สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1380 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1280

เย่เนี่ยนโม่โกรธมาก ผู้หญิงคนนี้มักตีความหวังดีของตัวเองผิดครั้งแล้วครั้งเล่า หรือต้องให้ตัวเองทำต่อไปทั้งๆที่อีกฝ่ายเย็นชาใส่
เมื่อนั่งกลับไป เย่เนี่ยนโม่ไม่ไปสนใจติงยียีอีก ติงยียียิ่งอยู่ยิ่งประหม่า ชิงช้าสวรรค์ยิ่งอยู่ยิ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และกำลังจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว
“ไม่” ติงยียีเอ่ยขึ้นเบาๆ รู้สึกเบาไปทั้งตัว นั่งไม่นิ่ง เหมือนกับว่าล่องลอยอยู่ในอากาศ
มีเสียงถอนหายใจในอากาศ ติงยียียังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ถูกโอบเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น
มือของเย่เนี่ยนโม่ตบไปที่หลังของติงยียีเบาๆเพื่อปลอบโยน ติงยียีขยับตัว แรงที่ตบอยู่ที่แผ่นหลังของติงยียีได้เบาลง
ติงยียีซบอยู่ในอ้อมกอดของเย่เนี่ยนโม่ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี เสียงหัวใจเต้นของเย่เนี่ยนโม่ได้ลอยดังมา ทำให้ติงยียีรู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก
ทั้งคู่ไม่ทันได้สังเกตว่าชิงช้าสวรรค์ได้หยุดลงแล้ว ประตูถูกเปิดออก ไห่โจ๋ซวน เย่ชูฉิง อ้าวเสว่กับซ่งเมิ่นเจ๋ต่างจ้องมองทั้งสองอย่างตะลึงงัน
ติงยียีสะบัดเย่เนี่ยนโม่ทิ้งราวกับถูกไฟช็อต “อ้าวเฮ้ย อย่าบอกนะว่าถูกคุณกล่าวหาว่าเป็นโรคจิตอีก เมื่อกี้ผมแค่หวังดีนะ” เย่เนี่ยนโม่เห็นว่าอีกฝ่ายมองตัวเองหมดประโยชน์ก็จะสลัดทิ้ง จึงรู้สึกโมโหนิดหน่อย
“ขอบคุณ!” ติงยียีที่ก้าวออกมาจากชิงชาสวรรค์แล้ว ได้ยินดังนั้นก็หันกลับไปกล่าว จากนั้นก็วิ่งเข้าไปข้างๆซ่งเมิ่นเจ๋ราวกับกระต่ายน้อย
เมื่อสักครู่นั้นคือหน้าแดงเหรอ เย่เนี่ยนโม่ครุ่นคิด อ้าวเสว่ที่เห็นปฏิสัมพันธ์ของติงยียีกับเย่เนี่ยนโม่ ในใจนั้นได้โกรธปรี๊ดจนแทบจะเป็นลม ใครก็ได้บอกตัวเองทีว่าคนที่ชื่อติงยียีนั้นที่แท้โผล่มาจากไหนกันแน่
ตอนบ่ายซ่งเมิ่นเจ๋บีบติงยียีจนถึงติดกำแพง หยิบหมอนแล้วบังคับให้สารภาพออกมา :“บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าไปคบกับเย่เนี่ยนโม่ตั้งแต่ตอนไหน ทำไมฉันถึงไม่รู้ ยังเห็นฉันเป็นเพื่อนรักอยู่หรือเปล่า!”
ติงยียีเปิดหนังสือคำศัพท์อย่างจำใจ เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนของซ่งเมิ่นเจ๋ จากนั้นพูดย้ำอีกครั้งว่า:“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ฉันบอกไปแล้วว่า ตัวฉันลืมไปว่าตัวเองนั้นเป็นโรคกลัวความสูง ทางฝั่งนั้นก็เลยหวังดีให้ยืมไหล่ซบก็เท่านั้น”
ซ่งเมิ่นเจ๋รู้ว่าติงยียีเป็นโรคกลัวความสูงขั้นรุนแรง จึงยอมรับฟังคำพูดนี้ ถอนหายใจแล้วกล่าวขึ้น :“เธอคงไม่รู้ว่าท่าทางของอ้าวเสว่ในตอนนั้นแทบอยากจะกินเลือดกินเนื้อของเธอเลยนะ!”
ติงยียีนึกถึงอ้าวเสว่ผู้อ่อนโยน รู้สึกว่าสิ่งที่ซ่งเมิ่นเจ๋พูดนั้นเกินความเป็นจริง จึงพูดอย่างไม่เห็นด้วย :“อ้าวเสว่ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลเช่นนั้น เธออย่าไปพูดเธอแบบนั้นสิ”
ซ่งเมิ่นเจ๋นำอ้าวเสว่คนที่ยื่นสเปรย์แก้หอบหืดให้กับตัวเองอย่างอ่อนโยนกับอ้าวเสว่ที่ยืนข้างตัวเองด้วยใบหน้าที่บูดเบี้ยวมาซ้อนทับด้วยกัน ในใจฉับพลันรู้สึกว่าคนที่หน้าบูดหน้าเบี้ยวคนนั้นคือนิสัยตัวตนที่แท้จริงของอ้าวเสว่
ติงยียีเตรียมตัวที่จะกลับบ้านซ่งเมิ่นเจ๋ถึงได้ขจัดความคิดที่วุ่นวายของตัวเองนั้นออกไปจากสมอง
โรงแรมตี้เหา
เย่ชูฉิงวิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของเซี่ยชีหรั่น ตั้งแต่ที่เซี่ยชีหรั่นกับเย่เชินหลินเดินทางท่องเที่ยวรอบโลกนั้น ในแต่ละปีเกินกว่าครึ่งที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ ครั้งนี้ก็กลับมาเพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น
“หม่ามี้! คิดถึงจังเลย”
เย่ชูฉิงคลอเคลียตัวเซี่ยชีหรั่น เซี่ยชีหรั่นตบศีรษะเย่ชูฉิงเบาๆทอดถอนใจแล้วพูดขึ้น :“ชูฉิงนั้นตัวสูงกว่าแม่แล้ว จะแต่งงานออกเรือนได้อยู่แล้ว จะมาออดอ้อนออเซาะแบบนี้ไม่ได้นะ”
เย่ชูฉิงได้ยินเซี่ยชีหรั่นพูดเรื่องออกเรือน ใบหน้าก็แดงขึ้น แล้วมองไปทางไห่โจ๋ซวน เห็นไห่โจ๋ซวนกำลังคุยสนทนากันกับเย่เนี่ยนโม่ ในใจนั้นจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
สายตาของเย่เชินหลินตกกระทบไปที่แขนของเย่เนี่ยนโม่ เห็นแขนของเย่เนี่ยนโม่นั้นมีรอยสักเล็กๆ น้ำเสียงจึงเคร่งขรึมขึ้น:“ยังเด็กยังเล็กก็ไปสักลาย ไปเอาออกเดี๋ยวนี้ เหมือนกับอะไรก็ไม่รู้”
เย่เนี่ยนโม่ที่เดิมทีเห็นดีใจที่ได้เจอกับเซี่ยชีหรั่น เมื่อได้ยินเย่เชินหลินเอ่ยปากหาเรื่องตัวเอง ใบหน้าจึงไม่พอใจขึ้น จากนั้นพูด:“ยืนตรงไม่หวั่นเกรงเงาเฉเฉียง คนทำดีไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร ถ้าหากว่าการสักลายนั้นแปลว่าเป็นคนไม่ดี อย่างนั้นตำรวจก็คงจะบรรเทางานของตำรวจลงไปไม่น้อย”
“แก!” เย่เชินหลินที่กำลังจะอ้าปากสั่งสอน พ่อบ้านได้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“นายท่าย นายหญิง พวกท่านดูซิว่าใครมา”
“ชีหรั่น!” โม่เสี่ยวจุนที่ไว้หนวด เห็นแล้วดูขึงขังจริงจังขึ้น ไห่ฉิงฉิงที่ยังคงอ่อนโยนยืนอยู่ข้างโม่เสี่ยวจุน
“พี่! ไม่เจอกันตั้งนานเลยนะคะ!”เซี่ยชีหรั่นก็ดีใจมากเช่นกัน โม่เสี่ยวจุนพยักหน้า แล้วหันไปพูดกับเย่ชูหวินที่ยืนอยู่ข้างๆว่า:“เมื่อสักครู่ยังบอกว่าต้องการจะมา แต่ตอนนี้ทำไมกลับเงียบไม่พูดไม่จาล่ะ”
เซี่ยชีหรั่นยิ้มแล้พูดขึ้น:“ชูหวินดูโตขึ้นมากเลยนะ ดูมีชีวิตชีวาขึ้น”
โม่เสี่ยวจุนเห็นเซี่ยชีหรั่นมีความสุข จึงได้พูดเสริมอีกสองสามคำ:“ใช่ มีชีวิตชีวาจริงๆ อายุน้อยไม่ยอมเรียนหนังสือ กลับหนีไปแข่งรถ!”
“คุณพูดน้อยๆหน่อย”ไห่ฉิงฉิงกระตุกแขนเสื้อโม่เสี่ยวจุน ในบ้านเย่ชูหวินนั้นเป็นคนพูดน้อย ไม่ว่าโม่เสี่ยวจุนจะพูดอย่างไรก็ไม่มีปฏิกิริยา ต่างคนต่างอยู่ สองพ่อลูกก็เข้ากันได้ดี แต่ว่าเมื่ออยู่ข้างนอก อย่างไรก็ต้องไว้หน้าลูกบ้าง
“คุณอาครับ เร็วๆนี้คุณอาจะเปิดงานประเมินมณี ใช่ไหมครับ” เย่ชูหวินถามขึ้น
เซี่ยชีหรั่นพยักหน้าขึ้น แปลกใจที่เย่ชูหวินอกจากเรื่องแข่งรถแล้วก็ให้ความสนใจเรื่องอื่นด้วย
“สามารถที่จะให้บัตรผมหนึ่งใบได้ไหมครับ” เย่ชูหวินกล่าว
“ได้สิ แต่ว่าเย่ชูหวินถ้าหนูมาก็มาได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้บัตร”
เมื่อพูดเสร็จเซี่ยชีหรั่นมองเย่ชูหวิน ที่ฉับพลันในใจผุดความคิดอื่น จึงเงยหน้าขึ้นถามโม่เสี่ยวจุนกับไห่ฉิงฉิง ทั้งคู่ก็มีใบหน้าที่สับสนมึนงงเช่นกัน
:“เนี่ยนโม่ ติงยียีก็เหมือนกับเรียนสาขาออกแบบเครื่องประดับใช่ไหม” ไห่โจ๋ซวนตั้งใจเอ่ยถึงติงยียี
ตามที่คาดไว้เซี่ยชีหรั่นนั้นได้หันไปมองเย่เนี่ยนโม่จริงๆ ด้วยใบหน้าที่อยากรู้ แม้แต่เย่เชินหลินก็ยังหันมา
“ผมไม่รู้จักเธอ” เย่เนี่ยนโม่จ้องเขม็งไห่โจ๋ซวน จึงได้รีบอธิบายให้กับเซี่ยชีหรั่น
เซี่ยชีหรั่นไม่เคยได้ยินชื่อผู้หญิงคนใดจากปากของเย่เนี่ยนโม่ สำหรับติงยียีจึงเกิดสงสัยขึ้นมาทันที จากนั้นถามขึ้น :“เธอก็เรียนออกแบบเครื่องประดับเหรอ”
เย่เนี่ยนโม่นึกขึ้นได้ว่าตอนที่อยู่ในสวนสนุกได้เห็นภาพออกแบบเครื่องประดับของติงยียี ดูมีพรสวรรค์จริงๆ เซี่ยชีหรั่นถือความเงียบของเย่เนี่ยนโม่นั้นเป็นการยอมรับ จึงทอดถอนใจพูดขึ้น :“ถ้าหากว่าชอบพอกันจริงๆก็พากลับมาให้ดูตัวหน่อย พวกเรานั้นใจกว้างพอ”
“ถ้าหากว่าชอบกันจริงๆ ก็อย่าสับสน หนึ่งชีวิตตามตารักแท้หนึ่งเดียวก็พอแล้ว” เย่เชินหลินเอ่ยปากพูด สายตาที่จ้องมองเซี่ยชีหรั่นก็อ่อนโยนขึ้นทันใด
เย่เนี่ยนโม่เหลือบมองเย่เชินหลินยิ้มแล้วพูดขึ้น :“ท่านคิดว่าท่านพูดแบบนี้เหมาะสมหรือ”
เย่เนี่ยนโม่ยังคงจำไม่ลืมที่เย่เชินหลินไม่ถามไถ่แม่ของพวกเขาอยู่เป็นเวลาตั้งนาน แล้วเย่เชินหลินก็มาพูดคำเหล่านี้ เย่เนี่ยนโม่จึงตอบโต้กลับ
เย่เชินหลินที่กำลังจะดุกลับ เซี่ยชีหรั่นได้ดึงแขนเสื้อเย่เชินหลินเบาๆ
“ชูฉิง พรุ่งนี้เธอยินดีที่จะไปร่วมรับคนเข้าชมรมของมหาวิทยาลัยพวกเราไหม” หลี่ยี่ซวนเอ่ยปากชวนเย่ชูฉิง ดึงดูดความสนใจของทุกคนมาทีตัวเองและเย่ชูฉิงได้สำเร็จ
เย่ชูฉิงตัดสินใจหันไปมองดูไห่โจ๋ซวน ไห่โจ๋ซวนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แต่กลับให้กำลังใจเย่ชูฉิง :“ชูฉิงคุณไปดูการรับคนเข้าชมรมก็ดีนะ เป็นอะไรที่สนุกตื่นเต้นมาก”
ว่ากันว่าการรักใครสักคนก็จะไม่มีทางยอมให้เธอไปอยู่ด้วยกันกับคนอื่น ท่าทางของไห่โจ๋ซวนแบบนี้ เย่ชูฉิงถอนหายใจแล้วตอบตกลงหลี่ยี่ซวน
“ไปดูหน่อยก็ดี ปีหน้าพ่อตัดสินใจจะส่งหนูไปที่โรงเรียนสตรีโนเบิลในฝรั่งเศส”เย่เชินหลินเอ่ยปาก เย่ชูฉิงกับไห่โจ๋ซวนต่างตกใจ
ไห่โจ๋ซวนก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เมื่อได้ยินว่าเย่ชูฉิงนั้นจะไปเรียนที่ฝรั่งเศส ในใจนั้นรู้สึกแปลบๆขึ้น
เย่เนี่ยนโม่มองใบหน้าที่มืดมนของเย่ชูฉิงอย่างเงียบๆ คิดในใจว่าจะต้องช่วยน้องสาวที่ซื่อบื้อตัวเองจัดการกับเพื่อนที่ไม่ได้เรื่องของตัวเองให้อยู่หมัด
ในห้องจัดงานนั้น หลังจากเฮฮากันสองสามชั่วโมงแล้ว เย่เชินหลินกับหลี่เหอไท้และโม่เสี่ยวจุนที่ไม่ได้เจอกันนาน จึงชวนกันดื่มอีกสองสามแก้ว
เซี่ยชีหรั่นลุกไปเข้าห้องน้ำ และถือโอกาสเติมหน้าด้วย พนักงานทำความสะอาดได้เดินผ่านมา ไม่ทันได้สังเกตได้ชนเข้ากับเซี่ยชีหรั่น
“ขออภัยค่ะๆ”ติงยียีหรี่ตาขอโทษขอโพย เมื่อสักครู่ที่ทำความสะอาดห้องน้ำนั้น ไม่ระวังทำคอนแทคเลนส์ตกหล่นหายไป ภาพด้านหน้าจึงขาวเบลอไปหมด รู้ว่าชนเข้ากับคน แต่ว่าเห็นคนอีกฝ่ายนั้นไม่ชัดเจน
“ไม่เป็นไรจ๊ะ” เซี่ยชีหรั่นยิ้มให้กับติงยียี และยกเท้าก้าวจากไป ติงยียีหรี่ตาเห็นเพียงมีคนยกเท้าก้าวเดินจากไปแล้ว จึงนำน้ำสกปรกที่อยู่ในถังราดลงที่พื้น
“โอ๊ย” เท้าของเซี่ยชีหรั่นถูกน้ำสกปรกสาด รองเท้าส้นสูงหรูหราก็โดนน้ำสกปรกไปด้วย
เมื่อได้ยินเสียงของเซี่ยชีหรั่น ติงยียีก็รู้ว่าตัวเองนั้นอาจทำเรื่องผิดพลาดขึ้นอีกแล้ว จึงยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าขยับ
“ต่อไประวังหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นคนเดินผ่านไปมาอาจจะลื่นล้มได้รู้ไหม” เซี่ยชีหรั่นรู้สึกไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นอาการลนลานของสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้า ก็ตำหนิไม่ลง
ติงยียีรีบผงกหน้ารับ หลังจากเซี่ยชีหรั่นจากไป ก็ได้นั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องน้ำอย่างหดหู่
“คุณมาทำอะไรตรงนี้” เย่เนี่ยนโม่ออกมาตามหาเซี่ยชีหรั่น แต่เห็นติงยียีนั่งหดหู่อยู่บนเก้าอี้คนเดียว จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
ติงยียีมองไม่เห็นคน แต่สามารถจำเสียงของเย่เนี่ยนโม่ได้ จึงส่ายหน้าอย่าท้อใจ
เย่เนี่ยนโม่กี่ครั้งที่เห็นติงยียีก็เห็นท่าทางที่อำนาจบาตรใหญ่ทุกครั้ง แต่วันนี้อีกฝ่ายกลับนั่งหดหู่จึงรู้สึกแปลกใจ แล้วนั่งลงข้างๆติงยียี เย่เนี่ยนโม่เห็นชุดของติงยียีจึงได้พูดขึ้น :“คุณทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่เหรอ”
ติงยียีที่โกรธแต่ไม่มีแรงจึงได้พยักหน้าขึ้น พูดด้วยความหงุดหงิด:“ ขอร้องล่ะรบกวนตอนนี้ช่วยเห็นฉันเป็นหุ่นยนต์ได้ไหม ให้ฉันได้ครุ่นคิดเงียบๆสักครู่”
ติงยียีที่ปฏิเสธแบบตรงๆ ถ้า เย่เนี่ยนโม่ไม่รู้จักเธอมาก่อนจะต้องโมโหจนบ้าตายแน่ๆ แต่หลังจากที่เจอกันหลายครั้ง เย่เนี่ยนโม่ก็เดาได้คร่าวๆว่าติงยียีนั้นเป็นคนที่พูดไม่รู้จักคิด
ลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับติงยียีว่า:“เรื่องที่ไม่สบายใจย่อมมีเหตุผลของมัน แต่ว่าต้องอย่าไปทุกข์ตาม”
เย่เนี่ยนโม่ได้จากไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าติงยียียังไม่รู้สึกตัว ไอ้โรคจิตเมื่อสักครู่นี้พูดปลอบใจตัวเองเหรอ
เย่เนี่ยนโม่กลับมาที่ห้องจัดงานไว้ เซี่ยชีหรั่นได้กลับมานั่งอยู่ข้างๆเย่เชินหลิน เย่เนี่ยนโม่ครุ่นคิดแล้วเดินไปที่ด้านหน้าของเซี่ยชีหรั่น “:แม่ครับขอบัตรให้ผมสักใบได้ไหม”

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset