หลังได้ยินคำถามของหนานกงไฉ่ โม่จื่อเฉินตอบกลับ “พี่ไฉ่ ในใจของฉัน ฉันมักจะทำเหมือนเธอเป็นพี่สาวมาเสมอ เธอก็รู้ว่าฉันเป็นคนยังไง ฉันแสดงจุดยืนของตัวเองชัดเจนมาตลอด”
“ฉันรู้ แต่ถ้านายสนใจเธอก็ไม่น่าไปทำให้เธอโกรธสิ!
“ถ้าฉันจะอกหักก็ไม่เป็นไรหรอก แต่คนอื่นก็ต้องสมหวังเพื่อให้ฉันรู้สึกว่าการอกหักของฉันมันคุ้มค่าสิ!” หนานกงไฉ่เอ่ย “พอแล้วละ นายยังมีสอนนี่ ฉันจะไปแล้ว”
โม่จื่อเฉินพยักหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อยหลังจากรู้ว่าเชียนหลานเห็นเขาอยู่กับหนานกงไฉ่
คืนนั้นเขาถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจเดี่ยวจึงใช้เวลานานกว่าปกติ ในที่สุดเขาก็กลับมาถึงบ้านในเวลาไม่ทันตีสามดี หากแต่…เขาได้เจอคนคนเดิมรอเขาอยู่บริเวณด้านนอกห้องพักของเขาที่เดิมกับเมื่อครั้งก่อน
“คุณกลับมาแล้ว” เชียนหลานระบายยิ้มเมื่อเห็นโม่จื่อเฉิน “อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าช่วงกลางคืนคุณต่างออกไปจากตอนกลางวันน่ะค่ะ”
โม่จื่อเฉินเข้าไปหาเชียนหลานและได้กลิ่นแอลกอฮอล์หึ่งมาจากตัวเธอ เขาดูไม่ค่อยพอใจนัก “ยัยคนนี้นิ คุณกล้าดื่มขนาดนี้แล้วมานั่งที่นี่คนเดียวได้ยังไงครับ”
“ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ฉันหรอกค่ะ…ฉันมีสเปรย์พริกไทยนะ!” เชียนหลานว่าขึ้นทั้งยังเมาอยู่
โม่จื่อเฉินไม่มีทางเลือกนอกจากประคองเธอเข้าไปในห้องพักตัวเอง ก่อนพาเธอเข้าไปในห้องน้ำและช่วยล้างหน้าให้เธอ
“ทีนี้คุณสร่างเมาหรือยังครับ”
เชียนหลานได้สติขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความสะดุ้งจากน้ำเย็น เมื่อเห็นว่าตัวเองนั่งอยู่บนขอบอ่างอาบน้ำ ใบหน้าของเธอก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ
“ฉันขอโทษค่ะ ฉันทำตัวน่าอายต่อหน้าคุณ…คุณคงคิดว่าฉันมันน่ารำคาญ ฉันเมาเพราะฉันถูกปฏิเสธแล้วสุดท้ายฉันก็โซซัดโซเซมาที่บ้านคุณ…”
หลังจากขอโทษ เชียนหลานลุกขึ้นพลางจับกำแพงไว้ เธอพยายามทรงตัวออกมาจากห้องของโม่จื่อเฉิน แต่สุดท้ายกลับล้มอยู่บนพรมบนพื้น
โม่จื่อเฉินพยายามโผเข้ามาประคองเธอไว้แต่เธอผลักเขาออก “ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนล้มเหลวครั้งใหญ่ที่ทำไม่ได้แม้แต่จะควบคุมชีวิตของตัวเองเลย”
โม่จื่อเฉินเข้าใจว่าเชียนหลานเป็นผู้หญิงที่ใฝ่ฝันถึงชีวิตปกติสุข เป็นอิสระจากการบงการของพ่อแม่
“คุณคงติดว่าฉันเป็นตัววุ่นวายสินะคะ”
โม่จื่อเฉินไม่ปริปากสักคำเพราะไม่รู้จะพูดสิ่งใด
เธอปล่อยโฮออกมาเมื่อไม่อาจอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป แม้ว่าจะดูสุดแสนจะอ่อนแอเธอก็ยอมรับมัน
เขามองหญิงสาวจิตใจดีคนนี้จากด้านหลังและไม่อาจทนได้อีกต่อไป สุดท้ายจึงได้เข้าไปหาเธอและลูบศีรษะเธออย่างอ่อนโยน “คุณต่างออกไปนะครับ”
“หือ” เชียนหลานไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
“คุณก็รู้ว่าผมพูดถึงอะไรนี่!” โม่จื่อเฉินเอ่ยขณะพยุงเธอมาที่โซฟา
เธอพยายามนึกว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์จึงไม่อาจคิดออกได้
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันดื่มเหล้า ขอฉันคิดเรื่องนี้สักแป๊บนะคะ…”
โม่จื่อเฉินอดไม่ได้ที่จะขำออกมาขณะที่เดินเข้าไปในห้องเพื่อหยิบผ้าห่ม เมื่อเดินกลับมาเชียนหลานก็ได้ผล็อยหลับไปบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว
เขาไม่ได้รบกวนเธอ แต่กลับไปเอาหมอนมาให้เพื่อให้เธอนอนหลับสบายมากขึ้น
…
หากไม่ใช่เพราะครอบครัวของเธอ จริงๆ เชียนหลานคงเป็นแค่หญิงสาวธรรมดาๆ คนหนึ่ง ธรรมดาจนถึงขั้นที่ตัวประกอบในวงการบันเทิงยังน่าดึงดูดมากกว่าเธอด้วยซ้ำ
หากแต่ความธรรมดานี้กลับทำให้โม่จื่อเฉินรู้สึกสบายใจ
บางทีอาจเป็นเพราะงานในฐานะเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง ความธรรมดาเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่เขาปรารถนา
โม่จื่อเฉินควบคุมตัวเองได้ดี ยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก แม้แต่ครอบครัวของเขา เขายังฝืนไม่เจอหน้าพวกเขามาได้ถึงห้าปีจนทำให้แม่ของเขาเป็นห่วง เรื่องรักๆ ใคร่ๆ จึงไม่ได้ต่างกัน
เขาไม่ต้องการทำให้ใครต้องเจ็บปวด อย่างไรเสียในฐานะเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง เขาก็ไม่มีสิทธิ์จะมีชีวิตที่เรียบง่าย
ทว่าตอนนี้มันได้มาอยู่ตรงหน้าเขา แล้วเขาจะทำอย่างไรได้กัน
โม่จื่อเฉินก้มลงมองหญิงสาวที่หลับอยู่บนโซฟาของเขาพร้อมความรู้สึกสับสนถาโถมเข้ามาในใจ…
…
เช้าวันต่อมา เชียนหลานตื่นขึ้นมาในห้องพักของโม่จื่อเฉิน เมื่อคืนเธอมีสติไม่เต็มร้อยดี เมื่อย้อนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นใบหน้าของเธอก็เห่อร้อนขึ้นมา
“คุณตื่นแล้วเหรอ ไปล้างหน้าล้างตาสิครับ อาหารเช้าใกล้เสร็จแล้ว”
เธอมองโม่จื่อเฉินขณะที่เขาเดินออกมาพร้อมขนมปังปิ้งสองจาน เธอจำได้ทันทีว่าเขาได้พูดบางอย่างที่สำคัญกับเธอเมื่อคืนก่อน แต่นึกไม่ออกว่ามันคืออะไร
เมื่อนั่งลงบนโต๊ะทานข้าว เธอจึงถือโอกาสนี้เอ่ยถาม “เอ่อ… เมื่อคืนคุณได้พูดเรื่องสำคัญกับฉันหรือเปล่าคะ”
“ผมบอกว่าคุณต่างออกไปครับ” โม่จื่อเฉินทวนกับตัวเองอย่างใจเย็น
หลังจากได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ไว้ว่า ‘ฉันเคยคิดว่าฉันเป็นคนพิเศษสำหรับคุณ แต่ฉันว่าฉันคงไม่ต่างกับคนอื่นหรอกค่ะ’
นี่เป็นคำตอบของคำพูดพวกนี้หรือ
“อย่างนั้น…เรา…”
โม่จื่อเฉินวางแก้มนมในมือลงและดันแว่นบนสันจมูกก่อนถาม “เชียนหลาน เมื่อครั้งที่แล้วที่คุณมาหาผม ผมมาถึงบ้านกี่โมงครับ”
“ประมาณตีหนึ่งค่ะ”
“แล้วเมื่อคืนล่ะครับ” เขาว่า
“ประมาณตีสามค่ะ”
“คุณไม่มีอะไรจะถามผมเลยเหรอ”
เชียนหลานส่ายหน้า เธอรู้ว่ามันแปลกแต่เธอมั่นใจว่าเขาไม่ได้ไปเที่ยวกลางคืนหรือมั่วผู้หญิงอย่างแน่นอน รังสีที่เปล่งประกายออกมาจากตัวเขาบอกเช่นนั้น เขาไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายแม้แต่น้อย
“ผมจะไม่พูดถึงเรื่องนั้นเพราะมันไม่มีอะไรต้องพูด แต่ยังไงผมต้องขอเตือนคุณไว้ก่อนว่ามันจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนาน คุณจะทำยังไงกับเรื่องนี้ล่ะครับ” เขาถาม
“คุณมี…เหตุผลพิเศษใช่ไหมคะ” เธอเดา “ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็ไม่ต้องพูดอะไรหรอกค่ะ ฉันไม่ถือ”
“ถ้าคุณยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้ งั้น…เรามาลองคบกันไหมครับ” โม่จื่อเฉินว่าอย่างแน่วแน่
“จริงเหรอคะ”
“จริงสิครับ! เผื่อว่าคนเมาจะมาบุกรุกห้องของผมอีกไงครับ” เขาเอ่ยก่อนส่งแก้วนมให้เธอ
“ไม่ต้องไปถือสาพ่อแม่ฉันหรอกนะคะ ต่อให้ฉันต้องเสี่ยงชีวิตฉันก็จะไม่เชื่อฟังคำสั่งของเขาหรอกค่ะ ฉันจะเลือกคนตามใจฉันเท่านั้น”
“จริงๆ แล้วคุณไม่ต้องทะเลาะกับพ่อแม่ขนาดนั้นหรอกนะครับ” โม่จื่อเฉินบอกอย่างมีความนัย
“คุณกำลังจะบอกว่าครอบครัวของฉันสำคัญกว่าคนรักงั้นเหรอคะ”
“ที่ผมจะบอกคือของสองสิ่งไม่จำเป็นต้องปะทะเสมอไปครับ ผมจะทำให้มั่นใจว่าพ่อแม่ของคุณจะพึงพอใจในตัวผมอย่างแน่นอน”
“ยังไงเหรอคะ” เธอมีท่าทีสงสัยเต็มที หรือบางทีอาจมีทางที่เขาจะเปลี่ยนประวัติตัวเอง
“รีบไปสอนหลังจากที่คุณทานมื้อเช้าเสร็จเถอะครับ อีกอย่างคุณก็ไม่ได้กลับบ้านทั้งคืนด้วย พ่อแม่คุณจะไม่เป็นห่วงแย่เหรอครับ” เขาเตือน “คุณน่าจะโทรหาแม่หน่อยนะ ไม่ว่าคุณจะโกรธท่านแค่ไหน ท่านก็ยังเป็นแม่ของคุณ”
“โอเคค่ะ” เชียนหลานพยักหน้า แต่อย่างไรเธอยังต้องคิดว่าจะคุยกับพวกเขาอย่างไร
เธอชอบโม่จื่อเฉินจากใจจริง ไม่ว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหนเธอก็หมายมั่นในตัวเขาแล้ว
พี่สาวของเธอแต่งงานกับคนใหญ่คนโตไปแล้ว พวกเขาต้องกดดันเธอมากขนาดนี้ด้วยหรือ
โม่จื่อเฉินที่นั่งตรงข้ามมองท่าทีเคร่งเครียดของเธอและหัวเราะออกมา…
ยัยซื่อบื้อ…