สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1397 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1297

อ้าวเสว่รีบเดินมาข้างหน้าเพื่อพยุงเย่เนี่ยนโม่ แล้วช่วยเย่ชูฉิงพูดแก้ต่าง :“เนี่ยนโม่ ชูฉิงยังเด็ก คุณอย่าพูดเสียงแบบนี้ จะทำให้เธอตกใจได้”
อ้าวเสว่หันไปมองเย่ชูฉิงแล้วพูดต่อขึ้น:“ชูฉิง ถ้าหากว่าเธออยากไปจริงๆ อย่างนั้นพวกเราไปเดินแค่รอบๆตกลงไหม”
อ้าวเสว่มีมุมมองของตัวเอง ตอนนี้ไม่มีใครสนับสนุนเย่ชูฉิง ถ้าหากว่าตัวเองนั้นย้ายมาสนับสนุนเย่ชูฉิง อย่างนั้นเย่ชูฉิงจะต้องรู้สึกขอบคุณตัวเองอย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไรต่อไปก็ต้องสานสันพันธ์กับเย่เนี่ยนโม่ เธอกับเย่ชูฉิงจะต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกันถึงจะถูก
เย่ชูฉิงเดิมทีแค่ต้องการหาข้ออ้างเพื่อระบายอารมณ์ ได้ยินดังนั้นจึงได้แต่พยักหน้า แล้วทำการก้มหน้าไม่หันไปมองไห่โจ๋ซวน
ติงยียีรู้สึกว่าแบบนี้นั้นไม่ได้ ไปสำรวจป่าภายใต้การไร้อุปกรณ์ทุกอย่าง อีกทั้งยังเป็นเพียงกลุ่มนักศึกษาที่ไม่มีความรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับการสำรวจป่า ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ล้วนแต่อันตราย จึงได้ปริปากพูด:“ฉันรู้สึกจริงๆว่าแผนการนี้ไม่ไหว ถ้าหากพวกคุณดึงดันที่จะไป ฉันจะไม่ขอเข้าร่วม”
ติงยียีจะไม่เห็นด้วยเพียงเพราะการตัดสินใจของทุกคน จากนั้นหันไปมองซ่งเมิ่นเจ๋เพื่อนสนิทของตัวเอง ในแววตาของซ่งเมิ่นเจ๋นั้นมีแต่ไห่โจ๋ซวน ไม่สามารถจะให้คนอื่นเข้ามาแทนที่ได้ แล้วก็หันมามองติงยียีผู้น่าสงสาร ติงยียีทอดถอนใจ แล้วก็ต้องจำใจยอมเห็นด้วย
เพราะข้อเสนอของจางถังและความดื้อรั้นของเย่ชูฉิง สุดท้ายคนที่ตัดสินใจไปมีไห่โจ๋ซวน เย่ชูฉิง ติงยียี ซ่งเมิ่นเจ๋ ยังมีเย่เนี่ยนโม่ อ้าวเสว่ จางถังกับชายหนุ่มอีกคนที่ไม่รู้จัก
กลุ่มคนที่เดินทางได้ไปที่ร้านอุปกรณ์เพื่อซื้ออุปกรณ์เล็กน้อยที่จำเป็น จากนั้นก็นั่งรถตู้จนไปถึงรอบนอกบริเวณของป่า เมื่อจ่ายเงินค่าโดยสารคนขับรถแล้ว จากนั้นกำชับอีกฝ่ายให้มารับตอนค่ำๆ จากนั้นคนกลุ่มนี้จึงเริ่มออกเดินทาง
ในตอนแรกก็เป็นทางลาดชัน เย่ชูฉิงปีนอยู่ดีๆ จู่ๆเท้าเกิดอาการเซ จึงได้ถูกไห่โจ๋ซวนดึงมือไว้
“ชูฉิง ไม่เป็นไรใช่ไหม” ไห่โจ๋ซวนย่อมรู้ว่าทำไมเย่ชูฉิงถึงอารมณ์เสีย สิ่งที่เขาต้องการก็คือผลลัพธ์แบบนี้ แม้ว่าใจจะเจ็บนิดหน่อย แต่เมื่อนึกถึงพ่อรวมถึงภาพแม่ที่มองดูรูปถ่ายของพ่อทุกวัน ในใจก็จะต้องแข็งต่อไป
เย่ชูฉิงเงียบแล้วส่ายหน้า หัวใจของเธอตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม พี่โจ๋ซวนปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาตอนที่อยู่ที่สะพานโรสแมรี่ ที่ผ่านมาคิดว่าหากตัวเองคอยเฝ้ารอโจ๋ซวนอย่างจดจ่อ ต้องมีสักวันที่ขาจะมองเห็นความดีของตัวเอง แต่ว่าตอนนี้เห็นทีทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องน่าขำ อีกฝ่ายเห็นตัวเองเป็นแค่เพียงน้องสาวเท่านั้น
เย่เนี่ยนโม่เดินตามหลังอ้าวเสว่ และคอยพยุงอ้าวเสว่อยู่ตลอดเวลา มีเงาร่างได้เดินผ่านแวบทั้งคู่อย่างไปที่รวดเร็ว ติงยียีใช้ไม้เท้าเดินป่าอย่างชำนาญช่ำชอง ช่วยทุกคนเคลียร์อุปสรรคกีดขวางที่อยู่ด้านหน้า เดินนำหน้าโด่อยู่ด้านหน้าคนเดียว
“เก่งจังเลย! ไม่เหมือนผู้หญิงเลยสักนิด” อ้าวเสว่ถอนหายใจเบาๆ แล้วมองไปทางที่มีเงาร่มต้นไม้ เพื่อหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางของตัวเองที่แต่งอย่างประณีตต้องมาเลอะเพราะแสงแดด
ทุกคนปีนขึ้นไปทางลาดชัน คนแรกที่อยากมากลับถูกทิ้งให้อยู่ด้านหลังสุด มองข้างกายเย่ชูฉิงที่มีไห่โจ๋ซวน จางถังกัดฟันจนแทบจะแหลกละเอียด อุตส่าห์เดินมาตั้งไกล แม้แต่มือของอีกฝ่ายก็ไม่ได้จับ! เขาครึ่งลูกกลางป่าคือพื้นที่โล่งกว้าง ทุกคนจึงทำการพักผ่อนกัน จางถังชี้ไปที่ลำธารเล็กๆที่อยู่ข้างๆแล้วพูดขึ้น :“ใช้ได้ๆ วันนี้มาถือว่าถูกต้องแล้ว ที่นี่มีลำธารเล็กๆ!”
สาวๆได้ยินดังนั้นก็เกิดความสนใจขึ้นมา ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นเดือนเมษา แต่ว่าอากาศนั้นได้ร้อนมากแล้ว โดยเฉพาะหลังจากการปีเขาก็ยิ่งร้อน อีกอย่างมีที่ไหนในเมืองที่สามารถเห็นทัศนียภาพที่งดงามเช่นนี้
“ชูฉิง ให้ฉันไปเดินเป็นเพื่อนเล่นเธอแถวๆลำธารไหม” อ้าวเสว่แนะนำอย่างอ่อนโยน เย่เนี่ยนโม่มองที่เท้าอ้าวเสว่อย่างไม่เห็นด้วย เท้าของอ้าวเสว่เกิดแผลพุองสองแผลแล้ว
อ้าวเสว่ยิ้มแล้วตบเข้าที่มือของเย่เนี่ยนโม่ จากนั้นพูดเบาๆ “:ชูฉิงก็เปรียบเสมือนน้องสาวของฉัน เธออารมณ์ไม่ดี ฉันไปเดินเล่นเป็นเพื่อน ฉันไม่เป็นไรหรอก คุณก็ไม่ต้องตามมานะ ผู้หญิงด้วยกันคุยกันง่าย”
เย่เนี่ยนโม่มองดูอ้าวเสว่ที่อ่อนโยน ใจก็อ่อนลงจาก พยักหน้าแล้วกล่าวกำชับ:“อย่าไปไกลมาก หากมีอะไรให้รีบเรียกผมทันที”
กลุ่มคนเดินไปทางลำธารที่อยู่ไม่ไกล สถานที่โล่งกว้างจึงได้ว่างเปล่าขึ้นทันใด สายตาของติงยียีหันไปบน หันไปล่าง หันไปซ้าย ก็คือไม่หันไปทางตัวของเย่เนี่ยนโม่ เรื่องที่ทั้งคู่“ล่อนจ้อน”เมื่อสองคืนก่อน ยังคงวกวนอยู่ในหัวของตัวเอง โดยเฉพาะตอนที่อยู่ที่ตลาด วินาทีที่เย่เนี่ยนโม่ดึงมือของตัวเองไว้ เธอยอมรับว่าไม่รู้ทำไมหัวใจของตัวเองถึงได้หยุดเต้นไปชั่วขณะ
“โจ๋ซวน คุณเป็นอะไรไป ไม่สบายเหรอ” ซ่งเมิ่นเจ๋มองสีหน้าของไห่โจ๋ซวนที่ไม่ค่อยสู้ดี จึงได้ถามขึ้น เย่เนี่ยนโม่ก็ถามไห่โจ๋ซวนขึ้น:“เกิดเรื่องขึ้นกับนายและชูฉิงเหรอ”
ไห่โจ๋ซวนมองดูเย่เนี่ยนโม่ ความเกลียดชังที่มีต่อตระกูลเย่ ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันกับเย่ชูฉิง ทุกอย่างได้ปะทุอออกมา ในใจกำลังยิ้มเยาะ แต่ภายนอกน้ำเสียงกลับสุขุมแล้วพูดขึ้น:“เนี่ยนโม่ นายรู้ว่าผมเห็นชูฉิงเป็นเพียงน้องสาว”
“ถ้าหากเป็นเพียงน้องสาว อย่างนั้นก็อย่าทำดีกับเธอ อย่าให้ความหวังกับเธอ” ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เย่เนี่ยนโม่เห็นหัวใจของน้องสาวตัวเองห้อมล้อมอยู่กับเพื่อนสนิทของตัวเอง ทั้งคู่เป็นคนที่สำคัญสำหรับเขา เขาไม่ต้องการเห็นคนใดคนหนึ่งต้องเจ็บปวด ถ้าหากเป็นไปไม่ได้ ก็อย่าให้ความหวังอีกฝ่าย
“ผมจะไตร่ตรองคำแนะนำของนาย” ท่าทางไห่โจ๋ซวนที่เย็นชาขึ้น ทั้งคู่ที่ค่อนข้างตึงเครียด
“ชูฉิง!” เสียงเรียกอย่างเป็นห่วงของอ้าวเสว่ที่อยู่ไกลๆ เย่เนี่ยนโม่กับไห่โจ๋ซวนสบตากันแวบหนึ่ง แล้วก็วิ่งไปทางลำธารพร้อมกัน
เย่ชูฉิงกำลังนั่งอยู่บนหินก้อนแห้งๆ โดยที่เท้ามีสิ่งสัตว์น้ำตาลปีนกระดืบอยู่ จางถังนั่งยองๆอยู่ข้างๆช่วยดึงออก
“อย่าแตะ นั่นคือปลิง !” เย่เนี่ยนโม่ร้องตะโกนขึ้น จางถังเจ้าซื่อบื้อ เมื่อปลิงดูดเข้าที่ผิวหนังของคนก็จะเจาะเข้าไปในเส้นเลือด หากฝืนดึงออกมา ตัวปลิงก็จะหักขาดเป็นสองท่อน ท่อนหนึ่งก็จะวิ่งเข้าไปในเส้นเลือด จางถังคนนี้มีความรู้รอบตัวหรือเปล่าเนี่ย
จางถังเมื่อได้ยินเสียงดังของเย่เนี่ยนโม่รู้สึกไม่พอใจ จึงได้ตะโกนขึ้น :“ไม่เห็นเหรอว่าชูฉิงกลัวมาก!”
อ้าวเสว่ที่อยู่ข้างๆก็เดินไปมาอย่างลนลาน แต่ไม่ใช่เป็นเพราะบนตัวของเย่ชูฉิงนั้นมีปลิง แต่เป็นเพราะเธอเห็นแล้วว่ามีปลิง แต่ไม่ได้เตือนให้ทุกคนๆทราบ ถึงได้ทำให้เย่ชูฉิงถูกปลิงดูด
เย่เนี่ยนโม่ที่ทางสามเก้าเดินเพียงสองเก้าเหวี่ยงจางถังออกไป จากนั้นหยิบเกลือออกจากกระเป๋าหนึ่งถุงแล้วเปิดออก กำลังที่จะเทใส่บาดแผลของเย่ชูฉิง ร่างก็ถูกจางถังผลักแรงๆไปทีหนึ่ง เกลือทั้งถุงนั้นตกลงไปที่ลำธาร
จางถังตกใจชะงัก เขาเดิมทีถูกเย่เนี่ยนโม่ทำให้หงุดหงิด ก็เลยอยากจะผลักเย่เนี่ยนโม่สักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เกลือนั้นหลุดออก มองแววตาของเย่เนี่ยนโม่ที่อยากจะกินเลือดคน จางถังจึงตะโกนขึ้นอย่างระแวง:“ผมไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย ใครบอกให้นายผลักผมก่อน”
“ใช้ของฉัน” เวลานี้ติงยียีก็ไม่สนกับความอายแล้ว ถ้าหากว่าปลิงนั้นเข้าไปในผิวหนังก็จะไปกันใหญ่ เย่เนี่ยนโม่พยักหน้าให้กับติงยียี แล้วรับเกลือมาเทลงขาเล็กๆของเย่ชูฉิง จากนั้นยื่นมือไปตบที่ขาเล็กๆของเย่ชูฉิง
เย่ชูฉิงตกใจจนสีหน้าซีด จนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ มือถูกกุมไว้ เย่ชูฉิงมองไห่โจ๋ซวนด้วยน้ำตาคลอเบ้า
ปลิงได้หลุดออกมา เย่เนี่ยนโม่มองไห่โจ๋ซวน ดวงตาแน่วแน่ ไห่โจ๋ซวนปล่อยมือด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ
“ยียี ทำไมเธอถึงได้พกเกลือด้วยล่ะ” ซ่งเมิ่นเจ๋รู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ค่อยรู้จักยียีดีมากนัก เมื่อสักครู่ปีนเขาอย่างกระฉับกระเฉง ตอนนี้ก็รู้วิธีจัดการกับปลิงอีก
ติงยียีเห็นเย่ชูฉิงไม่เป็นไรถึงได้ถอนหายใจแล้วยิ้มแล้วตอบขึ้น:“ตอนเด็กๆพ่อมักพาฉันออกไปสำรวจข้างนอกเสมอ และก็เป็นตอนนั้นที่ฉันพบว่าทิวทัศน์ของธรรมชาติ หากนำมาทำเป็นเครื่องประดับอัญมณีคงจะงดงามน่าดู ดังนั้นฉันจึงชอบออกแบบเครื่องประดับ
“พ่อของคุณทำงานเป็นนักสำรวจเหรอ” ชายหนุ่มที่ไม่รู้จักเข้ามาถามอยู่ข้างๆ ติงยียีจึงตอบกลับอย่างตั้งใจ:“ไม่ใช่ พ่อฉันเป็นเพียงคนขับรถส่งของเท่านั้น”
เจอเข้ากับปลิง เย่ชูฉิงจึงตกใจขึ้นอีก เย่เนี่ยนโม่ได้แนะนำขึ้นอีกครั้งก็ไม่มีใครคัดค้านแล้ว จางถังเองก็กลัวปลิง ดันนั้นครั้งนี้จึงนั่งเงียบอยู่ข้างๆ
อากาศเดือนเมษาบอกลมก็คือฝน ฟ้าสว่างใสจ้าอยู่แท้ๆ สักพักฝนก็โปรยกระหน่ำลงมา ทุกคนจึงกลายเป็นลูกหมาตกน้ำกันเลยทีเดียว
ขณะเดียวกันติงยียีกับเย่เนี่ยนโม่ได้หยิบเสื้อกันฝนหลายตัวออกจากกระเป๋าสะพายหลังตัวเอง ซ่งเมิ่นเจ๋จึงได้พูดแซวเล่นๆขึ้น:“พวกเธอสองคนนี้ช่างใจตรงกันจริง พกเกลือเหมือนกัน พกเสื้อกันฝนเหมือนกันอีก”
ติงยียีเงียบ ยื่นเสื้อกันฝนให้กับทุกคน เย่เนี่ยนโม่สวมเสื้อกันฝนแล้วพูดกับทุกคนว่า:“เมื่อกี้พวกเราเดินตามเส้นทางลูกรังขึ้นมา ตอนนี้ไม่รู้เส้นทางเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ผมจะไปสำรวจเส้นทางก่อน ครึ่งชั่วโมงจะกลับมา”
ทุกคนรู้ว่าเย่เนี่ยนโม่มีประสบการณ์การปีนเขา และก็คิดว่าเป็นวิธีที่ดี ติงยียีขมวดคิ้ว ในสถานการณ์ฝนตกเช่นนี้ การออกไปไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย
“ติงยียี คุณก็มีประสบการณ์ คนทั้งหมดนี้ต้องพึ่งพาคุณแล้ว” เย่เนี่ยนโม่กล่าวกับติงยียี ชั่วโมงนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกัน ติงยียีพยักหน้า อ้าวเสว่อยากจะตามไปด้วย เกลียดตัวเองที่น่าจะมีประสบการณ์การปีนเขาเพื่อทำให้เย่เนี่ยนโม่ได้ชื่นชม
เย่เนี่ยนโม่จากไปแล้ว ทุกคนเข้าไปยืนอยู่ในหลุมดินที่เว้าเข้าไป จางถังวิ่งไปอยู่ที่ใต้ต้นไม้ ติงยียีพูดด้วยความหวังดี :“ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อาจจะทำให้ถูกฟ้าผ่าได้”
“มีฟ้าผ่าเยอะแยะที่ไหน อีกอย่างต้นไม้มีตั้งมากมาย จะมาผ่าต้นที่ผมยืนต้นเดียวได้อย่างไร” คำพูดเพิ่งจบ ก็มีเสียงดังเปรี้ยงแวบผ่านท้องฟ้า จางถังตกใจจนวิ่งหนีหางจุกตูดออกมา
“โง่”ไห่โจ๋ซวนพูดเสียงเบาๆ คำพูดของเย่เนี่ยนโม่เมื่อสักครู่ทำให้เขาโกรธขึ้นจริงๆ ให้เขาปล่อยมืออย่างนั้นรึ ไม่ เขามีแต่จะทรมานพวกเขาให้มากขึ้น
ซ่งเมิ่นเจ๋มองไห่โจ๋ซวนอย่างแปลกๆ ไห่โจ๋ซวนไม่เคยแสดงท่าทางถากถางเยาะเย้ย หรือแม้แต่คำพูดที่รุนแรง ที่ผ่านมามีแต่ท่าทางที่นุ่มนวลอ่อนโยน เมื่อสักครู่หากไม่ใช่เห็นหรือได้ยินกับตา เธอแทบจะนึกภาพไม่ออกว่าไห่โจ๋ซวนที่สุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอดนั้นจะมีจิตใจที่ชั่วร้ายเช่นนี้ได้
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ทุกคนตกใจ เย่ชูฉิงรับโทรศัพท์ขึ้นอย่างประหลาดใจ:“ยี่ซวน?”
“ชูฉิง เธอกำลังทำอะไรอยู่ทางนั้น ทำไมถึงเสียงดังขนาดนั้น” หลี่ยี่ซวนที่กำลังออกกำลังกาย ได้ยินเสียงจึงได้ถามขึ้น
“เพื่อนๆของพี่ชายจัดโปรแกรมท่องเที่ยวเมืองs ฉันก็เลยตามมาด้วย” เย่ชูฉิงรู้สึกเหมือนมีสายตาจ้องมองมาที่เธอ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ไม่เห็นมีอะไร ในใจมีคำพูดมากมายที่อยากจะปรึกษายี่ซวน เย่ชูฉิงจึงพูดกับหลี่ยี่ซวนว่า :“ยี่ซวน กลับไปแล้วฉันมีเรื่องมากมายอยากจะคุยกับคุณ”

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset