เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่แย่ที่สุด ในที่สุดสองพี่น้องโม่ได้ย้ายโรงเรียน
ทว่าถึงเด็กๆ จะออกจากโรงเรียนแล้วก็ยังไม่มีเพื่อนร่วมชั้นคนไหนรู้ว่าพ่อแม่ของพวกเขาเป็นใครด้วยซ้ำ
เด็กทั้งสองได้ย้ายมาที่โรงเรียนหรูชื่อดังละแวกเดียวกับไฮแอทรีเจนซี โรงเรียนเช่นนี้ คุณครูไม่สนใจว่าผู้ปกครองของนักเรียนจะเป็นใคร เด็กคนใดก็ตามที่เข้าเรียนที่นี่จะได้รับการศึกษาและการดูแลที่ดีที่สุดทันที
ในวันแรกที่โรงเรียนใหม่ โม่จื่อซีรู้สึกเซื่องซึมไม่น้อย แต่หลังจากที่คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมใหม่ เขาก็กลับมาน่ารักและขี้เล่นเหมือนอย่างเคย
ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครในโรงเรียนนี้ที่สนใจรอยแผลเป็นบนหน้าของโม่จื่อเฉินและพยายามมาหาเรื่อง เด็กๆ ทุกคนต่างสุภาพและว่านอนสอนง่าย ทำให้โม่จื่อซีรู้สึกถึงข้อดีของโรงเรียนหรูชื่อดังนี้ อย่างน้อยเขาก็เข้ากับเพื่อนในชั้นได้อย่างสบายใจ
แน่นอนว่าการลาออกจากโรงเรียนเดิมของพวกเขาทำให้เสี่ยวต้านเขอเศร้าสร้อยทีเดียว ทันทีที่เธอรู้เรื่อง เธอกระโจนเข้าหาอ้อมแขนของซูโยวหรานก่อนปล่อยโฮออกมา
“แม่ขา…”
ซูโยวหรานโน้มลงมากอดเสี่ยวต้านเขอไว้พลางกล่าวปลอบ “อย่าเศร้าไปเลยนะ เสี่ยวต้านเขอ ต่อไปหนูจะมีเพื่อนใหม่อีกเยอะเลยค่ะ”
“ฮึก…เสี่ยวต้านเขอจะไม่หาเพื่อนอีกแล้ว ฮึก…”
เสี่ยวต้านเขอใจสลาย แต่มันไม่ได้เปลี่ยนความจริงเรื่องที่ตระกูลโม่กับตระกูลหนานกงเป็นศัตรูกันไปได้
พวกเขาตัดขาดกันโดยเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้ต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้ภายหลัง
เสี่ยวต้านเขอบอกไม่ได้ว่าเธอชอบโม่จื่อซีหรือโม่จื่อเฉินมากกว่า เธอรู้เพียงมันคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นเด็กชายคนโปรดของเธอในวัยเด็ก
…
หลังจากลูกชายทั้งสองปลอดภัย ถังหนิงกลับมาตั้งใจกับมดราชินีสองไม่ว่าเธอจะดูแลการผลิตในช่วงไหน ถังหนิงก็คาดหวังไว้สูง เธอทุ่มเทไม่น้อยหน้าไปกว่าภาพยนตร์เรื่องแรก
ในขณะเดียวกันหลังจากผู้อาวุโสหนานกงกับหนานกงเฉวียนทะเลาะกันครั้งใหญ่ พวกเขาไม่พูดคุยหรือพบกันเป็นการส่วนตัว ติดต่อกันเพียงแค่เฉพาะเรื่องธุรกิจเท่านั้น
ในส่วนผลงานชิ้นสำคัญของชุนชิว หนานกงเฉวียนเป็นผู้ดูแลช่วงการถ่ายทำ แต่การตัดสินใจทั้งการทำการตลาดและการออกฉายนั้นถูกผู้อาวุโสหนานกงแย่งหน้าที่ไป
ประการแรกผู้อาวุโสหนานกงรู้สึกว่าหนานกงเฉวียนซื่อตรงเกินไป และจะทำให้เสียเปรียบเมื่อเจรจากับทางโรงภาพยนตร์ ประการที่สองคือเขาต้องการหาทางพบกับบริษัทภาพยนตร์สัญชาติอเมริกันโดยไม่มีใครสงสัย
ต้องขอบคุณบทที่ผู้อาวุโสหนานกงให้มา สุดท้ายบริษัทภาพยนตร์สัญชาติอเมริกันจึงได้ลงทุนสร้างภาพยนตร์เรื่องใหม่อย่าง วิกฤตการณ์หมาพันธุ์เดือด ขึ้นมาจริงๆ พร้อมกับเนื้อเรื่องส่วนหนึ่งที่ได้มาจากการปะติดปะต่อข้อมูลที่ผู้อาวุโสหนานกงขโมยมาจากมดราชินีสอง
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังจับตาดูความคืบหน้าของมดราชินีสองเพื่อจะได้นำหน้าอีกฝ่ายได้
ผู้อาวุโสหนานกงเฝ้ารอสิ่งที่กำลังจะมาถึง ฉากที่ถังหนิงปะทะกับภาพยนตร์ฮอลลีวูดนั้นจะน่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหนกัน
ทว่าเรื่องที่สำคัญกว่านั้นคือเรื่องที่ปรสิตจะออกฉายก่อนมดราชินีสองแผนของหนานกงเฉวียนคือการไม่แข่งกับมดราชินีสองโดยการใช้ปรสิต เขาตั้งใจใช้มันเพื่อสร้างชื่อให้ตัวเอง ผู้อาวุโสหนานกงจึงไม่พอใจกับสิ่งที่เขาทำ
ผู้อาวุโสหนานกงกลับยืนกรานว่าปรสิตต้องออกฉายหลังมดราชินีสอง
ทำให้ผู้บริหารระดับสูงไม่พอใจอย่างหนัก
“ทำไมเราต้องเลื่อนออกไปล่ะครับ ปู่ต้องให้เหตุผลกับเรามาสิครับ” หนานกงเฉวียนถามปู่ตัวเองระหว่างการประชุม “จากความสามารถของเราตอนนี้ เราไม่ได้ถึงขั้นที่จะสู้กับไห่รุ่ยได้ เรายังไม่ได้เป็นมืออาชีพหรือมีอิทธิพลเท่ากับพวกเขา อีกอย่างคนจะมาดูหนังของเราหลังจากพวกเขายอมรับหนังของถังหนิงแล้วเหรอ…
…เรามีข้อได้เปรียบอะไรล่ะครับ”
“มีบางอย่างฉันยังบอกแกไม่ได้ตอนนี้ ฉันบอกได้แค่ต้องทำอย่างที่ฉันบอก ถ้าปรสิตไม่ได้ใจกลุ่มเป้าหมาย ฉันจะรับผิดชอบทั้งหมดเอง!”
หนานกงเฉวียนอดกลั้นความโกรธขณะลุกขึ้นจากโต๊ะ
อย่างที่คาดคิดไว้ ชายแก่วางแผนแก้แค้นในบริษัท
เมื่อผู้ช่วยของหนานกงเฉวียนเข้ามาถามทันทีเมื่อเห็นท่าทีเคร่งเครียดของเขา “ท่านประธานครับ อยากจะคุยกับผู้ถือหุ้นไหมครับ”
หนานกงเฉวียนโบกมือก่อนปฏิเสธ “ไม่จำเป็นหรอก…”
“แล้วคุณจะปล่อยให้ผู้อาวุโสหนานกงก่อเรื่องอย่างนี้เหรอครับ”
หนานกงเฉวียนไม่พอใจที่ผู้อาวุโสหนานกงไม่สามารถแยกแยะความขัดแย้งส่วนตัวจากเรื่องธุรกิจได้ แต่เขาเป็นห่วงเรื่องที่ผู้อาวุโสหนานกงบอกเขาไม่ได้มากกว่า
เขาจะปล่อยวางบ้างไม่ได้เลยหรือ เขาต้องวางแผนโจมตีตระกูลโม่ตลอดเวลาเลยหรืออย่างไร
“นี่เป็นความพยายามของทั้งบริษัทนะครับ”
“ฉันเข้าใจ คอยดูแล้วแก้ตามสถานการณ์ไปก่อนเถอะ” หนานกงเฉวียนสั่งเสียงเย็นชา
เขาอยากจะเอาชนะโม่ถิงด้วยวิธีที่ใสสะอาด แต่ผู้อาวุโสหนานกงดึงดันจะใช้วิธีสกปรก เขาแทบจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเสียใจที่ปล่อยให้หมาป่าตัวนี้เข้ามาในบ้าน ทำไมหมาป่าตัวนี้ต้องเป็นปู่ของเขากันด้วย
ตอนนี้ชายแก่ตัดสินใจใช้วิธีอื่นในการแก้แค้น แต่เหตุใดเขาต้องเอาความพยายามของพนักงานทุกคนมาเดิมพันด้วย ยิ่งหนานกงเฉวียนนึกถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไปหาผู้อาวุโสหนานกงที่ห้องทำงาน ก่อนทั้งสองจะขึ้นมาบนชั้นดาดฟ้า
“บอกผมมาว่าทำไมถึงต้องเลื่อนวันออกฉายไป อย่างน้อยปู่ต้องทำให้ผมและทีมงานเชื่อที่จะทำอย่างสิ!”
“ฉันแค่ขอให้แกเลื่อนวันฉายออกไปนิดเดียว มันจะมีผลกระทบอะไรกับแกล่ะ” ผู้อาวุโสหนานกงว่าเสียงแข็ง “อีกอย่างฉันก็รับประกันแล้วว่าหนังจะต้องดัง แล้วฉันต้องมาอธิบายอะไรอีกละ”
“ปู่พยายามหลอกใครอยู่กันแน่ครับ” หนานกงเฉวียนถาม “เราไม่ต้องการใช้วิธีสกปรกเพื่อสู้กับคู่แข่ง เราแค่ต้องการก้าวหน้าด้วยวิธีที่ใสสะอาด ทำไมมันถึงยากที่ปู่จะทำอย่างนั้นนักล่ะครับ
“ครั้งนี้ปู่วางแผนจะมาไม้ไหนอีกล่ะ ได้คิดถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องเลื่อนวันฉายออกไปบ้างหรือเปล่า ต่อให้ปู่ทำลายไห่รุ่ยและทำร้ายตระกูลโม่ได้ เราก็จะถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายเหมือนกัน ปู่ครับ ผมไม่อยากให้ปู่ทำกับความพยายามของผมเหมือนเป็นของเล่นนะครับ
“ถ้าปู่ยืนยันจะทำอย่างนี้ ผมก็ไม่มีทางเลือกนอกจากไล่ปู่ออกจากตำแหน่งครับ!”
“ไอ้เวรนี่! ตอนนี้ฉันเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่นะ!”
“อย่าลืมว่าผมยังเป็นประธานบริหารอยู่นะครับ ผมมีสิทธิ์ขาดที่นี่!” หนานกงเฉวียนเอ่ยก่อนหันหลังออกไปจากชั้นดาดฟ้า เขาจะไม่ปล่อยให้ความพยายามของเขากลายเป็นเครื่องมือในการแก้แค้นของชายแก่
แน่นอนว่าเรื่องที่หนานกงเฉวียนเอาแต่พยายามหยุดยั้งผู้อาวุโสหนานกงมีแต่จะทำให้ชายสูงวัยโกรธมากขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อมองหลานชายเดินจากไป เขาสงสัยว่าคงไม่มีใครมาขวางเขาได้หากเสี้ยนหนามคนนี้หายไป
เขามีโอกาสเพียงครั้งเดียว ทำไมหนานกงเฉวียนถึงปล่อยให้เขาทำมันไม่ได้กัน
เขาเป็นหลานชายของเขานะ! ทำไมถึงไม่เข้าใจกันสักครั้งบ้าง!