สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1396 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1296

อ้าวเสว่ไม่อยากให้เย่เนี่ยนโม่กับติงยียีใกล้ชิดกันเกินไป จึงพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า :“เนี่ยนโม่ ฉันเองดีกว่า คุณคือหัวหน้าทีมผู้วางแผน คุณน่าจะตามไปกับลูกทีม อย่ามัวแต่พะวงอีกอย่างแล้วสูญเสียอีกอย่าง ฉันจะรอยียีเอง”
เย่เนี่ยนโม่ครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้า พาทุกคนไปหาที่ร่มๆ อ้าวเสว่ดึงมือเย่เนี่ยนโม่ที่กำลังจะจากไป ทำปากจู๋แล้วโน้มตัวเบาๆไปหาเย่เนี่ยนโม่
เย่เนี่ยนโม่จึงจูบอ้าวเสว่เบาๆแล้วพูดเสียงต่ำๆว่า:“ดูแลตัวเองดีๆ มีปัญหาอะไรก็ให้รีบโทรหาผมทันที” อ้าวเสว่พยักหน้าเย่เนี่ยนโม่ถึงได้จากไป อ้าวเสว่ปาดเหงื่อ แล้วก็มองไปรอบๆอย่างเบื่อหน่าย
ข้างๆวัดโบราณสถานมีร้านขายเครื่องประดับที่ประณีต อ้าวเสว่คิดว่าติงยียีคงไม่น่าจะกลับมาเร็วขนาดนั้น จึงได้วิ่งเข้าไปในร้านเครื่องประดับ
ติงยียีถือยาแล้วก็วิ่งกลับมา มองรอบๆแล้วไม่เห็นใครสักคน “แปลก คนไปไหนกันหมด” ติงยียีเดินวนอยู่หลายรอบก็ไม่เจอใครสักคน จึงล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงถึงได้รู้ว่าตอนที่วิ่งมาสมทบกับการเดินทางท่องเที่ยวนั้น พัลวันกะทันหันเกินไป จึงไม่ได้พกกระเป๋ามาด้วย ดังนั้นโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ทั้งหมดได้ใส่ไว้ในกระเป็นเรียนของซ่งเมิ่นเจ๋
คนผ่านไปผ่านมา แต่ไม่ใครที่รู้จักสักคน ติงยียีจึงเดินวนหลายๆรอบด้วยความสับสน อ้าวเสว่ที่เดินชมร้านเครื่องประดับไปเรื่อยๆ และก็ได้ซื้อของขวัญให้กับเย่เนี่ยนโม่ แล้วก็ซื้อของขวัญให้กับตัวเอง ถือถุงเล็กถุงใหญ่เดินไปถึงจุดนัดรวมตัวที่เย่เนี่ยนโม่ได้บอกกับตัวเอง ถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั้นลืมไปรอติงยียี
เวลาได้ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว ในใจอ้าวเสว่เริ่มรู้สึกกลัว ตัวเองได้รับปากเย่เนี่ยนโม่ดิบดีว่าจะรอติงยียี ถ้าหากเย่เนี่ยนโม่รู้ว่าตัวเองไม่ได้รอ แต่กลับวิ่งไปซื้อของ อย่างนั้นจะต้องส่งผลไม่ดีกับภาพลักษณ์ตัวเองอย่างแน่นอน
ยิ่งคิดก็ยิ่งลนลาน อ้าวเสว่เก็บเครื่องประดับเล็กๆส่วนหนึ่งไว้ แล้วทิ้งของที่ซื้อมา แล้วแกล้งตกใจวิ่งเข้าไปที่หาเย่เนี่ยนโม่ที่นั่งอยู่ในร้านน้ำชาอย่างกระวนกระวาย
เย่เนี่ยนโม่ที่รู้สึกกังวลตั้งแต่แรก เมื่อเห็นอ้าวเสว่ไม่เป็นไรถึงได้เบาใจลง อ้าวเสว่ตะลีตะลานพูดขึ้น :“ฉันยืนรอยียีอยู่ที่เดิม แต่ว่ารอตั้งนานแล้วก็ยังไม่เห็นยียีเลย!”
ซ่งเมิ่นเจ๋ได้ยินดังนั้นจีบรีบเปิดกระเป๋าเพื่อเอาโทรศัพท์โทรหายียี จึงร้องไห้ขึ้นหยิบโทรศัพท์ยียีออกมาแล้วพูดว่า :“ทำไงดี ยียีไม่ได้พกโทรศัพท์ไปด้วย”
เย่เนี่ยนโม่กล่าวอย่างเด็ดขาด:“สาวๆทุกคนให้รอหยุดตรงนี้ ผู้ชายทั้งหมดช่วยกันออกไปตามหา”
“ผมไม่ไป ผมเป็นห่วงชูฉิง” จางถังที่ท่าทางไม่รู้สึกรู้สา เย่เนี่ยนโม่ขี้เกียจจะไปสนใจผู้ชายกากเดนเช่นนี้ ทำการนัดเวลาที่แน่นอนกับหนุ่มๆที่อยู่ในเหตุการณ์ ว่าให้ทุกคนรีบกลับมาหลังจากหนึ่งชั่วโมง
“ฉันจะไปกับคุณด้วย” อ้าวเสว่ลุกยืนขึ้น ถ้าเจอตัวติงยียีแล้วอีกฝ่ายบอกว่าตัวเองไม่ได้รออยู่ที่เดิม อย่างนั้นก็ไม่เป็นการเปิดโปงเธอหรือ
เย่เนี่ยนโม่ที่หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่น อ้าวเสว่เพิ่งจะกลับมา เหนื่อยขนาดนั้น ยังคิดจะตามตัวเองออกไปตามหาคนอีก เย่เนี่ยนโม่จับมืออ้าวเสว่ไว้แล้วพยักหน้า
“ฉันก็อยากจะไปกับพี่”เย่ชูฉิงดึงมือของไห่โจ๋ซวนไว้แล้วพูดอย่างดื้อรั้น พี่ยียีต้องหายตัวไปเพราะฉัน ไม่ว่าจะอย่างไรตัวเองก็ไม่มีทางที่จะนั่งรอข่าวสารอยู่ที่นี่
กลุ่มคนได้รีบออกไปตามหาคน และตอนนี้ติงยียีเดินอยู่ในวัดโบราณสถานอย่างสับสนงงงวย เธอตามหากว่าชั่วโมงครึ่ง ก็ไม่เห็นเงาของเย่เนี่ยนโม่กับคนอื่นๆ
เงาผู้คนเดินพลุกพล่านอยู่บนถนน กลุ่มนักท่องเที่ยวหลายสิบคนโอ้วลันล้าเดินพุ่งพรวดออกมาจากตรอกซอยเล็กๆ ชั่วพริบตาติงยียีก็กลมกลืนไปกับฝูงคน
เสียงผู้คนรอบๆดังเซ็งแซ่ ติงยียีโยกซ้ายโยกขวาไปมาอย่างทรมาน พยายามที่จะดิ้นให้หลุดจากลุ่มฝูงชนเหล่านั้น ข้อมือได้ถูกจับไว้ ติงยียีจึงได้หันกลับมา เย่เนี่ยนโม่หายใจหอบจับข้อมือของติงยียีอยู่ไกลๆ ทั้งคู่ถูกขั้นกลางด้วยคนสองสามคน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมปล่อยมือ
“ติงยียี! คุณไปไหนมา!” เย่เนี่ยนโม่กัดฟันตะโกน เสียงรอบๆที่ดังเกินไป ติงยียีจึงได้ยินไม่ชัดเจน หันไปทางเย่เนี่ยนโม่แล้วตะโกนขึ้น:“คุณพูดว่าอะไรนะ!”
“ผมบอกว่า! อย่าปล่อยมือ!”เย่เนี่ยนโม่หันไปหาติงยียีแล้วตะโกนพูด พยายามขยับตัวเข้าไปหาติงยียี ติงยียีได้ยินทันใดนั้นหัวใจหม่นลงทันที
ทั้งคู่ดิ้นรนฝ่าฝูงชน ติงยียีในใจรู้สึกซาบซึ้ง“ยียี!” เสียงอ้าวเสว่ดังขึ้น มือของติงยียีที่ร้อนผ่าวสะบัดออกจากมือของเย่เนี่ยนโม่
อ้าวเสว่กลัวว่าติงยียีจะอ้าปากพูดก่อน จึงได้รีบแย่งพูดขึ้น:“ยียี เธอไปไหนมา ฉันรอเธออยู่ที่เดิม แต่ก็ไม่เห็นเธอเลย”
“ติงยียี รู้จักไหมอะไรเรียกว่ากฎระเบียบวินัย รู้ไหมว่าทุกคนกำลังตามหาคุณอยู่!” เสียงเย่เนี่ยนโม่เคร่งขรึมขึ้น คนทั้งหมดกำลังตามหาติงยียี เธอกลับมาเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเย่เนี่ยนโม่จึงเย็นชาลง
ติงยียีไม่อยากจะแก้ตัวใดๆ ถ้าหากบอกว่าตัวเองนั้นไม่เห็นใครเลยจริงๆ เย่เนี่ยนโม่ก็คงไม่เชื่ออยู่ดี อีกอย่างอ้าวเสว่ก็บอกว่าได้รอตัวเองอยู่ที่เดิม อาจจะเป็นตัวเองที่สายตาสั้นเลยมองไม่เห็นกระมัง
จึงยิ้มขอโทษให้กับคนทั้งสอง ติงยียีแสร้งทำไม่ใส่ใจแล้วพูดขึ้น :“ต้องขอโทษด้วย ฉันจำผิดสถานที่ไป ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ” ติงยียียิ่งพูดเบ้าตายิ่งแดงก่ำ ข้างในนั้นน้อยใจแต่กลับไม่อยากจะพูดออกมา
“เอาเหอะ! เนี่ยนโม่คุณก็อย่าไปดุขนาดนั้นสิ” อ้าวเสว่รีบแก้ต่างให้กับติงยียี เย่เนี่ยนโม่มองติงยียีด้วยหางตาแวบหนึ่ง แล้วจูงมือของอ้าวเสว่จากนั้นเดินออกไป ติงยียีแอบปาดน้ำตาตัวเองที่กำลังจะไหลออกมา ยิ้มแล้วก็เดินตามไป
เย่ชูฉิงที่อยู่ข้างๆไห่โจ๋ซวนมองไห่โจ๋ซวนโทรศัพท์ด้วยความเป็นห่วง เมื่อวางสายลง ไห่โจ๋ซวนจึงพูดขึ้น:“หาเจอแล้ว บอกว่าตัวเองจำผิดสถานที่”
เย่ชูฉิงขมวดคิ้ว เธอไม่เชื่อว่าติงยียีจะผิดพลาดอะไรแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะเจอกับติงยียีเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ว่าเธอสามารถดูออกว่าพี่ยียีเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นจากใจจริงๆ ถ้าพี่ชายจะต้องเลือกคนที่อยู่ครองคู่ไปตลอดชีวิต เธอรู้สึกว่าพี่ยียีนั้นเหมาะสมกับพี่ชายมากกว่า
เย่ชูฉิงที่กำลังครุ่นคิดสับสนวุ่นวาย มือถูกจับไว้พักหนึ่ง ไห่โจ๋ซวนก็รีบคลายมือออกอย่างรวดเร็ว สบสายตาที่มึนงงของเย่ชูฉิง ไห่โจ๋ซวนชี้จึงไปที่หัวเข่าของเย่ชูฉิง
หัวเข่าของเย่ชูฉิงเนื่องจากเดินเร็วเกินไปเป็นผลให้แผลเปิดอีกครั้ง จนเลือดไหลกระซิกออกมาตกเป็นสะเก็ด หลังจากที่เย่ชูฉิเป็นห่วงกังวลจึงทำให้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดสักนิดเดียวอีก
ไห่โจ๋ซวนดึงเย่ชูฉิงไปนั่งที่เก้าอี้หินที่อยู่ข้างสะพานในเมืองโบราณ ไห่โจ๋ซวนก้มลงไปหยิบกระดาษทิชชูแล้วนำมาช่วยเย่ชูฉิงทำความสะอาดบาดแผล เย่ชูฉิงก้มหน้ามองไห่โจ๋ซวนที่ขนตางามงอน จิตใจอ่อนเปราะจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
ตั้งเล็กจนโต พี่โจ๋ซวนก็มักจะละมุนอ่อนโยนเช่นนี้เสมอ ตั้งแต่แรกเห็นเขาเป็นเสมือนพี่ชายตัวเอง จนกระทั่งเริ่มโตถึงพบว่า ความรู้สึกดีๆที่ตัวเองมีให้กับเขานั้นได้เกินเลยความรู้สึกที่น้องสาวมีต่อพี่ชาย
“พี่ชาย อยู่ที่สะพานโรสแมรี่ซื้อโรสแมรี่หน่อยไหมคะ” สาวน้อยน่าเอ็นดูถือตระกล้าขาวใบหนึ่งยิ้มให้กับทั้งคู่
“สะพานโรสแมรี่เป็นชื่อที่สวยงามเหลือเกิน” เย่ชูฉิงทอดถอดใจ สาวน้อยยิ้มหวานแล้วกล่าวขึ้น:“คู่รักหลายคู่มาที่นี่เพื่อขอพรให้ความรักสมหวัง ที่นี่ของพวกเรามีวัดเทพธิดาวัดหนึ่ง ตามตำนานเล่าขานกันว่า ในสมัยราชวงศ์ถังมีหญิงสาวที่รูปโฉมงดงามแอบรักบัณฑิตท่านหนึ่ง บัณฑิตท่านนั้นก็ชื่นชมสาวงามคนนี้เช่นกัน แต่ทว่าก็อยากจะไปสอบขุนนางให้มีชื่อเสียงพื่อป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล แล้วถึงค่อยกลับมาแต่งภรรยา
ปีแรกที่บัณฑิตเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อไปสอบขุนนาง สาวงามได้มอบต้นโรสแมรี่ที่ตัวเองได้ปลูกไว้ให้กับบัณฑิต คิดไม่ถึงว่าสอบไม่ผ่าน สามปีให้หลังจึงเข้าเมืองหลวงไปสอบอีกครั้ง สาวงามจึงได้มอบโรสแมรี่หนึ่งก้านที่ตัวเองปลูกอีกครั้ง ระหว่างทาง โรสแมรี่ของบัณฑิตส่งกลิ่นแรงมาก บัณฑิตไม่สนใจ และมุ่งจดจ่อกับการสอบ
เมื่อสอบได้ระดับปั้งเหยี่ยนแล้วจึงย้อนกลับคืนสู่บ้านเกิด ถึงได้รู้ว่าสาวงามนั้นต่อต้านที่ทางบ้านคลุมถุงชน จึงได้ฆ่าตัวตายอยู่ในสวนโรสแมรี่ที่ตัวเองปลูก มีคนกล่าวว่า ในคืนนั้นกลิ่นโรสแมรี่แรงมาก แล้วสะพานแห่งนี้เป็นสะพานที่สาวงามส่งบัณฑิตไปสอบขุนนางแล้วจะต้องเดินผ่าน จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นสะพานโรสแมรี่”
เย่ชูฉิงฟังอย่างตั้งใจ แล้วรู้สึกเศร้าในใจ สาวงามคนนั้นช่างกล้าหาญจัง เพื่อความรักแล้วจึงยึดมั่นในความรักมาโดยตลอด ตัวเองก็ควรจะกล้าหาญสักครั้งดีไหม
“พี่โจ๋ซวน” เย่ชูฉิงเอ่ยปาก ยังไม่ทันได้พูดก็ถูกไห่โจ๋ซวนขัดจังหวะขึ้น “ชูฉิง พวกเราไปกันเถอะ เมิ่นเจ๋ยังรออยู่ที่ร้านน้ำชา เธอจะต้องเป็นห่วงพวกเราอย่างมากแน่นอน”
ไห่โจ๋ซวนหันหน้าไป เพื่อซ่อนความรู้สึกในดวงตา เมื่อสักครู่นั้นเขารู้ว่าเย่ชูฉิงนั้นต้องการจะพูดอะไร จึงได้รีบปฏิเสธทันทีโดยที่คิดก็ไม่ต้องคิด เขาไม่ต้องการมีความรัก ถ้าหากถูกลิขิตว่าเขาคือบัณฑิตที่ต้องไปสอบขุนนาง อย่างนั้นเขาก็จะยอมรับผลที่ตามมาทั้งหมด
แววตาของเย่ชูฉิงหม่นหมองลง เมื่อเอ่ยปากอีกครั้ง ใบหน้าก็เป็นรอยยิ้มที่อ่อนหวานแล้ว “อืม พี่โจ๋ซวน พวกเราไปกันเถอะ”
หลังจากที่แทบเสียเวลาไปเกือบหนึ่งวัน ทุกคนจึงเดินเล่นอยู่ในวัดโบราณอย่างหมดอารมณ์ สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเย่ชูฉิงกับติงยียีนั้นไม่สูงนัก จางถังเห็นดังนั้นจึงได้คิดไปเองแล้วพูดขึ้น:“ความจริงแล้วผมรู้ว่าที่ชายขอบของเมืองนี้ ยังมีป่าเล็กๆที่ยังไม่ได้เปิดพัฒนา หรือว่าพวกเราไปเที่ยวกันไหม”
“ผมไม่เห็นด้วย ที่แบบนี้อันตราย อีกทั้งยังไม่มีการวางแผนล่วงหน้ากันมาก่อน ผมไม่เห็นด้วยกับแผนนี้” เย่เนี่ยนโม่เอ่ยปากกล่าว
“อะไรคุณก็ไม่เห็นด้วย ออกมาเที่ยวก็คือเที่ยวให้สนุกสุดโต่งดิ!” จางถังไม่ค่อยพอใจที่ตลอดทางเห็นเย่เนี่ยนโม่วางแผนแบบไม่มีช่องโหว่ จึงต้องการอยากจะหาเรื่องให้เย่เนี่ยนโม่ขายหน้า ทางที่ดีที่สุดทำเรื่องให้ใหญ่โตหน่อย อยู่ในมหาวิทยาลัยเขาจะได้โงหัวไม่ขึ้น
อ้าวเสว่ก็ช่วยเสริมกำลังให้กับเย่เนี่ยนโม่อยู่ข้างๆ :“หรือว่าพวกเรารอบหน้าวางแผนแล้วค่อยมาใหม่ โปรแกรมของครั้งนี้ก็ไม่มีการไปเที่ยวที่ป่า อีกอย่างก็ไม่มีอุปกรณ์ต่างๆด้วย” เมื่อเสียงพูดนั้นจบลง สายตาของจางถังก็ได้กวาดมา หัวใจของอ้าวเสว่เย็นวาบ การช่วยเหลือเย่เนี่ยนโม่นั้นเป็นอะไรที่ผิดพลาด เย่เนี่ยนโม่กับติงยียีนั้นไม่ได้เป็นอะไรสักอย่าง แต่ตัวเองนั้นกลับต้องถูกควบคุมโดยคนอื่น
เย่ชูฉิงที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆเอ่ยปากขึ้นทันใด:“ฉันอยากจะไปดูสักหน่อย” ทุกคนต่างหันมองเย่ชูฉิงอย่างประหลาดใจ เย่ชูฉิงที่เชื่อฟังมาตลอดเส้นทาง ทุกคนต่างคิดไม่ถึงคนแรกที่เห็นด้วยนั้นจะเป็นเย่ชูฉิง
“ชูฉิง อย่าใช้อารมณ์” ไห่โจ๋ซวนพูดเตือนอยู่ข้างๆ ซ่งเมิ่นเจ๋ก็รู้สึกว่าการไปที่ป่าเล็กๆนั้นไม่ใช่การตัดสินใจที่ดี จึงพูดตามไห่โจ๋ซวนอย่างอ่อนโยน:“ชูฉิง พวกเราค่อยมาใหม่ครั้งหน้าดีไหม”
เย่ชูฉิงเห็นไห่โจ๋ซวนกับซ่งเมิ่นเจ๋ที่ยืนอยู่ด้วยกัน การพูดการจาก็ไปทางเดียวกัน ในใจรู้สึกล้มเหลวที่เข้าไปไม่ถึงโลกของพวกเขาทั้งสองคน อารมณ์ก็ยิ่งรู้สึกผิดหวัง ส่ายหน้าแล้วยืนอยู่ข้างๆจางถัง คิดแค่อยากจะหนีไปจากไห่โจ๋ซวนให้พ้น
“ชูฉิง” เย่เนี่ยนโม่น้ำเสียงเข้มงวดขึ้น ไปที่แบบนั้นใช่ว่าจะพูดล้อเล่นได้ ปกติเย่ชูฉิงเป็นคนที่เชื่อฟังว่านอนสอนง่าย แต่ทำไมวันนี้เกิดอะไรขึ้น

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset