก ฉันไม่มีวาสนาได้เจอ คำบอกเล่าในยุทธจักรนี้ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”
ฉินหลั่งยิ้มบางๆ เห็นได้ว่าประมุขเย่คนนี้อาลัยอาวรณ์ปรมาจารย์ฉินคนนี้เหลือเกิน เพียงแต่ว่าทำไมเขาถึงจำตนไม่ได้
บางทีอาจเป็นเพราะว่าการฝึกฝนวิชาทำให้ลักษณะของเขาเปลี่ยนไปไม่น้อย เหมือนที่จงยู่บอกว่าเขาหล่อเหลาขึ้นกว่าเดิม
ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้นั่นก็คือฝ่ายที่เกี่ยวข้องจัดเก็บประสบการณ์การต่อสู้ทุกอย่างที่มีความสำคัญของเขาไว้เป็นความลับ
แบบนี้ก็ดีกับตัวฉินหลั่งเพราะเขาจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องชื่อเสียงแล้ว

รวยชั่วข้ามคืน?!

รวยชั่วข้ามคืน?!

ในระยะเวลา7ปีนี้ ฉินหลั่งถูกคนอื่นเยาะเย้ยและดูถูกเหยียดหยาม แต่ฉินหลั่งก็อดทนใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบๆมาโดยตลอดถ้าหากไม่ใช่ได้รับข้อความนั้น ฉินหลั่งคงจะลืมว่าตัวเองเป็นคนรวย7ปีมันเป็นระยะเวลาทดสอบที่ตระกูลให้กับฉินหลั่ง ตอนนี้ฉินหลั่งผ่านการทดสอบแล้ว ก็มีสิทธิ์ไปใช้ทรัพย์สินของตระกูลได้แล้วฉินหลั่งจะเลือกที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนต่อไปหรือจะเริ่มเปิดโหมดอวดรวยกันแน่!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset