“เชียนหลาน คุณไม่จำเป็นต้องออกมาที่นี่เพื่ออธิบายกับผมหรอกนะครับ ผมไม่ได้โกรธ” โม่จื่อเฉินตอบ “อีกอย่างผมก็คิดว่าครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญกว่าทุกอย่าง คุณไม่ควรทะเลาะกับพ่อแม่เพราะคนที่คุณยังไม่ได้รู้จักดีนะครับ”
คำตอบของโม่จื่อเฉินยิ่งทำให้เชียนหลานรู้สึกแย่
ถึงอย่างไรทุกคำพูดของเขาล้วนฟังดูเหมือนเขากำลังมองสถานการณ์จากมุมของคนนอก ไม่ได้คิดว่าที่เธอออกมาที่นี่ตามลำพังเพียงเพราะเธอเป็นห่วงว่าเขาจะโกรธเลยแม้แต่น้อย
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ…” เชียนหลานพึมพำ “ฉันดีใจที่คุณไม่ได้โกรธนะคะ ฉันจะไปแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับเสื้อแจ็กเกตนะคะ”
“เดี๋ยวผมขับรถไป…”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ” เชียนหลานเอ่ยก่อนหันหลังจากไปทันที อย่างไรก็ตามหลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว เธอชะงักและบอกกับโม่จื่อเฉิน “ฉันเคยคิดว่าฉันเป็นคนพิเศษสำหรับคุณ แต่ฉันว่าฉันคงไม่ต่างกับคนอื่นหรอกค่ะ”
“ผมขอโทษครับ!”
เชียนหลานส่ายหน้า ไม่มีสิ่งใดต้องขอโทษ บางคนต้องการได้ลองบางสิ่งกว่าจะได้ค้นพบว่าพวกเขาเข้ากันได้หรือไม่
หากตัวตนของพวกเขาเป็นอุปสรรคระหว่างกัน เธอยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลดช่องว่างนั้นได้ ทว่าหากโม่จื่อเฉินไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ ความทุ่มเททั้งหมดของเธอคงมีแต่จะสูญเปล่า
ดังนั้นถึงเวลาที่เธอจะลืมเขาและยอมแพ้แทนที่จะทับถมตัวเองแล้ว
หลังจากก่อเรื่องวุ่นวาย เชียนหลานกลับมาที่บ้านและพบว่าแม่ของเธอรออยู่ในห้องนั่งเล่น เมื่ออีกฝ่ายเห็นสีหน้าเหม่อลอยของลูกสาวก็ปวดใจขึ้นมา “หลานเอ๋อร์ ลูกจะทำให้แม่สบายใจไม่ได้เลยเหรอ ไอ้หมอนั่นมันมีดีอะไรนักหนาล่ะ”
“ถ้าแม่กับคนในครอบครัวยังยืนกรานจะเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตหนูทุกเรื่อง หนูอาจตายก็ได้ค่ะ แบบนั้นคงจะง่ายกว่า” เชียนหลานเกลียดที่คนอื่นคอยบงการชีวิตของเธอ “แม่คะ ถ้าไม่เชื่อหนูจะลองก็ได้นะคะ”
พูดจบ เชียนหลานเช็ดจมูกก่อนพยักหน้า “แต่แม่ไม่ต้องกังวลแล้วละค่ะ หนูจะไม่ติดต่อโม่จื่อเฉินอีกแล้ว ยังไงเขาก็ไม่เคยสนใจหนูอยู่แล้ว!”
เชียนหลานกลับขึ้นห้องตัวเองอย่างอ่อนแรงก่อนทิ้งตัวลงบนเตียง
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงเกิดมาในครอบครัวอย่างนี้ ทำไมเธอถึงมีพ่อแม่จอมบงการขนาดนี้ เธอเพียงแค่ต้องการมีความสัมพันธ์และชีวิตอย่างคนทั่วไป
…
วันถัดมา เชียนหลานกับโม่จื่อเฉินบังเอิญเจอกันในโรงอาหารโรงเรียน นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทั้งคู่หลบตาพร้อมกันและหาที่นั่งตัวเอง
เพื่อนของเชียนหลานสังเกตเห็นบรรยากาศชวนอึดอัดและเดาว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขา เธอถือถาดและนั่งลงตรงข้ามเชียนหลานเพื่อกล่าวปลอบเธอ “ฉันบอกเธอก่อนหน้านี้แล้วว่าพวกเธอสองคนมาจากคนละโลกกัน ดูว่าตอนนี้มันน่าอึดอัดใจแค่ไหนสิ”
“ฉันยังชอบเขาอยู่นะ แต่เขาไม่ได้ชอบฉันน่ะสิ” เชียนหลานตอบ
“อะไรนะ เธอกำลังจะบอกว่าเขาปฏิเสธเธองั้นเหรอ” เพื่อนของเธอถึงกับอึ้ง “ไอ้บ้าจนๆ นั่นตาต่ำจริงๆ! เขาไม่รู้ว่าพลาดโอกาสได้เป็นแฟนกับลูกสาวของนายกเทศมนตรีเลยเหรอ”
“เธอพูดอย่างนี้เพราะไม่รู้ว่าพี่สาวของฉันใช้เงินดูถูกเขายังไงน่ะสิ” เชียนหลานหัวเราะ
“ไม่น่าล่ะ” เพื่อนของเชียนหลานรู้ว่าตระกูลเชียนน่าสะพรึงกลัว “ทีนี้เธอจะทำยังไงล่ะ เมื่อคืนเธอคงร้องไห้หนักเลยล่ะสิ ตาเธอบวมหมดแล้ว”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เชียนหลานส่ายหน้า “ฉันว่าคงต้องยอมรับชะตากรรมแล้วเชื่อฟังพ่อแม่มั้ง ฉันจะไปนัดบอดอีกไม่กี่ครั้ง แต่งงานแล้วก็ไม่กลับไปที่ตระกูลนั่นอีก”
“หมายความว่าเธอยอมแพ้เรื่องโม่จื่อเฉินแล้วเหรอ”
เชียนหลานมองโม่จื่อเฉินอยู่ห่างๆ และรู้สึกปวดใจ หากเขาแสดงท่าทีสนใจเธอบ้างสักนิด เธอคงจะยืนหยัดจนถึงที่สุด หากแต่…
…เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าโม่จื่อเฉินลำบากเพียงไหน ในฐานะเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง เขาเซ็นสัญญาห้ามเปิดเผยข้อมูลเพื่อปกปิดตัวตนของเขาไว้ ดังนั้นสำหรับเชียนหลานเขาจึงเป็นคนที่พร้อมหายตัวไปได้ทุกเมื่อ เธอจะต้องการคนรักอย่างนั้นทำไมกันล่ะ
เพื่อลืมโม่จื่อเฉินให้เร็วที่สุด เชียนหลานตัดสินใจทุ่มเทแรงกายทั้งหมดกับการทำงาน แต่อยู่ๆ หลังจากขีดเส้นชัดเจนกับโม่จื่อเฉิน เธอกลับอดไม่ได้ที่จะสนใจเขายิ่งกว่าเดิม
จิตใจของมนุษย์ทำงานเช่นนั้น ผู้คนมักโหยหาสิ่งที่ไขว่คว้ามาไม่ได้
ทว่าชีวิตของโม่จื่อเฉินเป็นไปตามปกติ สอนหนังสือตอนกลางวัน ปฏิบัติภารกิจยามกลางคืน และนอนหลับเมื่อมีโอกาส
ในระหว่างที่เบอร์โทรศัพท์ของเชียนหลานถูกทิ้งอยู่ในโทรศัพท์ของเขาและไม่ได้รับการแตะต้องมานาน
บางทีอีกไม่นานเชียนหลานคงลืมความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขา
…
วันหนึ่งอยู่ๆ หนานกงไฉ่ได้ปรากฏตัวขึ้นที่โรงเรียน เมื่อได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยหลังเลิกคาบ โม่จื่อเฉินต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “ทำไมอยู่ๆ ถึงมาหาฉันล่ะ”
“ฉันบังเอิญผ่านมาน่ะเลยแวะมาหานาย นายจะไม่เลี้ยงมื้อกลางวันฉันหน่อยเหรอ” หนานกงไฉ่หัวเราะคิกคัก หนานกงไฉ่ไม่ใช่เสี่ยวต้านเขอเมื่อครั้งยังเด็กอีกแล้ว ตอนนี้เธอกลายเป็นหญิงสาวที่สง่างาม
“ไปกันเถอะ” โม่จื่อเฉินเอ่ยก่อนเก็บหนังสือและเดินผ่านโรงเรียนไปพร้อมกับเธอ
“นายหายไปตั้งห้าปี ช่วงนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“เธอไม่ถามไม่ได้เหรอ” เขาตอบ “ฉันไม่อยากพูดถึงอดีตน่ะ”
“ก็ได้ ฉันเกรงว่าคงไม่มีใครบอกได้ว่านายคิดอะไรอยู่สินะ” หนานกงไฉ่ตอบ แม้ว่าเธอจะดูผิดหวังเล็กน้อย
ทั้งสองคุยกันอย่างสนุกสนานขณะที่เดินออกไปจากสนามหน้าโรงเรียน แต่มันได้กลายเป็นเรื่องซุบซิบนินทาในหมู่ครูคนอื่นๆ อย่างรวดเร็ว
อย่างไรเสียโม่จื่อเฉินก็ไม่ได้มาจากตระกูลชื่อดัง เขารู้จักหญิงสาวที่ดูเป็นผู้ดีมาแต่ไกลได้อย่างไร
ตอนนั้นเองที่เชียนหลานได้ยินว่าโม่จื่อเฉินเดินออกไปนอกโรงเรียนกับสาวสวยขายาว เธอนึกขุ่นเคืองในใจขึ้นมาทันที โม่จื่อเฉินปฏิเสธเธอเพราะมีตัวเลือกที่ดีกว่าอย่างนั้นหรือ
แน่นอนว่าเธอได้ยินเพียงข่าวลือ แต่เธอไม่คาดฝันว่าจะบังเอิญเจอพวกเขาจริงๆ
มันเป็นจังหวะที่ทั้งสองกลับมาจากมื้อกลางวันและหนานกงไฉ่เดินมาส่งโม่จื่อเฉินที่โรงเรียน “ต่อไปฉันมาเจอนายได้อีกหรือเปล่า”
“แค่ฉันอยู่ที่นี่เธอมาได้เสมอแหละ”
หนานกงไฉ่พยักหน้าอย่างมีความสุขก่อนกอดโม่จื่อเฉิน “ฉันคิดถึงนายกับพี่ชายของนายจริงๆ นะ”
“เธอไปเยี่ยมเขาที่ฐานทัพก็ได้”
โม่จื่อเฉินทำเพียงยืนนิ่งๆ โดยที่ไม่ได้กอดเธอกลับ
หากแต่หนานกงไฉ่ชินกับมันเสียแล้ว
ซ้ำเธอยังรู้ดีว่าโม่จื่อเฉินไม่ได้รู้สึกเชิงชู้สาวกับเธอ…
…
เหตุผลเดียวที่เชียนหลานบังเอิญเจอโม่จื่อเฉินกับหนานกงไฉ่เพราะเธอมารับเอกสารบางอย่าง ทั้งสองดูสนิทสนมกันมากราวกับว่ารู้จักกันมานานแล้ว และมันชวนให้เชียนหลานรู้สึกเจ็บปวดเต็มที
อย่างไรก็ตามหนานกงไฉ่สังเกตเห็นประกายประหม่าในดวงตาเธอ
เธอจึงหัวเราะก่อนถาม “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างนายกับครูคนนั้นงั้นเหรอ”
โม่จื่อเฉินหัวเราะเช่นกัน “เธอจับไต๋ฉันได้แล้วสินะ”
“มันเขียนไว้บนหน้านายหมดแล้ว…แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ นายทำให้เธอโกรธเหรอ” หนานกงไฉ่เอ่ยถามอย่างนึกสนุก