ห้าปีผ่านไป ระหว่างนี้โม่จื่อเฉินทำงานเพื่อก้าวขึ้นตำแหน่งอาจารย์อาวุโสและกำลังทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่ง เขายังได้ย้ายจากห้องพักเล็กๆ มาเป็นห้องหรูใกล้ที่ทำงานของตัวเอง
ไม่นานมานี้มีใครบางคนย้ายมาอยู่ห้องข้างๆ แต่พวกเขาปรับปรุงห้องอยู่ทั้งคืนทำให้โม่จื่อเฉินแทบไม่ได้นอน และมันไม่ดีกับสุขภาพจิตของเขา
โม่จื่อเฉินตัดสินใจแจ้งทางนิติบุคคล อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่อาจหาทางแก้ไขให้ได้ สุดท้ายเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากรอให้เพื่อนบ้านย้ายเข้ามาเพื่อรอดูว่าคนไร้มารยาทคนนั้นเป็นใคร คนเราจะไม่เกรงใจคนอื่นได้อย่างไรกัน
อาจารย์มหาวิทยาลัยไม่ได้ยุ่งมากอย่างระดับชั้นมัธยมปลาย โม่จื่อเฉินมีสอนเพียงสี่คาบต่ออาทิตย์ และใช้เวลาที่เหลือในการอ่านหนังสือ ด้วยเหตุนี้สายตาของเขาถึงได้เริ่มสั้นลงเล็กน้อย
เขาไม่เคยห่างแว่นของตัวเองยามที่อยู่บ้าน แต่มันกลับยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
โม่จื่อเฉินในวัยยี่สิบหกเติบโตเป็นชายหนุ่มภูมิฐาน แต่เขาก็ยังคงอยู่ตัวคนเดียว เขารับแมวรัชเชี่ยนบลูชื่อว่ามัดดี้เพื่อคลายเหงา มันเป็นแมวจรที่เขาช่วยมาจากข้างถนน มันก็หิวมากเสียจนพยายามกินโคลนเข้าไปตอนที่ถูกเจอเข้า จึงเป็นที่มาของชื่อ
บ่ายวันนั้นโม่จื่อเฉินเตรียมสอนคาบต่อไปอยู่ที่บ้าน ขณะที่ที่ได้ยินเสียงเฟอร์นิเจอร์ย้ายเข้ามาในห้องข้างๆ เขาเดาว่า เพื่อนบ้านที่แสนดี ของเขาคงย้ายเข้ามาแล้วจึงลุกขึ้นจากไปเปิดประตู
ทันทีที่เปิดประตูเขาเห็นแผ่นหลังของหญิงสาวผมสั้นซึ่งยืนอยู่กลางทางเดิน เธอยืนหลังตรงและมีรูปลักษณ์ไม่เหมือนใคร
“ช่วยระวังโซฟาด้วยนะคะ…”
โม่จื่อเฉินเดินเข้าไปหมายจะยกเรื่องการปรับปรุงห้องมาพูด ทว่าทันทีที่หญิงสาวหันมาเขาก็อึ้งจนพูดไม่ออก
เขานึกไม่ถึงว่าจะได้เจอเพื่อนเก่าอย่างนี้
เพื่อนเก่าคนนี้…คือเชียนหลานนั่นเอง! หากแต่ดูจากท่าทางของเธอแล้ว เธอดูไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“ขนโต๊ะทานข้าวไปด้านในแล้วก็ไปได้เลยนะคะ” หลังจากสั่งคนขนของ เชียนหลานเดินมาหาโม่
จื่อเฉินอย่างมั่นอกมั่นใจก่อนยื่นมือออกไป “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
“คุณ…”
“ที่นี่เป็นบ้านชั่วคราวของฉันน่ะค่ะ…” เชียนหลานระบายยิ้ม “ฉันจะมาอยู่ที่นี่เป็นครั้งคราว”
“คุณรู้ว่าผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ ฉันรู้ตอนที่ซื้อห้องแล้วต่างหาก” เชียนหลานตอบ “แต่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันจะมาอยู่ที่นี่แค่เดือนละครั้ง ไม่รบกวนอะไรคุณมากนักหรอก หวังว่าแฟนของคุณจะไม่ถือสานะคะ”
เชียนหลานที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาดูสุขุม แข็งแกร่ง และเด็ดเดี่ยวขึ้นมาก เธอสมกับเป็นคนที่มาจากกองทัพจริงๆ
“ผมยังโสดครับ” โม่จื่อเฉินส่ายหน้า
“อ๋อ ค่ะ ฉันมีเวลาไม่มากเดี๋ยวฉันก็จะกลับไปแล้ว ครั้งหน้าถ้ามีเวลาว่างก็มาทานข้าวด้วยกันนะคะ”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ คุณทำธุระของคุณต่อเถอะ” โม่จื่อเฉินว่าก่อนจะกลับไปห้องตัวเองและปิดประตู
หลายปีผ่านไปนับตั้งแต่พวกเขาแยกจากกัน ทว่าบางทีเขาอาจเป็นคนเดียวที่ยังรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้างก็เป็นได้
ไม่นานเสียงขนของห้องข้างๆ ก็เงียบลง หลังจากเชียนหลานจากไป หัวใจของโม่จื่อเฉินสงบลงก่อนเขาจะกลับมาอ่านหนังสือต่อ หากแต่ดูเหมือนเขาจะไม่อาจจดจ่อได้
เขาลงเอยด้วยการแค่นยิ้มกับตัวเอง…
สุดท้ายเชียนหลานก็ทำอย่างที่เธอพูดจริงๆ หลังจากย้ายเข้ามา เธออยู่บ้านเพียงช่วงหนึ่งและใช้เวลาที่เหลือในกองทัพ
โม่จื่อเฉินไม่รู้ว่าเธอมียศอะไร แต่เขารู้ว่าเธอได้เข้าเป็นทหารผ่านมหาวิทยาลัยทหาร
ตอนนี้หลายสิ่งได้เปลี่ยนไปหลังจากผ่านมาห้าปี
ความจริงแล้วเขาได้ยินความเคลื่อนไหวมาจากข้างห้องอยู่เรื่อยๆ เห็นว่าเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่แวะมาที่ห้องของเชียนหลาน เขาคิดว่าชายคนนี้คงเป็นแฟนหนุ่มคนใหม่ของเชียนหลาน
ตอนนี้เธอคงได้ปลดปล่อยตัวเองจากครอบครัวอย่างที่เธอหวังไว้แล้ว อย่างไรเสียหลังจากเชียนหลานเข้าร่วมกองทัพหนึ่งปี ตระกูลเชียนก็ถูกเจ้าหน้าที่สอบสวน ก่อนพวกเขาจะหายหน้าหายตาไปจากปักกิ่งไม่นานหลังจากนั้น
ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจหนีไปแล้ว
วันหนึ่ง โม่จื่อเฉินกำลังอ่านหนังสือที่บ้านเหมือนอย่างเคยขณะที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อเขาลุกขึ้นไปเปิดประตูก็พบหนุ่มหล่อข้างห้องยืนอยู่หน้าประตู เขาจึงถามเสียงเรียบเรื่อยออกมา “มีอะไรเหรอครับ”
“บะหมี่ห้องผมหมดน่ะ ผมขอยืมหน่อยได้ไหมครับ”
ชายคนนี้ทั้งอายุน้อยและเหมาะสมกับเชียนหลาน หลังจากจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง โม่จื่อเฉินก็พยักหน้า “รอสักครู่ครับ”
“ผมได้ยินเรื่องของคุณมาจากคู่หมั้นของผม”
โม่จื่อเฉินหัวเราะหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ ชายคนนี้ช่างหน้าทนจริงๆ เขาอยู่ข้างห้องของคนรักเก่าคู่หมั้นตัวเองแล้วยังมาขอยืมบะหมี่อีก
ถึงกระนั้นโม่จื่อเฉินก็ยังยื่นบะหมี่ให้เขา
“พอไหมครับ”
“ครับ คุณนี่เป็นคนดีจริงๆ!”
โม่จื่อเฉินปิดประตูเงียบๆ หลังจากชายคนนั้นจากไป ไม่นานหลังจากนั้นเขาได้ยินเสียงประตูห้องของเชียนหลานเปิดออก หากเขาคิดไม่ผิด คงเป็นเสียงเชียนหลานกลับมาที่ห้อง
เขาเริ่มคิดว่าตัวเองควรย้ายออกไปหรือไม่
เมื่อคิดเช่นนั้น โม่จื่อเฉินเริ่มหาห้องพักใหม่และตัดสินใจขายห้องพักปัจจุบันของตัวเอง ระหว่างนี้เขาบังเอิญเจอเชียนหลานกับคนรักของเธออยู่เนืองๆ ตอนที่ออกไปซื้อของ แต่เขาก็ยังคงทำทีเย็นชาและไม่สะทกสะท้าน มันไม่มีทางที่จะบอกได้ถึงความรู้สึกและอารมณ์ลึกๆ ของเขา
ดูเหมือนว่าเชียนหลานกับแฟนหนุ่มของเธอกำลังวางแผนจะแต่งงานกัน
แต่ในขณะที่โม่จื่อเฉินหาบ้านใหม่ได้และเตรียมจะย้ายออก กลับมีบางอย่างเกิดขึ้นที่ห้องของเชียนหลาน
คืนนั้นเสียงทะเลาะกันดังลั่นมาจากข้างห้อง ตามมาด้วยเสียงปิดประตูอย่างรุนแรง
โม่จื่อเฉินสะดุ้งขึ้นมาจากเตียงและเปิดประตูออกไปดูห้องข้างๆ ถึงได้เห็นเชียนหลานกำลังนั่งกอดเข่าอยู่หน้าประตูห้องตัวเอง ท่าทางไม่สบอารมณ์สุดขีด
“ลุกขึ้นสิครับ…” โม่จื่อเฉินเอ่ยพลางยื่นมือให้
เชียนหลานส่ายหน้าก่อนตอบ “พรุ่งนี้เป็นงานแต่งงานของเรา แต่เราเพิ่งจะเลิกกันไป”
“ทำไมล่ะ” เขาถามขณะนั่งยองลงมาในระดับเดียวกับเธอ “ทำไมคุณถึงเลิกกันง่ายๆ อีกแล้วล่ะ”
“เพราะเขาบอกว่าฉันไม่ได้รักเขา เขาบอกว่าใจฉันไม่เคยอยู่กับเขาเลย” เชียนหลานอธิบายอย่างหดหู่ใจ “เราเจอกันผ่านการนัดบอด คบกันได้หนึ่งเดือนเขาก็บ่นว่าฉันไม่ยอมให้เขาจับมือด้วยซ้ำ”
“แล้วทำไมคุณถึงรีบแต่งงานขนาดนี้ล่ะครับ”
“แม่ฉันเป็นมะเร็งหลอดอาหารระยะสุดท้ายค่ะ ถึงฉันจะเกลียดเธออยู่บ้าง แต่เธอก็ยังเป็นแม่ของฉัน ความฝันสูงสุดของเธอก็คือเห็นฉันแต่งงาน” เชียนหลานบอกก่อนจะก่อกำแพงน้ำแข็งแสนเยือกเย็นขึ้นมาและลุกขึ้นยืน “ขอโทษที่ทำให้คุณต้องเห็นเรื่องน่าขำอย่างนี้ด้วยนะคะ”
“อย่างนั้นคุณจะทำยังไงกับงานแต่งงานพรุ่งนี้ล่ะ”
“ฉันก็ไม่แน่ใจ ฉันคงจะต้องบอกว่าเจ้าบ่าวหนีไปแล้วมั้งคะ” เชียนหลานหัวเราะ “ฉันทำอะไรไม่ได้นี่…” หลังจากตอบ เชียนหลานหันกลับเข้าไปในห้องตัวเอง
เช้าตรู่วันต่อมา ห้องพักข้างๆ ดูเงียบสงบ หากแต่เสียงทะเลาะกันอีกครั้งได้ดังขึ้นทันที
โม่จื่อเฉินเดาได้รางๆ ว่าหนึ่งในเพื่อนเจ้าสาวกำลังถามว่าทำไมเจ้าบ่าวยังไม่มาถึง
เขาไม่รู้ว่าเชียนหลานวางแผนอะไรไว้ แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะถูกทอดทิ้งในวันแต่งงานตัวเอง
…
โม่จื่อเฉินไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องข้างๆ จึงรีบดึงสติตัวเอง ทว่าก่อนที่เขาจะออกไปสอนหนังสือ ใครบางคนกลับเคาะห้องเขาไม่หยุด
เขาสวมเสื้อแจ็กเกตและออกไปเปิดประตู เป็นเชียนหลานในชุดเจ้าสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูนั่นเอง