ทุกครั้งที่เสี่ยวต้านเขออยากได้อะไร ซูโยวหรานจะพยายามสอนให้เธอข่มใจไม่ซื้อของตามใจตัวเอง หากแต่ผู้อาวุโสหนานกงมักตามใจเธอเต็มที่และซื้อของให้
เสี่ยวต้านเขออยากเล่นกับฝาแฝดโม่โดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด หากแต่ซูโยวหรานกลับห้ามไว้ ทว่าผู้อาวุโสหนานกงก็ยังช่วยเธอหาทางได้เล่นกับพวกเขา
สิ่งต่างๆ เริ่มค่อยๆ เปลี่ยนไป ดูผิวเผินเสี่ยวต้านเขออาจยังดูใกล้ชิดสนิทสนมกับแม่ตัวเอง แต่ในความเป็นจริงเธอปิดบังความลับทั้งหมดของตัวเองกับซูโยวหราน และเล่าให้ผู้อาวุโสหนานกงฟังเท่านั้น อย่างไรเสียคุณทวดของเธอก็เป็นคนที่เอ็นดูและให้ทุกอย่างที่เธอต้องการ
หนานกงเฉวียนค่อยๆ สังเกตความเปลี่ยนแปลงของเสี่ยวต้านเขอ เขาจึงพยายามพูดกับลูกสาว แต่เธอกลับเลี่ยงคำถามของเขา
“พ่อนี่น่ารำคาญจังเลย!”
เมื่อก่อนพ่อลูกมีแค่กันและกัน เสี่ยวต้านเขอถึงเอาใจใส่พ่อตัวเองมาก ทว่าตอนนี้มีอีกหลายคนที่เอ็นดูเธอ ในฐานะเด็กผู้หญิงเป็นธรรมดาที่เธอจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดก็คือตอนนี้เธอสนิทสนมกับผู้อาวุโสหนานกงที่สุด
ซูโยวหรานเป็นเพียงแม่ที่เธอเลือกมาด้วยตัวเอง
หากแต่ซูโยวหรานเริ่มรู้สึกเครียดขึ้นมาเล็กน้อย เธอดูออกว่าเสี่ยวต้านเขอค่อยๆ สร้างกำแพงระหว่างพวกเธอ แต่เธอไม่รู้ว่าจะพูดกับเสี่ยวต้านเขออย่างไร
หรือเสี่ยวต้านเขอจะไม่พอใจเพราะเธอขอให้เจ้าตัวไม่เล่นกับแฝดโม่กัน
ซูโยวหรานบอกหนานกงเฉวียนถึงความกังวลของเธอ “ฉันรู้สึกว่าลูกสาวเราค่อยๆ ตีห่างจากเราน่ะค่ะ คุณรู้สึกบ้างไหมคะ”
เมื่อหนานกงเฉวียนได้ยินคำถามนี้ “ผมพยายามพูดกับเสี่ยวต้านเขอเรื่องนี้แล้วครับแต่เธอไม่ยอมพูดกับผม”
“เรื่องมันเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ในเวลาสั้นๆ ได้ยังไงกันล่ะเนี่ย”
ซูโยวหรานรู้สึกว่าเป็นความผิดของเธอ หากเธอไม่พูดอย่างที่เธอบอกกับเสี่ยวต้านเขอ พวกเขาคงไม่ออกหากกันขนาดนี้
“อย่าคิดมากเลยนะครับ เดี๋ยวผมจะพูดกับเสี่ยวต้านเขออีกครั้งคืนนี้”
เสี่ยวต้านเขอยังชื่นชอบในตัวฝาแฝดต่อไป แต่เมื่อเธอกลับมาถึงบ้าน เธอกลับไม่ยอมพูดกับพ่อแม่ของเธอแม้แต่น้อย
“พ่อคะ หนูยังมีการบ้านต้องทำอีกเยอะนะคะ”
“ยืนตรงนี้ ใครบอกให้ลูกไปได้กันครับ” หนานกงเฉวียนว่าขึ้นเสียแข็ง “หนานกงไฉ่ ไม่รู้บ้างเลยเหรอว่าพักนี้ลูกเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ลูกไม่สนิทกับพ่อแม่อีกแล้ว ตอนนี้เราเป็นศัตรูของลูกแล้วเหรอครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวต้านเขอหันไมองพ่อตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ “นั่นเพราะว่าพ่อไม่ใช่พ่อคนเดิมอีกแล้วไงคะ!”
“ลูกยังเด็ก ลูกคงไม่เข้าใจหรอก”
“พ่อคิดว่าหนูไม่เข้าใจ แต่หนูเข้าใจทุกอย่างค่ะ!” เสี่ยวต้านเขอตะโกนใส่ก่อนผลักประตูห้องและดเดินปึงปังออกไป
ซูโยวหรานยืนอยู่ด้านนอกพอดี เมื่อเห็นเสี่ยวต้านเขอเธอจึงรั้งไว้ตามสัญชาติญาณ ทว่าเสี่ยวต้านเขอ
กลับกัดแขนของเธอ “ทั้งหมดเป็นความผิดของแม่! แม่เป็นคนทำให้พ่อไม่ชอบหนูอีกแล้ว”
ซูโยวหรานทั้งงุนงงระคนหวั่นใจเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าเหตุใดอยู่ๆ เสี่ยวต้านเขอถึงได้พูดกับเธออย่างนี้
ตอนนี้เองที่หนานกงเฉวียนรีบออกมาบอกซูโยวหราน “ปล่อยเธอไปเถอะครับ”
“แต่ว่า…”
“โยวหราน เสี่ยวต้านเขอของผมไม่ใช่คนอย่างนี้ ตอนนี้มีหลายคนเอ็นดูเธอ ไม่ใช่เสี่ยวต้านเขอที่ผมผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยอีกแล้ว”
หลังได้ยินดังนั้น เสี่ยวต้านเขอสะบัดตัวออกจากแขนซูโยวหราน ก่อนกลับไปที่ห้องตัวเองโดยไม่หันหลังมามอง
เป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้อาวุโสหนานกงขึ้นบันไดมาและเห็นภาพนั้น “ถ้าแกมีเวลาก็แสดงความรักกับลูกของแกให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เอาแต่โทษเธอ”
“ถ้าปู่ไม่แอบวางแผนไว้ ผมมั่นใจว่าเสี่ยวต้านเขอของผมคงไม่เปลี่ยนไปขนาดนี้หรอกครับ” หนานกงเฉวียนเอ่ย “ปู่ครับ เสี่ยวต้านเขอเป็นลูกสาวของผม เป็นเหลนของปู่ ปู่เปลี่ยนลูกผมเป็นหมากชิ้นหนึ่งเพื่อใช้เป็นเครื่องมือแก้แค้นไม่ได้นะครับ”
“นี่คือสิ่งที่แกติดค้างฉันไว้ไง!” ผู้อาวุโสหนานกงสวนกลับและหันหลังเดินลงบันไดไป อย่างไรก็ตามหนานกงเฉวียนรั้งเขาไว้
“ปู่จะเอาอะไรไปก็ได้ แต่ปู่จะเอาเสี่ยวต้านเขอไปไม้ได้เด็ดขาด!”
“ตอนนี้แกจนปัญญากับลูกของแกแล้วไม่ใช่เหรอ” ผู้อาวุโสหนานกงว่าเย้ยพลางปัดมือของหนานกงเฉวียนออก “พอแกมีเวลาก็ตั้งใจมีลูกกับเมียแกอีกสักคนสิ ต่อไปฉันจะดูแลเสี่ยวต้านเขอให้เอง”
หนานกงเฉวียนคว้าคอเสื้อผู้อาวุโสหนานกง แต่ซูโยวหรานห้ามเขาไว้ “เฉวียนคะ คุณทำอย่างนั้นไม่ได้นะคะ…”
ชายแก่ยิ้มเยาะก่อนเดินออกไป หนานกงเฉวียนไม่อาจทำสิ่งใดได้ “เป็นความผิดของผมเองที่ปล่อยให้หมาป่าเข้ามาในบ้านนี้
“ถ้าผมรู้ว่าวันนี้จะมาถึง ผมคงไม่มีทางปล่อยให้เขากลับเข้าตระกูล! …
“ไม่ต้องกังวลนะครับ เราจะหาทางอื่นกันครับ”
เสี่ยวต้านเขอไม่หลงเหลือความเชื่อใจพ่อแม่ตัวเองอีกแล้ว แต่พวกเขากลับไม่อาจทำสิ่งใดได้ มันไม่ใช่ว่าพวกเขาจะกักขังเธอไว้ได้เสียหน่อย…
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เสี่ยวต้านเขอยังเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเพราะทวดของเธอ เธอยอมให้ทวดไปรับส่งเธอที่โรงเรียนเท่านั้นและร้องโวยวายทุกครั้งที่ซูโยวหรานเสนอตัว
เมื่อเห็นเรื่องนี้เป็นประจำอัจฉริยะตัวน้อย โม่จื่อเฉิน เริ่มนึกสงสัย ผู้อาวุโสหนานกงมาที่โรงเรียนบ่อยขึ้นเรื่อยๆ และทุกครั้งที่เขามาก็จะจ้องมาที่เขากับพี่ชายอยู่บ่อยครั้ง
โม่จื่อเฉินเป็นคนระวังตัวเป็นปกติ เขาจึงบอกให้ถังหนิงรู้เมื่อกลับถึงบ้าน
ครั้งนี้เป็นถังหนิงที่ห้ามลูกตัวเองไม่ให้เข้าใกล้เสี่ยวต้านเขอ
อย่างไรเสียผู้อาวุโสหนานกงก็เป็นระเบิดเวลา
โม่จื่อซีซุกซนและไม่สนใจอะไรอย่างเด็กทั่วไปผิดกับโม่จื่อเฉิน
ถังหนิงจึงสั่งโม่จื่อเฉินเป็นการเฉพาะ “จื่อเฉิน แม่ไม่ได้ไม่ชอบเสี่ยวต้านเขอนะคะ แต่แม่จะปล่อยให้เรื่องที่อาจทำให้ลูกไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นไม่ได้ ฉะนั้นคอยดูพี่ชายของลูกไว้และอย่าปล่อยให้เขาเข้าใกล้เสี่ยวต้านเขอนะคะ โอเคไหม”
โม่จื่อเฉินพยักหน้า
ดูเหมือนเขาจะเข้าใจทุกอย่าง
“ดีคะลูก”
เพราะเรื่องที่คุยกับแม่ตัวเองไว้ วันต่อมาโม่จื่อเฉินจงใจตื่นให้เช้าขึ้นกว่าปกติเพื่อให้มาถึงโรงเรียนคนละเวลากับเสี่ยวต้านเขอ ระหว่างช่วงพักเที่ยง เขาเล่นกับเด็กคนอื่นๆ และลากพี่ชายไปด้วยเพื่อให้ไปหาเสี่ยวต้านเขอไม่ได้ สุดท้ายหลังเลิกเรียน เขาตัดสินใจอยู่ต่ออีกครึ่งชั่วโมงเพื่อเรียนวาดรูปกับครู เขาทำทั้งหมดนี้เพื่อหลบหน้าเสี่ยวต้านเขอ
ด้วยเหตุนี้เสี่ยวต้านเขอจึงได้เจอสองพี่น้องน้อยลงเรื่อยๆ
เธอไปหาสองพี่น้องที่ห้องเรียนพร้อมลูกอมในท้ายที่สุด ทว่าโม่จื่อเฉินดึงพี่ชายออกไปก่อนเอ่ยกับเสี่ยวต้านเขอ “ต่อไปนี้เลิกมาหาพี่ชายฉันสักที เธอมันน่ารำคาญ!”
เสี่ยวต้านเขอยิ้มค้างขณะที่กลั้นน้ำตาไว้
“แล้วเค้กที่เธอให้เรามาตลอดก็ไม่อร่อยเลยด้วย!
“ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอ ช่วยอยู่ห่างๆ เราทีเถอะ”
มีเด็กไม่กี่คนที่แสดงท่าทีออกมาได้ชัดเจนอย่างโม่จื่อเฉิน มันเป็นสิ่งที่เกินคาดสำหรับอายุของเขา
แต่เขาก็ได้พูดในสิ่งที่ต้องการได้อย่างเฉยชาและแข็งกร้าวเสียเหลือเกิน
เสี่ยวต้านเขอจึงปล่อยโฮออกมาก่อนเดินจากไป…