“เหม่ยเจีย… เหม่ยเจีย เจ้าหยุด เจ้าหยุดให้ป้าเถิด… ”
เฉินไท่เฟยที่อยู่เบื้องหลังกระทืบเท้าอย่างกังวลใจ ทว่าเว่ยเหม่ยเจียกลับวิ่งออกไปราวกับไม่ได้ยินกระไรเลยแม้แต่น้อย
เวลาโหย่วฉือ [1] ผ่านไปจนถึงเวลาไฮ่ฉือ [2] ข้างถนนหลักคนน้อยยิ่ง เว่ยเหม่ยเจียที่เสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ย วิ่งร้องไห้มาตลอดทางจนถึงถนนหลักโดยไม่รู้ว่าตนเองวิ่งมาไกลเพียงใดแล้ว
มีเกี้ยวหลังหนึ่งกำลังสัญจรอยู่ตรงหัวมุมถนน หญิงสาวที่เดินตามเกี้ยวมองดูเว่ยเหม่ยเจียที่กำลังวิ่งอยู่บนถนนหลักแล้วพูดว่า “เอ๋ นั่นสาวน้อยเหม่ยเจียจากหนานย่วนไม่ใช่หรือ? ”
“เว่ยเหม่ยเจีย? ”
ม่านเกี้ยวถูกบุคคลผู้หนึ่งยกขึ้นและยื่นศีรษะออกมา แม้จะมีผ้าคลุมหน้า อีกทั้งบนมือยังมีรอยแผลเป็นจากการถูกไฟลวก ทว่าดวงตาคู่นั้นที่สุกใสดั่งกระแสคลื่นทำให้รู้ได้ทันทีว่าเป็นฮั่วอวี้เจียว
“ได้ยินมาว่า… เว่ยเหม่ยเจียก็ชอบพอโยวอ๋อง ดูเหมือนนางจะเจออันใดบางอย่าง ทั้งเสื้อผ้ายังหลุดรุ่ยไม่เรียบร้อย ไม่ใช่ว่าถูกซูจิ่นซีข่มเหงหรอกกระมัง? ”
ฉิงสั่วสาวใช้คนสนิทที่อยู่ข้างกายฮั่วอวี้เจียว เนื่องจากถูกเยี่ยโยวเหยาตัดลิ้นและไม่สามารถรับใช้ได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนคน เด็กสาวที่มาใหม่มีนามว่าหลิวจู
เกิดความคิดแวบเข้ามาในดวงตาของฮั่วอวี้เจียว ทันใดนั้นนางก็ขึ้นเสียงดังว่า “หยุดเกี้ยว! ”
หลิวจูฉลาดยิ่งนัก นางเร่งรีบวิ่งไปหยุดเว่ยเหม่ยเจีย “คุณหนูเหม่ยเจีย เกิดอันใดขึ้นกับท่านเจ้าคะ? ”
ใบหน้าของเว่ยเหม่ยเจียเต็มไปด้วยน้ำตา นางผลักหลิวจูออกไปอย่างรุนแรง “เจ้าไปให้พ้น” จากนั้นก็วิ่งต่อไปในทันที
หลิวจูหันมองไปยังฮั่วอวี้เจียว
“ตามไป” ฮั่วอวี้เจียวกล่าวขึ้น
คนแบกเกี้ยวรีบยกเกี้ยวแบกตามหลังเว่ยเหม่ยเจีย ทว่าไม่ได้เข้าใกล้จนเกินไป
เว่ยเหม่ยเจียวิ่งไปข้างหน้าด้วยความโศกเศร้าเสียใจตลอดทาง ทว่ากลับไม่ได้มองทางแม้แต่น้อย กระทั่งนางยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้วิ่งเข้าไปในตรอกมืดแคบที่รอบด้านปราศจากผู้คนเสียแล้ว
“โอ้ย! ”
เว่ยเหม่ยเจียวิ่งชนเข้ากับบางสิ่งบางอย่าง ในความมืดพลันมีเสียงสะท้อนกลับมา
“คุณชาย ท่านช้าหน่อย! ”
“นางสารเลวนี่มาจากที่ใด กระทั่งข้ายังกล้าชนหรือ? อยากตายมากหรือไร? ”
เป็นชายผู้หนึ่ง
ครานี้เว่ยเหม่ยเจียจึงมีสติขึ้นมา ในที่สุดนางก็เข้าใจสถานการณ์ของตนเอง ด้านตรงข้ามเป็นชายเมาหัวราน้ำผู้หนึ่ง ในความมืดมองไม่เห็นว่ารูปพรรณเป็นอย่างไร ทว่ากลับได้กลิ่นสุราที่เหม็นฉุน
“พวกเจ้า… พวกเจ้าเป็นผู้ใด? ”
เว่ยเหม่ยเจียเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา นางก้าวขาถอยหลังทีละก้าวๆ
“โอ้ ที่แท้ก็เป็นสาวน้อยนางหนึ่งนี่เอง! หึหึหึ… สาวน้อย ดึกดื่นค่อนคืนปานนี้เจ้าต้องการไปที่ใดกันเล่า? บอกพี่ชายสิ พี่ชายจะไปส่งเจ้าเอง! ”
เมื่อได้ยินเสียงของเว่ยเหม่ยเจีย ชายผู้นั้นก็เริ่มสนใจขึ้นมาทันที ในคืนที่มืดมิดดวงตาเรียวเล็กคู่หนึ่งหรี่มองไปที่เว่ยเหม่ยเจีย
เว่ยเหม่ยเจียที่ประสบกับเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร นางตกใจจนใกล้จะร้องไห้ออกมาแล้ว แข้งขาล้วนอ่อนแรง
“เจ้า… เจ้าคิดจะทำอันใด? ข้า… ข้าจะบอกเจ้าเอาบุญ ท่านป้าของข้าคือเฉินไท่เฟย… ข้า… เสด็จพี่ของข้าคือโยวอ๋อง…เยี่ยโยวเหยา เจ้า…หากเจ้ากล้าทำข้า พวกเขาไม่ปล่อยเจ้าไปแน่! ”
“ผู้ใดนะ? พูดดังๆ หน่อยสิ พี่ชายได้ยินไม่ถนัด! ”
ชายผู้นั้นเมาปลิ้นแล้ว แม้ว่าเขาจะได้ยินคำพูดนั้น ทว่าสติสัมปชัญญะของเขาไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย คาดว่าในเวลานี้แม้แต่เยี่ยโยวเหยาและเฉินไท่เฟยเป็นผู้ใด เขาก็ลืมไปหมดสิ้นแล้ว
“ฮือฮือ… ฮือฮือ… พวกเจ้ายังไม่ไปให้พ้นอีก! ” เว่ยเหม่ยเจียตกใจจนเริ่มร้องไห้ออกมาแล้ว
เว่ยเหม่ยเจียค่อยๆ ก้าวถอยหลัง ก้าวออกไปจนถึงจุดที่มีแสงสว่าง
แสงจากดวงจันทร์ส่องลงมา ผิวพรรณที่เย้ายวนปรากฏอยู่ภายใต้เสื้อผ้าที่หลุดรุ่ยของนาง ดวงตาของชายขี้เมาสองคนเป็นประกาย แววตาคล้ายกับสัตว์ร้ายในทันใด
“ท่านชาย สาวน้อยผู้นี้ไม่เลว! ”
คนที่อยู่ด้านข้างชายผู้นั้นกล่าวขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย ดูเหมือนจะเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายของชายผู้นั้น
“ไปไกลๆ ไป ที่นี่มีส่วนแบ่งของเจ้าที่ใดกัน! ” ชายผู้นั้นเตะบ่าวรับใช้ข้างกายของเขาไปหนึ่งที
แม้จะไม่รุนแรงเท่าใด ทว่าบ่าวรับใช้ข้างกายที่ดื่มสุราเข้าไปกลับเมาโซเซล้มลงบนพื้นและไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย
“เจ้า… เจ้าอย่าเข้ามา! ” เว่ยเหม่ยเจียร้องไห้ตะโกนและ ก้าวเท้าถอยไปด้านหลัง คิดไม่ถึงว่านางจะสะดุดกระโปรงล้มลง
ชายผู้นั้นเห็นสบโอกาส รีบกระโจนเข้าไปราวกับสัตว์เดรัจฉานอย่างไรอย่างนั้น
ในไม่ช้าก็มีเสียงตะโกนร้องและเสียงเสื้อผ้าของเว่ยเหม่ยเจียถูกฉีกขาดดังขึ้นจากในตรอก
“คุณหนู พวกเราเข้าไปช่วยคุณหนูเหม่ยเจียดีหรือไม่? ” หลิวจูถามฮั่วอวี้เจียว
ฮั่วอวี้เจียวที่นั่งบนเกี้ยวกำมือแน่นและพูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ช่วยกระไร ล้วนเป็นเวรกรรมของนางเองทั้งนั้น กล้าที่จะแก่งแย่งเยี่ยโยวเหยากับข้า นางไม่ใช่คนดีกระไรสักนิด”
หลิวจูเม้มปาก ไม่พูดอันใดอีก
เสียงจากในตรอกมืดสะท้อนออกมาช่างน่ากลัวและโหดร้าย โหดเหี้ยมและทารุณยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งฮั่วอวี้เจียวและหลิวจูล้วนเป็นสตรีที่ยังไม่แต่งงาน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยิ่งเสียงเช่นนี้ ทว่าสีหน้ากลับไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ฮั่วอวี้เจียวจึงสั่งให้คนแบกเกี้ยวกลับจวนและสั่งการหลิวจูไปด้วยว่า “จำไว้ พรุ่งนี้ตอนเช้าเจ้าไปเดินเล่นแล้วปล่อยข่าวว่า ซูจิ่นซีบังคับให้เว่ยเหม่ยเจียออกจากหนานย่วนเพื่อเยี่ยโยวเหยา กลางดึกเว่ยเหม่ยเจียไปพบอันธพาลเข้าและเสียพรหมจรรย์ไปแล้ว”
“เจ้าค่ะคุณหนู” มุมปากหลิวจูวาดยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย “คุณหนูเจ้าคะ พวกเรานี่ยิงเกาทัณฑ์นัดเดียวได้เหยี่ยวสองตัว [3] ท่านเป็นเฒ่าประมงได้กำไร [4] เสียจริงนะเจ้าค่ะ! ไม่เพียงทำลายชื่อเสียงของเว่ยเหม่ยเจีย ทั้งยังลากนังสารเลวซูจิ่นซีลงน้ำไปด้วย”
มุมปากของฮั่วอวี้เจียวยกยิ้มขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง “ไม่ใช่สอง แต่เป็นยิงเกาทัณฑ์นัดเดียวได้เหยี่ยวสามตัว! ”
“ยิงเกาทัณฑ์นัดเดียวได้เหยี่ยวสามตัว? ” หลิวจูไม่เข้าใจเล็กน้อย
“หึ เว่ยเหม่ยเจียเป็นนังร่านคนหนึ่ง คิดว่าตนเองเป็นคนข้างกายเฉินไท่เฟย จึงมักจะประจบประแจงต่อหน้าโยวอ๋องไม่น้อย ครานี้เป็นพระเจ้าที่ต้องการประทานบทลงโทษให้นางเอง คงโทษผู้อื่นไม่ได้ นางสูญเสียความบริสุทธิ์และชื่อเสียง ข้าจะดูสิว่าในอนาคตนางจะสมปรารถนากับโยวอ๋องได้อย่างไร”
“ก็จริงนะเจ้าคะคุณหนู! เช่นนี้เราก็หมดคู่แข่งไปอีกราย รอให้ซูจิ่นซีถูกดึงลงจากตำแหน่งพระชายาโยวอ๋องและออกไปจากจวนโยวอ๋อง ถึงเวลานั้นท่านต้องเป็นที่โปรดปรานของโยวอ๋องอีกครั้ง จากรูปลักษณ์ที่สวยสะพรั่งและสง่างามของคุณหนู โยวอ๋องต้องหลงใหลท่านอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
แม้หลิวจูจะพูดเหมือนทุกอย่างช่างง่ายดาย ทว่าฮั่วอวี้เจียวไม่ใช่คนโง่ ในใจนางรู้ดีว่าหากต้องการเป็นสตรีที่เยี่ยโยวเหยาโปรดปรานจะง่ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน?
ทว่าหลิวจูพูดถูก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางจะต้องลากซูจิ่นซีลงมาจากตำแหน่งพระชายาโยวอ๋องให้ได้
บัดนี้นางเป็นเช่นนี้แล้ว ในอนาคตโอกาสระหว่างเยี่ยโยวเหยาคงยิ่งน้อยลงไปอีก
นางไม่ได้คาดหวังอีกต่อไปแล้วว่าจะได้เป็นสตรีของเยี่ยโยวเหยา ทว่าเมื่อนางไม่ได้ ซูจิ่นซีก็อย่าหวังเลย
แม้เปลวไฟในวันนั้นจะไม่ได้ไหม้ใบหน้าของฮั่วอวี้เจียว ทว่าร่างกายของนางแทบไม่มีชิ้นดีเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนที่มืดมิดเช่นนี้ ลำคอที่เผยออกอย่างแผ่วเบาภายใต้คอเสื้อและแขนที่อยู่ด้านนอกแขนเสื้อนั้นดูน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
ในจวนโยวอ๋อง ซูจิ่นซีพาเยี่ยโยวเหยาที่สลบไม่ได้สติกลับมาถึงตำหนังฝูอวิ๋นแล้ว นางได้ทำการถอนพิษให้เยี่ยโยวเหยาแล้วเช่นกัน
ผ่านไปไม่นาน เยี่ยโยวเหยาจึงค่อยๆ ฟื้นสติขึ้นมา
“เยี่ยโยวเหยาเพคะ เกิดอันใดขึ้นกันแน่? เหตุใดท่านจึงถูกพิษหมดสติไปอย่างกะทันหันเล่า? อาหารเหล่านั้นที่พวกเราทานในคืนนี้ หม่อมฉันไม่พบอุบายอันใดเลยนะเพคะ! ”
……