สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1207 แม่บ้านของคุณชายเย่ 1111

ฟืบ ฟืบ ฟืบ มีเสียงส่งมาจากพุ่มหญ้า ทันใดนั้นก็มีกระต่ายขนสีเทากระโดดออกมา เซี่ยชีหรั่นตะโกนเรียก “กระต่าย!”
เซี่ยชีหรั่นวิ่งตามกระต่ายไปและพยายามจับมันด้วยสองมือ เธอกระโดดไปข้างหน้าแล้วล้มลงกับพื้นบนหญ้าอันเขียวขจี ไม่เพียงแต่จับกระต่ายไม่ได้ แต่เธอลุกขึ้นอีกครั้งโดยที่มีเศษหญ้าติดเต็มใบหน้าและปากของเธอ
เย่เชินหลินไม่ได้เข้ามาช่วยเธอ แต่เขากลับยืนหัวเราะอยู่ข้าง ๆ เซี่ยชีหรั่นคายเศษหญ้าด้วยความโมโหตัวเองแล้ววิ่งตามกระต่ายตัวนั้นไปต่อ ส่วนเย่เชินหลินเดินตามเธอมาจากด้านหลังอย่างใจเย็น
ในท้ายที่สุดก็เป็นเย่เชินหลินที่เป็นคนจับกระต่ายสีเทาตัวนั้นได้ ทั้งสองได้กินมื้อเย็นที่เป็นอาหารป่าด้วยรสชาติที่ไม่ค่อยคุ้นชินสักเท่าไหร่ ค่ำคืนค่อย ๆ ใกล้เข้ามาอย่างเงียบ ๆ เซี่ยชีหรั่นพิงไหล่ที่เปรียบเสมือนหมอนแล้วมองดูท้องฟ้าสีครามเข้มอย่างสุขใจ
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสว่างไสวซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ในเมือง เซี่ยชีหรั่นพูดด้วยความประหลาดใจ “ที่นี่มีหิ่งห้อยด้วย!”
หิ่งห้อยบินเต็มบนพื้นหญ้าสีเขียวเข้ม พร้อมกับธรรมชาติที่ชวนหลงใหลและโรแมนติกเป็นพิเศษ เซี่ยชีหรั่นยิ้มพูด “คงไม่มีสักกี่คนที่จะมีโอกาสได้มาใช้ชีวิตบนเกาะร้างแห่งนี้หรอกมั้ง”
เย่เชินหลินมองไปที่เซี่ยชีหรั่นด้วยสายตาที่อ่อนโยน แต่เสียงฝีเท้าบนพื้นหญ้าได้ทำลายบรรยากาศอันอ่อนโยนของฉากนั้นไปทันที เย่เชินหลินกอดเซี่ยชีหรั่นไว้แน่น ๆ และเฝ้าดูผู้มาเยือนอย่างระแวดระวัง
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีขนนกสีขาวยาวบนหน้าผากมองไปที่พวกเขาแล้วถามว่า “พวกคุณมากับพวกเขาใช่ไหม?”
ดวงตาของเย่เชินหลินหันไปเล็กน้อยและเขารู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นกำลังหมายถึงManuelและฉินเฟิง เซี่ยชีหรั่นมองที่ชายหนุ่มคนนั้น จากนั้นหันไปถามเย่เชินหลินว่า “คนพื้นที่ควรจะสวมใส่ชุดที่ทำมาจากใบตองแล้วถือไม้และเอาแต่โห่ตะโกนไม่ใช่เหรอ?”
แม้เซี่ยชีหรั่นจะพูดเสียงเบา แต่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็ได้ยินเสียงเธอ ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มพูด “คนพื้นที่ก็จะก้าวไปตามกาลเวลาเช่นกัน”
ยังมีคนกลุ่มน้อยที่พักอาศัยอยู่กลางเกาะนี้ ชีวิตการเป็นอยู่ของพวกเขาไม่ได้แตกต่างจากโลกภายนอกมากนัก เมื่อเห็นเย่เชินหลินและเซี่ยชีหรั่นทุกคนต่างก็พากันเข้ามาดู
“พี่เชินหลิน” เสี่ยวฉุนร้องเรียกหาเย่เชินหลินด้วยสีหน้าซีดเซียว จากนั้นเธอรีบคว้าแขนของเซี่ยชีหรั่นไว้แล้วพูดต่อ “พี่เซี่ย หนูใจหายหมดเลย เสียดายที่หนูว่ายน้ำไม่เป็น ไม่งั้นหนูจะกระโดดลงไปช่วยพี่อย่างแน่นอน”
“พอที” เย่เชินหลินไม่ได้พูด แต่เป็นฉินเฟิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วมองเสี่ยวฉุนด้วยความโกรธและได้พูดต่อ “เธอจะรู้บ้างไหมว่าการที่ตกลงไปในน้ำลึกแบบนั้นอาจจะทำให้ไม่มีวันได้ลืมตามองโลกอีก!”
เสี่ยวฉุนตกใจกลัวจนเงียบไป เย่เชินหลินพูดเบา ๆ ว่า “ส่งเธอขึ้นเครื่อง”
จางเฟิงอี้ก็รู้สึกโกรธมาก เขาลากตัวเสี่ยวฉุนไปโดยที่ไม่รอช้า “ขอร้องแล้วล่ะ พี่เชินหลินหนูขอร้อง หนูไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ นะ ให้หนูอยู่ต่อเถอะ!”
เสี่ยวฉุนร้องไห้โวยวาย Manuelขมวดคิ้วแล้วพูด “ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้หรอก”
สายตาอันเย็นเยือกของเย่เชินหลินกวาดมองมาที่Manuel ทำให้Manuelเย็นยะเยือกจนไม่กล้าขยับตัว
“หัวหน้าเผ่าของเราไม่อยู่ อีกสามวันถึงจะกลับมา พวกคุณอาจจะต้องรอถึงสามวันนะ” ผู้ชายที่พาเซี่ยชีหรั่นและเย่เชินหลินมาพูดกับทุกคนอย่างขอโทษ
ลมเบา ๆ ในยามค่ำคืนทำให้เซี่ยชีหรั่นค่อย ๆ นอนหลับไป “ชีหรั่น” ฉินเฟิงเอาเสื้อคลุมให้เซี่ยชีหรั่นแล้วมองเธอด้วยความอ่อนโยน
นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยชีหรั่นได้อยู่กับฉินเฟิงสองต่อสองหลังจากที่รู้จักตัวตนของเขา เซี่ยชีหรั่นไม่รู้จะแสดงสีหน้าต่อฉินเฟิงอย่างไร เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉินเฟิงเข้ามาหาเธอด้วยความตั้งใจหรือไม่
“ครั้งแรกที่พวกคุณมาถึงโรงแรม ผมไม่รู้สถานะของพวกคุณจริง ๆ เลยนะ แต่สถานที่แบบนั้นคงเรียกว่าโรงแรมไม่ได้หรอก” ฉินเฟิงก้มหน้ามองตาเซี่ยชีหรั่นแล้วพูดต่อ
“แต่เรื่องที่พวกคุณถูกจับไปในสนามล่าสัตว์เป็นฝีมือผมเอง เดิมทีผมคิดว่าพวกคุณเป็นคนของManuel แต่เมื่อเห็นดาวสิบสามดวงแล้วผมก็รู้ว่าพวกคุณต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ดังนั้นผมจึงจับพวกคุณไปที่สนามล่าสัตว์เพื่ออยากลองดูว่าพวกคุณจะเอาตัวรอดในช่วงเวลาแห่งความเป็นและความตายได้อย่างไร”
“คุณไม่รู้สึกเกินไปหน่อยเหรอที่เอาชีวิตคนไปเล่นตามอำเภอใจแบบนี้” เซี่ยชีหรั่นขัดจังหวะฉินเฟิง
ฉินเฟิงผงะแล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “ในโลกใบนี้ไม่ยุติธรรมโดยเนื้อแท้อยู่แล้ว เพียงแต่ผู้คนต่างก็ใช้ความหวานของน้ำผึ้งมาห่อหุ้มสังคมนี้เพื่อให้ทั้งหมดดูเหมือนยุติธรรมก็เท่านั้น”
เซี่ยชีหรั่นพยายามจะหักล้างความคิดนั้น แต่ก็พบว่าตัวเองไม่สามารถโต้เถียงได้อีก บางคนอาศัยอยู่บนขอบเขตแห่งความยากจน ส่วนบางคนเกิดมาในกองเงินกองทอง
“แย่แล้ว มีคนตายในป่า” สตรีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาแล้วตะโกนด้วยความตกใจ
เซี่ยชีหรั่นและฉินเฟิงรีบออกไปที่ขอบหน้าผาแล้วเห็นชายวัยกลางคนเบิกตากว้างและมองไปข้างหน้าด้วยความหวาดกลัว
เย่เชินหลินมาถึงเป็นคนสุดท้าย Manuel เหลือบมองเขาแล้วถามลอย ๆ “ที่พักคุณอยู่ใกล้ที่นี่มากที่สุด ทำไมคุณเป็นคนสุดท้ายที่มาถึงที่นี่”
เย่เชินหลินตอบเบา ๆ “ผมไม่จำเป็นต้องรายงานเรื่องส่วนตัวให้คุณทราบ”
ฉินเฟิงนั่งลงแล้วดูแผลของผู้ตาย จากนั้นส่ายหัว “ดูเหมือนเขาจะถูกแทงด้วยของมีคม คนแทงต้องแข็งแรงมาก มันต้องเป็นฝีมือของผู้ชายถึงจะทำได้”
สายตาของคนในพื้นที่ต่างก็มองไปที่คนแปลกหน้าเหล่านี้ จากนั้นมีคนพูดขึ้นมา “ที่นี่ไม่เคยเกิดเหตุแบบนี้มาก่อนเลย ทำไมพวกคุณมาถึงวันแรกก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเสียแล้ว”
คำพูดของคนในพื้นที่ทำให้คนกลุ่มนี้ต่างก็ต้องตึงเครียดกันหมด ทั้งสองฝ่ายเหมือนกำลังจะเกิดสงครามกัน เซี่ยชีหรั่นรีบออกมาอธิบาย “งั้นพวกเราพูดต่อหน้าทุกคนว่าในช่วงเวลาที่เกิดเหตุพวกเราแต่ละคนทำอะไรกันอยู่ดีไหม? ฉันกับฉินเฟิงกำลังคุยกัน”
เย่เชินหลินหันไปมองเซี่ยชีหรั่นอย่างประหลาดใจ “คุณกับฉินเฟิง?”
ฉินเฟิงเกรงว่าเย่เชินหลินจะเข้าใจผิด เขาจึงรีบอธิบาย“ผมผ่านไปพอดี จึงนั่งคุยกัน”
Manuel ยักไหล่อย่างเฉยเมย “ผมกำลังขอยากันยุงกับพี่ชายคนนั้นอยู่ที่นี่น่ารำคาญมาก” หลังจากพูดจบเขาก็เกาแขนต่อ ชายข้างเขาก็พยักหน้าตอบ
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เย่เชินหลิน เย่เชินหลินค่อย ๆ พูดทีละคำด้วยความเย่อหยิ่ง “ถ้าผมอยากฆ่าเขาล่ะก็ ผมจะฆ่าให้ทุกคนได้เห็นอย่างแน่นอน”
ไม่มีใครกล้าสงสัยเย่เชินหลินต่อ เพราะเขาพูดความจริง ผู้ชายคนนี้ไม่จำเป็นต้องทำวิธีสกปรกแบบนี้
“พวกคุณควรมีผู้หญิงอีกหนึ่งคนและผู้ชายอีกหนึ่งคนสิ” เสียงในฝูงชนดังขึ้น
“เขาทั้งสองไปแล้ว ไม่น่าจะเกี่ยวข้องด้วยหรอก” เซี่ยชีหรั่นรีบอธิบาย เรื่องราวที่ค้างคาใจทำให้ทุกคนไม่มีกะจิตกะใจกินมื้อเย็นเลย เซี่ยชีหรั่นนอนอยู่บนเตียงแล้วพูดกับเย่เชินหลินด้วยความลังเล “หรือว่าเราไปจากที่นี่กันเถอะ”
มือข้างหนึ่งของเย่เชินหลินที่กำลังเปิดหนังสืออ่านอยู่ยื่นเข้ามาลูบเส้นผมอันนุ่มนวลของเซี่ยชีหรั่นเบา ๆ “ไม่ต้องกังวลหรอก”
เซี่ยชีหรั่นถอนหายใจแล้วพูดต่อ “ฉันรู้สึกใจไม่ดีเลย”
เย่เชินหลินปิดหนังสือแล้วดึงเธอมากอดไว้ จากนั้นใช้จูบที่อ่อนโยนที่สุดหยุดคำพูดต่อไปของเซี่ยชีหรั่น “ถ้าคุณจะคิดไปเรื่อยเปื่อย งั้นเรามาทำอะไรที่มีความหมายมากกว่านี้ดีกว่า”
เสียงเคาะประตูอย่างรุนแรงทำให้เซี่ยชีหรั่นตื่นขึ้นมาในห้วงนิทรา เย่เชินหลินที่นอนอยู่ข้าง ๆ ไม่รู้หายไปไหน Manuel เปิดประตูแล้วเดินเข้ามาทันที จากนั้นเขามองไปรอบ ๆ ห้องแล้วพูดกับเซี่ยชีหรั่น “เย่เชินหลินเป็นบุคคลอันตราย คุณอย่าอยู่ใกล้เขามากเกินไปนะ”
เซี่ยชีหรั่นตะลึงหยุดไปสักพักแล้วถามต่อ “ทำไมถึงพูดแบบนั้น”
Manuel กัดฟันแล้วพูดต่อ “วันนั้นผมเห็นเขากลับไปคนเดียว หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นเลย”
เมื่อเซี่ยชีหรั่นได้ยินแล้วพยักหน้าเบา ๆ เธอไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าใด ๆ “ฉันรู้แล้ว ขอบคุณนะ”
Manuelมองเซี่ยชีหรั่นอย่างประหลาดใจ จากนั้นก็พูดต่อ “ผมเป็นห่วงถึงความปลอดภัยของคุณมากกว่า”
เซี่ยชีหรั่นขยี้ตาเบา ๆ แล้วพูดอย่างมั่นใจ “ไม่ว่าเย่เชินหลินจะทำอะไร ฉันเชื่อว่าเขาจะไม่ทำร้ายฉัน”
“แล้วแต่!” Manuel หันไปด้วยความโกรธและเห็นเย่เชินหลินยืนกอดอกมองเขาด้วยความสนใจอยู่หน้าประตู
เย่เชินหลินเดินเข้าไปกอดเซี่ยชีหรั่นไว้ เขาหยุดที่ประตูเพื่ออยากรู้ว่าเซี่ยชีหรั่นจะมีปฏิกิริยาอย่างไร จากนั้นเขายิ้มพูดกับเธอ “ดีขึ้นแล้วนี่ ยอมเชื่อผมได้สักทีนะ”
รอยยิ้มของอีกฝ่ายทำให้เซี่ยชีหรั่นอารมณ์ดีขึ้น ทั้งสองใช้เวลาทั้งเช้าอย่างมีความสุข ทันใดนั้นมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นจากนอกบ้าน เย่เชินหลินและเซี่ยชีหรั่นมองหน้ากันแล้วรีบออกไปอย่างเร่งรีบ
ตรงที่ไม่ไกลจากหน้าผานั้นอีกแล้ว มีคนกำลังจะสลบไป ส่วนฉินเฟิงกำลังคุยกับคนในพื้นที่ “น่าจะติดพิษงู”
“ใช่แล้ว คนเมื่อวานเอาไปตรวจที่โรงพยาบาลแล้วว่าเขาก็ติดพิษงูเหมือนกัน” ฝูงชนพล่ามพูด สายตาของ Manuel ที่มองเย่เชินหลินก็ยิ่งมีเลศนัยมากขั้น
ดูเหมือนว่าคนที่ใกล้หมดสติพยายามชี้ไปนั้น ฉินเฟิงเดินเข้าไปดึงเศษหญ้าออกแล้วเห็นดาวสิบสามดวงวางอยู่ตรงนั้น
ทันใดนั้นสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เซี่ยชีหรั่น เซี่ยชีหรั่นจึงรีบเปิดกระเป๋าคาดเอวออกและเธอก็ไม่เห็นดาวสิบสามดวงอยู่ในกระเป๋าแล้วจริง ๆ
“ไม่ใช่เซี่ยชีหรั่น” เย่เชินหลินพูดอย่างใจเย็น
“แน่นอน เรื่องแบบนี้เด็กสามขวบยังรู้ทันเลย” Manuel พูดอย่างเย้ยหยัน ฉินเฟิงหยิบกริชขึ้นมาดูอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็มองไปที่ Manuel ด้วยความตกใจ
ด้านข้างของดาวสิบสามดวงมีวงแหวนสัมฤทธิ์กระจัดกระจายไปทั่ว ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าใครเป็นเจ้าของแหวนทองสัมฤทธิ์นี้ “Manuel ที่คุณทำแบบนี้คุณตั้งใจอยากให้เซี่ยชีหรั่นถูกไล่ออกไปจากที่นี่เมื่อหัวหน้าชนเผ่ากลับมาใช่ไหม”
คำพูดของฉินเฟิงเหมือนก้อนหินที่ตกลงไปในบ่อน้ำ Manuel รู้สึกโกรธมาก ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความโหดร้าย “ฉินเฟิง นายน่าจะรู้ดีนะว่านายกำลังพูดถึงอะไรอยู่”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน” kiu ที่กักตัวอยู่แต่ในห้องพูดขึ้นมา ฉินเฟิงยิ้มแล้วมองไปที่ kiu “อะไร เห็นลูกชายคนที่สองของคุณทำผิดแล้วอยากจะช่วยเขาอีกคนเหรอ?”
Kiu รู้สึกโกรธมาก “หุบปาก”
“พอกันที” Manuel หยุดการโต้เถียงของเขาทั้งสองอย่างโกรธเคือง จากนั้นพูดด้วยอารมณ์ร้อน “ในเมื่อคุณคิดแบบนี้แล้ว ผมไปจากที่นี่ดีกว่า!”
Manuel จากไปทันทีโดยที่ไม่ได้เก็บข้าวของอะไรเลย kiu มองฉินเฟิงด้วยสีหน้าเย็นชา จากนั้นถอนหายใจแรง ๆ แล้วเดินตามเขาไป

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset