สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1112 สาวใช้ตัวแสบ 1016

ตอนที่ 1112 สาวใช้ตัวแสบ 1016
เดิมทีเซี่ยชีหรั่นเตรียมตัวจะพาเนี่ยนโม่กลับไปแล้ว แต่ฝู้เฟิ่งหยีกับจิ่วจิ่วพยายามทุกหนทางเพื่อให้พวกเธออยู่ต่อ คิดซะว่าทำเพื่อเย่เชินหลินก็ได้ และสุดท้ายเนี่ยนโม่ก็ได้ขอร้องเธอด้วย เซี่ยชีหรั่นจึงจำเป็นต้องอยู่บ้านตระกูลเย่ต่อ
ฝู้เฟิ่งหยีรู้สึกดีใจมาก เธอจึงรีบไปย้ายข้าวของของเซี่ยชีหรั่นและเนี่ยนโม่เข้ามาโดยไม่พูดอะไรสักคำ……
ถึงอย่างไรก็ตาม คนอื่นยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเธอเอาไว้ เซี่ยชีหรั่นจึงใช้เวลาที่ฝู้เฟิ่งหยีกับจิ่วจิ่วกำลังเล่นกับเนี่ยนโม่ เข้าไปต้มซุปไก่ดำให้เย่เชินหลินด้วยตนเอง เธอหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายเขา
ไม่คาดคิดว่าเธอเพิ่งวางถ้วยลงก็ได้ยิน “ป้อนผม” สองคำ เป็นคำพูดน้ำเสียงที่ไร้ความอบอุ่นจริง ๆ
เซี่ยชีหรั่นรู้สึกตกใจมาก แต่เห็นเย่เชินหลินที่อ่อนเพลียอยู่ เธอจึงถือถ้วยซุปไก่ดำขึ้นมาแล้วป้อนให้เขาทีละคำจนหมดถ้วย เขากินมันจนหมดเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งที่เชื่อฟัง
ถ้าเย่เชินหลินเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกก็คงดีแค่ไหน เซี่ยชีหรั่นคิดว่าความรักความสัมพันธ์ของเธอกับเขานี้สามารถเขียนเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้แล้ว
“อย่าเพิ่งไปสิ นั่งลงก่อน” เสียงแผ่วเบานั้นได้หยุดเซี่ยชีหรั่นที่กำลังจะเข้าไปล้างถ้วยในห้องครัว เธอจึงนั่งลงข้าง ๆ แล้วก้มหัวลงอย่างไม่พูดอะไรสักคำ
แต่กลับเป็นเย่เชินหลินที่ถามเธอก่อน “คุณเกลียดผมไหม?”
เซี่ยชีหรั่นพยักหน้าเบา ๆ จะไม่ให้เธอเกลียดได้อย่างไร? อดีตที่ผ่านมาเธอแค่คิดก็เหมือนถูกมีดบาดในใจแล้ว ผู้ชายตรงหน้าคนนี้เองที่เป็นคนมอบทุกอย่างให้กับเธอ
“แล้วคุณยังรักผมไหม?” เย่เชินหลินถามต่อ เขารู้สึกเศร้าใจมากและต้องการรู้คำตอบนี้ให้ได้
ในตอนแรกเซี่ยชีหรั่นส่ายหัวก่อน จากนั้นเธอค่อย ๆ พยักหน้า อารมณ์ที่ซับซ้อนแบบนี้เกิดขึ้นกับเธอบ่อยครั้ง เธอทั้งเกลียดทั้งรักเขา เธอเกลียดความเหี้ยมโหดและความเย็นชาของเย่เชินหลิน แต่ก็รักเขาที่ยอมเสียสละตนเองเพื่อช่วยชีวิตเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“งั้นคุณออกไปได้ละ” เย่เชินหลินรู้อยู่แก่ใจว่าชีวิตที่เหลือเขาควรเดินอย่างไรต่อ เขาเชื่อว่าเวลาจะเป็นคำตอบที่ดีสำหรับเธอ
เซี่ยชีหรั่นลุกขึ้นยืนและเธอก็ยังกังวลเรื่องขาของเขามาก เธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้นะ ฉันเชื่อว่าขาของคุณต้องหายดี”
“คุณสงสารผมอยู่เหรอ?” จู่ ๆ เย่เชินหลินก็พูดอย่างเย็นชา “ถ้าหากใช่ ผมจะบอกคุณนะว่าผมไม่ต้องการความสงสารและความเห็นใจจากใคร ถ้าหากคุณอยู่ที่นี่เพราะเห็นใจผม ผมแนะนำให้คุณไปซะดีกว่า”
น้ำเสียงของเขาเย็นชาแบบนี้เสมอ ซึ่งทำให้คนฟังแล้วน่าผิดหวังมาก
เซี่ยชีหรั่นไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น เมื่อเย่เชินหลินพูดแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เธอเครียดมากขึ้น เธอจึงเดินออกไปจากห้องทันทีโดยที่ไม่ตอบคำถามเขา หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงแก้วแตกดังขึ้นในห้อง
ต้องเป็นแบบนี้ทุกครั้งเลยหรือ? ทุกครั้งพวกเขาต้องโจมตีซึ่งกันและกัน เย่เชินหลินเป็นคนคิดมาก ส่วนเธอเซี่ยชีหรั่นก็เป็นคนปากแข็ง ถ้าเธออยู่ต่อแล้วเธอกับเขาจะมีความสุขจริง ๆ หรือ?
หลาย ๆ ครั้งคำพูดของเย่เชินหลินก็ทำให้เซี่ยชีหรั่นรู้สึกแย่มาก เธอไม่เข้าใจจริง ๆ เลยว่าทำไมสวรรค์ถึงต้องส่งสัตว์ประหลาดตัวนี้ลงมายังโลก เมื่อกี้นี้เธอไม่มีเจตนาอย่างที่เขาพูดเลยจริง ๆ
เย่เชินหลินที่อยู่ในห้องก็ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ เขาเกลียดตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ในตอนนี้ เขาอยากลุกขึ้นและดึงเซี่ยชีหรั่นมากอดไว้ เขาอยากบอกเธอว่าเธอคือทุกสิ่งสำหรับเขา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเธออีก
ตอนนี้เขาต้องการเธอเท่านั้น แต่เมื่อทุกครั้งที่คำพูดออกจากปากความรู้สึกมันก็เปลี่ยนไป เขาอดไม่ได้ที่จะโกรธตัวเอง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปความเข้าใจผิดระหว่างเขาทั้งสองก็คงมีแต่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้งสองมีความคิดของตัวเอง แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในใจของกันและกันคืออะไร?
ต่อให้เป็นแบบนี้ เซี่ยชีหรั่นยังคงแบกความรับผิดชอบในการดูแลเย่เชินหลิน แม้ว่าเธอจะไม่ตรงต่อเวลาเท่ากับสาวใช้ในบ้านก็ตาม แต่บางทีเธอก็ลงมือปรุงซุปที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายให้เขากับมือ เธอพาเนี่ยนโม่เข้าไปหาเขาบ่อย ๆ และนวดเท้าให้เขาเพื่อพยายามให้ขาของเขานั้นฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
เกือบสองสัปดาห์ผ่านไป แม้ว่าเย่เชินหลินไม่ได้พูดอะไรมาก แต่เห็นได้ชัดว่าร่างกายของเขานั้นฟื้นตัวได้เร็วพอสมควร ฝู้เฟิ่งหยีและจิ่วจิ่วที่เห็นต่างก็มีความสุข
โดยเฉพาะสีหน้าของเขาดูดีขึ้น ไม่ได้ซีดเซียวเหมือนที่ผ่านมา ต้องชมผลงานของเซี่ยชีหรั่นที่เคยดูแลเขา! ทุกคนต่างก็เห็นและจดจำมันไว้ในใจ
จนกระทั่งวันหนึ่ง มีสายโทรเข้าจากบริษัทเครื่องประดับแฟชั่น ทำให้เซี่ยชีหรั่นวุ่นวายจนไม่มีเวลากินอาหารเช้า เธอฝากเนี่ยนโม่ให้จิ่วจิ่วช่วยดูแลแล้วรีบออกเดินทางไปบริษัททันที!
ณ ขณะนี้ บริษัทเครื่องประดับแฟชั่นทั้งหมดถูกห่อหุ้มด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียด รวมถึงบริษัทที่อยู่ในเคลือของเธอมากกว่าสิบบริษัท ใบบรรดาบริษัทเหล่านั้นยังมีบริษัทระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียงด้วย
ทันทีที่เซี่ยชีหรั่นเข้าไปในบริษัท ผู้ช่วยของเธอก็รีบนำเอกสารมาให้ “ประธานเซี่ยคะ ครั้งนี้บริษัทแฟชั่นคิวบ์เสนอซื้อกิจการบริษัทเครื่องประดับแฟชั่นของเรา เดิมทีเราไม่เห็นด้วย ใครอยากทำการร่วมมือกับพวกเขาล่ะ? แต่ท่านช่วยดูเอกสารนี้หน่อยค่ะ เอกสารลับของบริษัทเราถูกขโมยออกไป เขาไม่เพียงแต่เอาไปใช้เป็นประโยชน์ แต่ในทางกลับกัน พวกเขายังฟ้องเราสำหรับความผิดการละเมิด ตอนนี้เราได้ส่งเรื่องให้ทางทนายความไปดำเนินเรื่องต่อแล้วค่ะ”
หลังจากได้รับเอกสารกองนั้น เซี่ยชีหรั่นอ่านอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่เธอด้วยความตื่นเต้น
“ถ้าต้องการขึ้นศาลเราก็พร้อมสู้ คนบริสุทธิ์ยังไงก็ไม่แพ้อยู่แล้ว แต่ที่ฉันอยากรู้คือเอกสารภายในของบริษัทเรารั่วไหลออกไปได้ไง? แล้วเหตุการหลีกเลี่ยงภาษีนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?”
เราต้องรู้ว่าเหล่าทนายความเป็นกลุ่มคนที่ใช้ประโยชน์จากกฎหมายอยู่แล้ว ถ้าคุณทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ แล้วจะมีช่องโหว่ให้คนร้ายทำสำเร็จได้ไง?
ณ ตอนนี้ ผู้ถือหุ้นเก่าสองสามคนไม่สามารถทนนิ่งได้อีก พวกเขาจึงพูดขึ้นมา “นี่เป็นเรื่องหลายปีก่อนแล้ว ตอนนั้นบริษัทเครื่องประดับแฟชั่นเพิ่งเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ จึงใช้เส้นสายกับทางรัฐแล้วเลี่ยงภาษีไป ตอนนี้เราสามารถชดเชยภาษีย้อนหลังได้ แต่ค่าปรับมันไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ เลยสิ ตามความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ควรถูกขุดออกมาพูดด้วยซ้ำไป”
อย่างที่คาดไว้!
อารมณ์ของเซี่ยชีหรั่นแทบจะลุกเป็นไฟ สิ่งที่บริษัทกลัวที่สุดคือเรื่องการเลี่ยงภาษี เพราะอาจจะทำให้ผู้ค้าสูญเสียงความไว้วางใจได้ แม้ตอนนั้นบริษัทเพิ่งเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ แต่สิ่งที่ควรให้ความสำคัญที่สุดคือปัญหาเหล่านี้!
คิด ๆ แล้วเซี่ยชีหรั่นจึงถามต่อ “เท่าไหร่?”
“รวมทั้งหมดน่าจะเป็นหลักพันล้าน” ผู้ถือหุ้นเก่าคนหนึ่งพูดด้วยความผิดหวัง
หลักพันล้าน! นั่นเป็นหุ้นเกือบทั้งหมดที่บริษัทแฟชั่นคิวบ์ถืออยู่ ณ ปัจจุบันเลยนะ
“แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือตอนนี้ยอดขายของพวกเขาแซงหน้าเราไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เกรงว่าจะทำลายสถิติของเรา อีกอย่างบริษัทแฟชั่นคิวบ์ยังมาเสนอซื้อกิจการของเราในเวลานี้ด้วย” ผู้ช่วยอีกฝ่ายกำลังเตือนทุกคนอยู่
ถ้าแบบนี้ก็เห็นจุดประสงค์ของเขาได้ชัดเจนมากขึ้น บริษัทแฟชั่นคิวบ์ตั้งใจมาเพราะบริษัทเครื่องประดับแฟชั่นจริง ๆ ถ้าเขาต้องการซื้อกิจการของบริษัทพวกเขา การที่มีข่าวแบบนี้ปล่อยออกมาก็เห็นได้ชัดว่ามันเป็นวิธีการชั่วร้ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขาวิธีหนึ่ง ถ้ามองในแง่ร้ายมันคือวิธีที่ตรงจุดและส่งผลกระทบอย่างแท้จริง
ในฐานะบริษัทคู่ค้า สวีเห้าเซิงได้ลองคำนวณการสูญเสียของเขาแล้ว ถ้าเขาและบริษัทคู่ค้าอื่น ๆ ถอนหุ้นในตอนนี้ การสูญเสียต่อพวกเขานั้นเป็นเพียงเรื่องเล็ก
แต่สำหรับบริษัทเครื่องประดับแฟชั่นแล้วเป็นเรื่องใหญ่มาก แน่นอนว่าบริษัทคู่ค้าอื่น ๆ ก็คิดเหมือนเขา ผู้นำหลาย ๆ บริษัทก็ได้ออกมาพูดในเวลานี้ “เพื่อผลประโยชน์ของบริษัทเรา ผมเลือกที่จะถอนหุ้นทั้งหมด ต้องขออภัยคณะกรรมการทุกท่านด้วยนะครับ”
“ผมเองก็เหมือนกัน ฉันเองก็เหมือนกัน”
“ใช่ครับ ผมเองก็ขอเลือกที่จะถอนหุ้นออกก่อนดีกว่าครับ สถานการณ์แบบนี้เซฟตัวเองจะดีกว่า”
หลังจากนั้นมีบริษัทคู่ค้ามากกว่าสิบบริษัทขอถอนหุ้นออกด้วยเหตุผลเดียวกัน ต่างก็ให้เลขาส่วนตัวนำเอกสารสัญญามาให้บริษัทเครื่องประดับแฟชั่นเซ็นอนุมัติ!
มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ลุกขึ้นยืนคือสวีเห้าเซิง เขาต้องการให้การสนับสนุนและให้กำลังใจกับเซี่ยชีหรั่นในเวลานี้ สำหรับเธอแล้วมันเป็นความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่มาก ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถก้าวผ่านอุปสรรคนี้ไปได้ เขาเชื่อว่าเซี่ยชีหรั่นต้องรู้สึกดีต่อเขามากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายก็ได้ตามมา ผู้ช่วยหลายคนวิ่งเข้าไปในห้องประชุมอย่างเร่งรีบแล้วพูดด้วยน้ำเสียงตึงเครียด “แย่แล้ว แย่แล้วค่ะ! หุ้นดิ่งลงอย่างรวดเร็วเลย หุ้นของบริษัทเครื่องประดับแฟชั่นดิ่งลงอย่างเดียวเลยค่ะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ ทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์ก็รู้สึกแย่กันไปหมด ราคาหุ้นตกลงอย่างรวดเร็วแบบนั้น มันก็หมายถึงเงินที่ลงทุนไปทั้งหมดจะหายไป……ไม่มีโอกาสแม้แต่คืนทุนด้วยซ้ำ
“แล้วยังรออะไรอีก! รีบถอนสิ กูยังหวังว่าจะได้รับเงินปันผลสักหน่อย ตอนนี้ขาดทุนจนแทบไม่เหลือเงินต้นแล้ว!” คนในร้อนคนหนึ่งเริ่มทนไม่ไหวจนพูดจาหยาบคาย เขาโยนหนังสือสัญญาลงต่อหน้าเซี่ยชีหรั่น แล้วให้เธอเซ็นอนุมัติถอนหุ้นให้เขาทันที!
หินก้อนเดียวทำให้น้ำเป็นคลื่นปั่นป่วนไปหมด ทุกคนต่างลุกขึ้นแล้วโยนเอกสารดังกล่าวออกมา ต่างก็โวยวายที่จะยกเลิกสัญญาและเรียกร้องให้คืนเงิน!
ทุกอย่างเกิดขึ้นสั้น ๆ เพียงแค่สิบนาที เซี่ยชีหรั่นรู้สึกหนักใจจนแทบทนไม่ไหวกับปัญหาอันล้นหลามนี้ แต่การหนีปัญหาไม่ใช่หนทางอย่างแน่นอน ดังนั้น เธอทำได้เพียงพยายามแก้ไขมัน ใช้เวลาที่น้อยที่สุดเพื่อกู้คืนความสูญเสียให้ได้มากที่สุด
แต่เมื่อมองคนกลุ่มนี้ที่กำลังจะหนีไป เซี่ยชีหรั่นไม่รู้จริง ๆ ว่าจะยื้อพวกเขาไว้ได้อย่างไร
สวีเห้าเซิงยืนขึ้นและพูด “ทุกคนใจเย็น ๆ กันก่อน ทุกคนไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้มันผิดปกติไปหน่อยเหรอ? ปัญหาทุกอย่างมันมุ่งเข้ามาที่บริษัทเครื่องประดับแฟชั่นของเราอย่างเดียวเลย พฤติกรรมดังกล่าวของคนร้ายใครจะไปทนได้ล่ะ? ผมว่านะ ตอนนี้เราควรร่วมมือกันเพื่อล้มคนร้ายจะดีกว่านะ!”
“ถ้าพูดถึงเหตุผลพวกเราทุกคนก็เข้าใจดี แต่ใครจะชดใช้ค่าเสียหายของพวกเราล่ะ? บริษัทแฟชั่นคิวบ์มีปัญญาล้มพวกคุณได้ แล้วเจ้าเล็ก ๆ อย่างพวกเราจะไม่เป็นเรื่องกล้วย ๆ สำหรับเขาเหรอ? เราจะไม่กังวลได้เหรอ?” คนหัวร้อนตะโกนพูดด้วยความไม่พอใจ
ในโลกนี้ เรื่องทรัพย์สินเงินทองเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าไม่มีเงินชีวิตที่สุขสบายจะมาจากไหน?
สิ่งที่ทำให้คนอื่นพูดไม่ออกก็คือ ในคนกลุ่มนี้มีนักลงทุนวัยรุ่นหลาย ๆ คนที่เพิ่งสร้างตัวได้ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นเคยใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นมาก่อน นั่นคือชีวิตที่แย่มาก เชื่อว่าพวกเขาไม่ต้องการย้อนเวลากลับไปอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ! คนที่ต้องการถอนหุ้นมาที่นี่ ฉันกับผู้ถือหุ้นเก่าจะลงนามพร้อมกัน เสร็จแล้วพวกคุณก็ออกไปได้ ส่วนคนที่ยังไม่ถอน พวกเรามาใช้เวลาหารือเกี่ยวกับวิธีแก้ไขปัญหานี้ บริษัทแฟชั่นคิวบ์ต้องมีความลับและสิ่งที่เปิดเผยไม่ได้อยู่ข้างในอย่างแน่นอน ถ้าเราหามันเจอ เชื่อว่าเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างแน่นอน” เซี่ยชีหรั่นยืนขึ้นแล้วพูดกับพวกเขา จึงทำให้สถานการณ์ที่วุ่นวายนั้นได้คลี่คลายลง

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset