สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1387 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1287

ในยามค่ำคืน อ้าวเสว่กำลังฮำเพลงอยู่และเย่เนี่ยนโม่ก็โบกมือไปมา ในขณะที่มองดูเย่เนี่ยนโม่เดินจากไปและหันหลังจะเดินเข้าไปในสถานสงเคราะห์ ก็คิดในใจว่าสถานสงเคราะห์อยู่ไกลจากบ้านตระกูลเย่อยู่บ้างจริงๆ จะเช่าห้องที่อยู่ใกล้โรงเรียนสักห้องดีไหมนะ
“อ้าวเสว่” ซือซือเดินออกมาจากซอยเล็กๆด้านข้าง เธอก็เห็นเย่เนี่ยนโม่มาส่งอ้าวเสว่เช่นกัน ดูเหมือนว่าที่คลอดเธอออกมาก่อนหน้านี้ช่างคลอดได้ถูกต้องจริงๆ
“แม่” อ้าวเสว่พูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างเล็กน้อย อารมณ์ที่ดีๆอยู่ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในทันใด
“เด็กดี แม่เห็นหมดแล้ว ลูกทำได้ดีมากเลย” ซือซือมองอ้าวเสว่อย่างมีเมตตาและอ่อนโยน ในสายตาของเธอตอนนี้อ้าวเสว่เป็นเบี้ยที่ดีที่สุดในการแก้แค้นตระกูลเย่ให้ยืดเยื้อต่อไปได้ของตัวเอง
“แม่ หนูรักเย่เนี่ยนโม่ ต่อให้หลังจากนี้ต่อไปหนูจะอยู่กับเขา หนูก็ไม่สามารถทำร้ายเขาด้วยการฟังคำพูดของแม่ได้หรอก” อ้าวเสว่พูดด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
ใบหน้าของซือซือบิดเบี้ยวเข้าหากัน หม่นหมองและน่าหวาดกลัวภายใต้การสะท้อนของแสงไฟบนถนน พออ้าวเสว่ถอยหลังหนึ่งก้าว ข้อมือของเธอก็ถูกซือซือคว้าเอาไว้ทันที
“แม่ปล่อยหนูนะ!” กระซิบด้วยความตื่นตระหนก เธอไม่อยากชักนำให้คนอื่นเดินเข้ามา
ซือซือหัวเราะเยาะ แล้ววางมือของอ้าวเสว่ลงบนหน้าอกของตัวเองแล้วพยายามกดลงอย่างสุดกำลัง ข้างในว่างเปล่า อ้าวเสว่จึงมองซือซือด้วยความประหลาดใจ
“รู้อะไรไหม? ความจริงแม่ของเธอควรจะต้องตายไปแล้ว และเธอก็ไม่มีแม่แล้ว แต่ฉันจะตายไม่ได้ ตระกูลเย่ทำร้ายฉันจนกลายเป็นแบบนี้ ตอนนี้ฉันก็ยังเป็นคนพิการคนหนึ่งอีกด้วย ในฐานะที่เธอลูกสาวของฉัน เธอจะทนเห็นฉันแบบนี้ได้เหรอ?” ซือซือคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เพื่อการแก้แค้นแล้ว เธอจึงเข้ารับการผ่าตัดเอาเต้านมออก และรักษาร่างกายที่ไม่สมบูรณ์นี้เพื่อแก้แค้นบ้านตระกูลเย่
“แม่ปล่อยหนูนะ!” ทันใดนั้นอ้าวเสว่ก็ดึงมือออกมาแล้วเดินโซซัดโซเซเข้าไปในสถานสงเคราะห์ เธอจะไม่ทรยศต่อเย่เนี่ยนโม่ แม้ว่าจะเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของตัวเองก็ตาม เธอไม่มีแม่ก็ได้ ถึงยังไงซะเธอก็ไม่เคยได้รับความรักจากแม่มาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แต่เธอจะไม่มีเย่เนี่ยนโม่ไม่ได้
ซือซือย่อนแขนของตัวเองลงอย่างเย็นชา แล้วมองประตูสถานสงเคราะห์อย่างเงียบๆ
“อ้าวเสว่ ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งเธอจะได้เห็นว่าผู้ชายในตระกูลเย่มันไร้ความปราณีและเย็นชาทุกคน” บนถนนที่ว่างเปล่า มีเพียงเสียงของซือซือเท่านั้น
วันต่อมา ติงยียีกำลังพยายามจดบันทึกอย่างสุดชีวิต ขณะที่อ้าวเสว่กำลังนอนหลับอยู่ข้างๆ “เพื่อนร่วมชั้นอ้าวเสว่ ช่วยวินิจฉัยและประเมินค่าคุณภาพของมรกตจักรพรรดิประเภทแก้วหน่อยได้ไหมว่ามันเป็นยังไงบ้าง”
ติงยียีใช้ข้อศอกดันอ้าวเสว่ไปมา แล้วผลักบันทึกย่อไปอยู่ข้างๆอ้าวเสว่ที่นอนสะลึมสะลืออยู่ อ้าวเสว่กวาดตามองดูตัวอักษรในบันทึกย่อไปมา แล้วพูดเสียงดังขึ้นมาว่า “หยกที่อยู่ในจำพวกแก้วส่วนใหญ่จะไม่มีสี และประเภทที่เป็นแก้วสีเขียวอ่อนก็นับว่าเป็นที่นิยมในตลาดอยู่มากเหมือนกัน ส่วนมรกตจักรพรรดิจะเปล่งประกายแวววาวใสแจ๋ว ถ้าไม่มีตำหนิใดๆเลยแม้แต่นิดเดียว ก็จะเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นยอดที่ดีที่สุด”
ชายชราที่บรรยายการสอนอยู่โบกมือให้อ้าวเสว่นั่งลง สอนหนังสือมาสิบกว่าปี เขายังคงชื่นชอบนักเรียนแบบติงยียีที่นั่งจดบันทึกอย่างสุดชีวิตอยู่ข้างๆอ้าวเสว่มาก และในขณะที่มองดูการแต่งหน้าบนใบหน้าของอ้าวเสว่อยู่นั้น ชายชราก็ได้ทำเสียงฮึดฮัดทางจมูกออกมาหนึ่งครั้ง
“ขอบคุณเธอมากเลยนะ!” อ้าวเสว่ขยิบตาอย่างซุกซน ติงยียีโบกมือไปมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ต้องเกรงใจ จากนั้นข้อความในโทรศัพท์ก็เด้งขึ้นมา ติงยียีเปิดข้อความดู นี่เป็นข้อความที่ซ่งเมิ่นเจ๋ส่งมา เนื้อหาในข้อความก็คือในตอนเย็นลูกชายของผู้นำจากส่วนกลางคนนั้นใกล้จะมาแล้ว ตัวเองน่าจะไปถึงโรงแรมตี้เหาเมื่อไหร่
“เผอิญว่าคืนนี้เนี่ยนโม่กับฉันก็จะไปทานข้าวที่โรงแรมตี้เหาเหมือนกัน อยากให้ไปส่งเธอด้วยไหม?” อ้าวเสว่เห็นข้อความที่อยู่ในโทรศัท์ของติงยียี
ติงยียีส่ายหน้าไปมา แล้วเก็บโทรศัพท์ให้เรียบร้อย เธอไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอพวกเขา หลังเลิกเรียน เพราะว่าไม่มีเรียนในคอร์สเรียนภาษาต่างประเทศ อ้าวเสว่ก็เลยไปหาเย่เนี่ยนโม่ ส่วนติงยียีก็ตรงไปที่โรงแรมเลย
“เอ๊ะ ฉันเจอใครเข้านะ นี่ไม่ใช่คุณติงยียีเหรอคะ?” พนักงานเสิร์ฟคนนั้นที่เคยเหน็บแนมติงยียีในห้องคาราโอเกะเมื่อไม่กี่วันก่อนพูดด้วยท่าทางที่เก้อเขินทำอะไรไม่ถูก
ติงยียีเหลือบมองไปที่ป้ายชื่อของอีกฝ่าย เธอชื่อว่าโม่ซวนหลิน ติงยียี ไม่อยากไปต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย เธอสวมชุดทำงานและพร้อมที่จะเริ่มทำงานเลย
“เฮ้ รู้หรือเปล่าว่าอะไรเรียกว่ามารยาทน่ะ ฉันถามเธอเธอยังไม่ตอบฉันเลยนะ” โม่ซวนหลินก้าวไปข้างหน้าแล้วจับมือข้างหนึ่งของติงยียีเอาไว้ จากนั้นติงยียีก็สะบัดมือของโม่ซวนหลินออก
“โม่ซวนหลิน ฟังฉันให้ดีดีนะ เธอมายุ่งกับฉันให้มันน้อยๆหน่อย จัดการเรื่องของเธอให้ดีดีกว่า ฉันไม่ใช่คนที่เธอจะมารังแกได้ง่ายๆนะ!”
โม่ซวนหลินตกตะลึงสักพักหนึ่ง ต่อมาเธอก็ยิ้มอย่างเย็นชา แล้วเอากรงเล็บยาวๆของเธอก็จับแขนของติงยียีเอาไว้ และติงยียีก็จับแขนของอีกฝ่ายเอาไว้เช่นกัน จากนั้นทั้งสองคนก็กอดฟัดเวี่ยงกันอย่างอุตลุดอยู่ในสถานที่นี้
“พอได้แล้ว ทะเลาะกันอย่างกับตัวอะไร ออกไปยืนข้างนอกเดี๋ยวนี้!” ผู้จัดการวิ่งเข้ามาตะโกนเสียงดัง
ด้านนอกของโรงแรมตี้เหา มีรถคันหนึ่งวิ่งตามรถอีกคนหนึ่งมาจอดอยู่หน้าโรงแรม และผู้จัดการประจำแผนกต้อนรับก็มายืนเรียงกันเป็นแถวหนึ่งแถว
คนที่มีสีหน้าเคร่งขรึมที่เป็นผู้นำสามสี่คนลงมาจากรถ แล้วเดินเข้าไปในล็อบบี้ของโรงแรมโดยไม่ชำเลืองตามองข้างๆเลย ติงยียีเงยหน้าขึ้นไปกวาดตามองผู้มาเยือนอย่างระมัดระวัง เพื่อที่จะหาลูกชายของผู้นำจากส่วนกลางคนนั้นที่คุณลุงซ่งพูดถึงจากในกลุ่มคนเหล่านี้ ส่วนโม่ซวนหลินก็ยิ่งเอามือสางผมและจัดระเบียบร่างกาย และกำลังเพ้อฝันว่าถ้าหากใครสักคนในนั้นได้เห็นตัวเอง เช่นนั้นตัวเองก็จะได้เปลี่ยนจากนกกระจอกกลายเป็นนกฟีนิกซ์เสียที
เมื่อเย่เนี่ยนโม่ลงจากรถก็เห็นติงยียีกำลังยืนเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตื่นตระหนกตกใจ และดวงตาก็กวาดไปกวาดมาอยู่ในฝูงชนที่อยู่ข้างหน้า จากนั้นพนักงานจอดรถก็รีบไปช่วยเย่เนี่ยนโม่จอดรถทันที และถือโอกาสมองอ้าวเสว่สองสามครั้ง ข้อดีอย่างหนึ่งของการเป็นพนักงานจอดรถก็คือ ได้เห็นหนุ่มหล่อสาวสวยบ่อยๆ
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?” เย่เนี่ยนโม่ชี้ไปที่ติงยียี
“อ๋อ ได้ยินว่าทะเลาะกับใครคนหนึ่ง แล้วก็ถูกผู้จัดการลงโทษน่ะครับ” พนักงานจอดรถพูดอย่างไม่ยี่หระอะไร
ติงยียียังคงแสร้งทำเป็นก้มหน้าแต่ในความเป็นจริงก็กำลังใช้สายตาแอบมองอยู่ และแล้วสายตาของเธอก็ปรากฏเห็นรองเท้าหนังสีดำคู่หนึ่งเข้า
“เธอกำลังมองอะไรอยู่?” เย่เนี่ยนโม่ถามด้วยความสงสัย
ติงยียีทักทายทั้งสองด้วยรอยยิ้ม โดยไม่สนใจรูปลักษณ์ที่สกปรกมอมแมมของตัวเองในตอนนี้เลย จึงก่อให้เกิดการเปรียบเทียบที่ชัดเจนกับอ้าวเสว่ที่กำลังแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสง่างาม
“นี่ไม่ใช่คุณชายน้อยแห่งตระกูลเย่หรอกหรือ?” หลังจากที่เห็นเย่เนี่ยนโม่ ชายสูงอายุคนหนึ่งที่เดิมทีกำลังจะก้าวเข้าประตูโรงแรมก็หยุดฝีเท้าลง คนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ข้างหลังก็หยุดฝีเท้าลงเช่นกัน
“สวัสดีครับ” เย่เนี่ยนโม่ไม่รู้จักอีกฝ่าย จึงกำลังคิดว่าอาจเป็นเพื่อนเก่าของพ่อก็ได้ เขาก็เลยตอบกลับไปอย่างสุภาพ
“คราวก่อนยังเคยพูดคุยกับพ่อของเธออยู่เลย ได้ยินว่าตอนนี้เธอกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยZ ไม่เลวเลยนะ คนหนุ่มคนสาวก็ต้องอยู่ในประเทศ ตอนนี้มีหลายคนต่างก็ออกไปอยู่ต่างประเทศกันหมด ใช่แล้ว เจ้าหนูของเพื่อนฉันก็เรียนที่เดียวกันกับเธอด้วยนะ”
มีเด็กชายคนหนึ่งเดินออกมาจากในฝูงชนด้วยความไม่พอใจ ที่แท้ก็คือจางถังนั่นเอง เย่เนี่ยนโม่กับจางถังมองหน้ากันครู่หนึ่ง แล้วหันหน้ากลับไปทางเดิมอย่างใจตรงกันมาก ใครๆต่างก็มองออกว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ไม่สามารถยั่วให้เขาโมโหได้ ทั้งสองคนจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบ
ชายชราลากเย่เนี่ยนโม่เดินเข้าไปในล็อบบี้โรงแรมโดยไม่ฟังคำอธิบายใดใด อ้าวเสว่มองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นเหยนหมิงเย้า เธออยากจะถามเหยนหมิงเย้ามากมาโดยตลอดว่าคือคนคนนั้นที่ตัวเองรู้จักมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า
ติงยียีหันหน้าไปมองเย่เนี่ยนโม่กำลังเดินตามคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในโรงแรม แล้วหันกลับไปมองท้องฟ้าต่อ มีร่างร่างหนึ่งวิ่งมาจากระยะไกล ทำให้ดวงตาของติงยียีเปล่งประกายออกมา “เมิ่นเจ๋”
“ยียี เธอมารับฉันอยู่ข้างนอกเหรอ?” ซ่งเมิ่นเจ๋วิ่งมาจนเหนื่อยหอบ มีรถติดบนถนน และเธอก็เลยได้วิ่งตะบึงมา
“เปล่า ฉันกำลังถูกลงโทษให้มายืนตรงนี้น่ะ ใช่แล้ว ฉันไม่เห็นว่ามีคนที่เหมือนลูกชายของผู้นำจากหน่วยกลางอะไรนั่นเลยนะ แต่กลับเห็นจางถังที่อยู่โรงเรียนเดียวกันกับเราปรากฏตัวออกมา”
ซ่งเมิ่นเจ๋พยักหน้าอย่างไม่ยี่หระอะไร เธอไม่เห็นก็ดีแล้ว ยังไงซะคนที่เธอชอบก็คือโจ๋ซวน
ซ่งเมิ่นเจ๋อยากจะอยู่เป็นเพื่อนติงยียี แต่ก็กังวลว่าพ่อจะตำหนิตัวเองได้ ติงยียีผลักซ่งเมิ่นเจ๋ให้เข้าไปในล็อบบี้ของโรงแรมอย่างเข้าใจในความประสงค์ของเธอดี เธอผลักไปพลางพูดไปพลางว่า “ฉันไม่เป็นไรหรอก เธอรีบไปเถอะ เดี๋ยวคุณลุงจะไม่สบายใจนะ”
โม่ซวนหลินมองติงยียีด้วยความอิจฉา ทำไมคนที่มาติดต่อกับติงยียี ล้วนแต่เป็นคนร่ำรวย เมื่อไหร่เพื่อนที่อยู่รอบๆกายของตัวเองจะอยู่ในระดับนี้บ้างนะ
ติงยียีมองตามหลังซ่งเมิ่นเจ๋ขึ้นลิฟต์ไป แล้วก้มหน้าครุ่นคิดต่อไป เคยได้ยินมาว่าอีกไม่กี่วันจะมีกิจกรรมผจญภัยกลางแจ้งของชมรมนักศึกษา และเธอก็ต้องเข้าร่วมเหมือนกัน การร่วมในครั้งนี้ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าผู้จัดการจะอนุญาตหรือเปล่า
รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งผ่านประตูโรงแรมด้วยเสียงที่แผดก้อง หลังจากนั้นไม่กี่นาทีก็วิ่งกลับมาด้วยเสียงที่แผดก้องอีกครั้ง ชายที่อยู่บนรถมอเตอร์ไซค์ถอดหมวกกันน็อคออก บนใบหน้าของเขาที่กำลังตัดผมทรงลานบินเต็มไปด้วยความเฉยเมย
โม่ซวนหลินตกตะลึงหลังจากที่เห็นชายคนนั้นถอดหมวกกันน็อคคนนั้น แล้วจึงตะโกนออกมาว่า “พี่คะ”
เย่ชูหวินก็จำโม่ซวนหลินญาติผู้น้องคนนี้ได้เช่นกัน ตั้งแต่เด็กๆความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ได้ดีมากนัก ครอบครัวนั้นอาศัยความอ่อนโยนของแม่มาขอเงินทุกวัน ต่อมาท่าทางของพ่อดูดุร้ายขึ้นพวกเขาจึงไม่ได้ทำตัวได้คืบจะเอาศอกอีกเลย อย่างไรซะเย่ชูหวินก็ไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อครอบครัวนี้อยู่แล้ว
“พี่คะ เขารังแกฉันค่ะ!” โม่ซวนหลินคิดว่าพวกเขาล้วนเป็นญาติกัน คนอื่นเธอไม่สนใจทั้งนั้น ญาติผู้พี่ของตัวเองก็ควรจะช่วยตัวเองแก้แค้นสิ
“เธอกำลังทำอะไร?” เย่ชูหวินหันหน้าไปถามติงยียี ติงยียีมองโม่ซวนหลินกับเย่ชูหวินด้วยความประหลาดใจ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเลยเลยว่าทำไมสองคนนี้ถึงเป็นญาติกันได้ โลกใบนี้มันช่างเล็กเกินไปจริงๆ
“พี่คะ!” ภายในหัวใจของโม่ซวนหลินใกล้จะระเบิดออกมาอยู่แล้ว ติงยียีเป็นแม่เหล็กหรือไง ทำไมทุกคนถึงได้รู้จักติงยียีไปหมดเลย พี่ชายก็อีกคน ไม่ช่วยตัวเองก็ช่างเถอะ ถ้าเขามองไม่ผิด น้ำเสียงที่เขาพูดกับติงยียีเมื่อสักครู่นี้ก็อ่อนโยนเกินไปแล้วนะ!
“อย่างที่คุณเห็นนั่นแหล่ะ” ติงยียีไม่อยากพูดอะไร เรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้วจะพูดขึ้นมาอีกก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งกว่านั้นคนสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขายังมีความเกี่ยวข้องเป็นญาติกันด้วย
“ฉันต้องขอโทษเป็นอย่างมากค่ะ ฉันทำตั๋วที่คุณส่งให้หายไปแล้ว เสียน้ำใจของคุณแย่เลย” ติงยียีมองเย่ชูหวินอย่างเขินอาย
ในขณะที่โม่ซวนหลินที่อยู่ข้างๆกำลังฟังการสนทนาระหว่างญาติผู้พี่ของตัวเองกับติงยียีก็โกรธจนแทบจะอาเจียนเป็นเลือด ตัวเองต่างหากล่ะที่เป็นน้องสาวของเย่ชูหวิน นี่เขาทำบ้าอะไรของเขาเนี่ย
“พี่คะ! แม่ของฉันบอกว่าคิดถึงพวกพี่แล้วนะคะ!” โม่ซวนหลินพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ เย่ชูฉิงขมวดคิ้ว เขาคิดว่าผู้หญิงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของตัวเองที่ยืนอยู่ข้างๆคนนี้ช่างน่ารำคาญเกินไปจริงๆ เย่ชูหวินจึงก้มหน้ามองติงยียีและพูดว่า “ไปนั่งรถเล่นกันไหม?”
“แต่ฉันกำลังถูกทำโทษอยู่นะคะ” ติงยียีมองไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของเย่ชูหวินด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย ตอนเด็กๆเธอเคยได้ยินพ่อพูดว่าตอนที่เขายังหนุ่มๆก็เป็นมือดีในการขับมอเตอร์ไซค์คนหนึ่งเหมือนกัน ต่อมาพอเจอกับแม่แล้วจึงกลับเนื้อกลับตัวใหม่
“เฮ้ซวนหลิน” เย่ชูหวินตะโกน
“คะพี่!” โม่ซวนหลินเห็นเย่ชูหวินมองตัวเอง ก็เลยตอบกลับไปอย่างหวานๆ
“ช่วยลางานให้ติงยียีด้วยนะ” เย่ชูหวินจูงมือของติงยียีเดินไปข้างรถมอเตอร์ไซค์ แล้วหยิบหมวกขึ้นมาหนึ่งใบ ติงยียีขยับไปมาหาสายปลดล็อคไม่เจออยู่นาน เย่ชูหวินจึงหยิบหมวกกันน็อคมา แล้วช่วยติงยียีสวมให้เรียบร้อย ระยะห่างของทั้งสองคนใกล้กันมาก เพียงแค่ติงยียีเงยหน้าขึ้นเบาๆก็ถึงคางที่ยื่นออกมาเล็กน้อยของเย่ชูหวินได้แล้ว

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset