สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1421 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1321

“ฉันคอแห้งแล้วล่ะ” ติงยียีพูดเสียงกระซิบ รู้สึกอายขึ้นมาเล็กน้อย เย่เนี่ยนโม่เลิกคิ้วพลางหยิบรีโมทคอนโทรลมากดเปิดประตูตู้เย็น บานประตูขนาดความสูงเท่ากับหนึ่งคนกว้างสองคนได้เปิดออกจากตรงกลาง มันถูกแบ่งส่วนบนและล่างเป็นสี่ส่วน
เขาหยิบน้ำแร่ขวดหนึ่งแล้วโยนให้เธอ เย่เนี่ยนโม่กลับไปนั่งลงบนโต๊ะ ติงยียีดื่มน้ำแล้วเอนสายตามองดูเขาและเอ่ยว่า : “ไม่ว่าคุณจะกังวลใจอีกสักแค่ไหน มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะที่ชูฉิงจะปรากฏตัวต่อหน้านายทันทีทันใด”
“มีใครจะปลอบโยนคนเหมือนแกเนี่ย” เย่เนี่ยนโม่ดื่มเหล้าในแก้วจนหมดอย่างขุ่นเคืองแล้วหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะพูดว่า : “ฉันไม่ใช่พี่ชายที่ดีแล้วก็ไม่ใช่น้องชายที่ดีด้วย”
ติงยียีตบไหล่ของเขาอย่างเห็นใจ : “ถ้าดื่มแบบนี้ต่อไป แสดงให้เห็นเลยว่านายเป็นขี้เมาไปแล้ว”
ทันทีที่เสียงจบลง มือของเธอถูกเย่เนี่ยนโม่จับเอาไว้ เขาจงใจพูดด้วยน้ำเสียงที่เมามายว่า : “เธอเคยเห็นขี้เมาที่สงบนิ่งขนาดนี้เหรอ? เห็นอยู่ชัดๆว่าบนตัวของฉันไม่มีกลิ่นเหล้าเลย เธอดมสิ!”
ติงยียีรีบหลบ มือถูกดึงกลับไปอย่างแรงจนเธอล้มทับเขาทั้งตัว ทั้งสองคนตกตะลึง ติงยียีรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ขั้นบนสุดของบันไดและพูดว่า : “ฉันจะไปนอนแล้ว”
“ราตรีสวัสดิ์” เย่เนี่ยนโม่พึมพำอยู่ที่ด้านหลังของเธอ
วันรุ่งขึ้น ติงยียีตื่นแต่เช้า เมื่อเธอลงมาชั้นล่างห้องนั่งเล่นก็มีคนนั่งอยู่เต็มไปหมดแล้ว เมื่อเห็นเธอ แม่บ้านรีบเดินเข้ามาแล้วเอ่ยทักว่า : “คุณหนูติงตื่นแล้วเหรอคะ? ทานข้าวเช้าเถอะค่ะ”
“ขอบคุณค่ะแต่ไม่ต้องหรอกค่ะ” ติงยียีเขินอายอย่างมาก ตัวเธอคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะนอนดึกขนาดนั้น โม่เสี่ยวจุนพูดในห้องนั่งเล่นว่า : “ฉันบอกให้คนรู้จักคอยจับตามองไว้แล้ว ทันทีที่ได้ข่าวจะบอกทันที”
เย่เชินหลินพยักหน้า อ้าวเสว่ที่นั่งถัดไปข้างๆ เอ่ยว่า “ชูฉิงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับยียีมาโดยตลอด เมื่อวานชูฉิงยังฝากข้อความถึงยียีเลยค่ะ”
สายตาของทุกคนจับจ้องไปบนตัวของยียี เซี่ยชีหรั่นกล่าวว่า : “คุณหนูติง ขอให้หนูเพิ่มความใส่ใจลูกสาวของฉันให้มากด้วยนะคะ ถ้าหากว่าเธอมาหาหนู รบกวนหนูแจ้งให้พวกเราทราบด้วย”
ติงยียีพยักหน้า ภายในห้องนั่งเล่นมีบรรยากาศที่กดดันอย่างมาก เมื่อปรึกษาหารือกันถึงสถานการณ์ทั่วไปเสร็จแล้ว ทุกคนก็ทยอยแยกย้ายกันไป “เนี่ยนโม่ พวกเราไปมหาวิทยาลัยกันเถอะค่ะ” อ้าวเสว่พูด
เย่เนี่ยนโม่หยิบกุญแจรถขึ้นมาและมองติงยียีซ้ำไปซ้ำมาแล้วคิดจะเรียกเธอ เย่ชูหวินที่อยู่ด้านข้างเดินไปตรงหน้าเธอแล้วไม่รู้ว่าพูดอะไรบางอย่าง สีหน้าของติงยียีแดงขึ้นมาเล็กน้อยและพยักหน้า
“ไปกันเถอะ” เย่เนี่ยนโม่พาอ้าวเสว่ออกมาข้างนอก ติงยียีมองดูเงาด้านหลังของทั้งคนเดินตามกันไป “พวกเราก็ไปกันเถอะ” เย่ชูหวินพูดพร้อมกับจับมือของเธออย่างเป็นธรรมชาติ
ความคิดของติงยียีที่เดิมก็สับสนอยู่แล้วยิ่งวุ่นวายมากขึ้นแล้วปล่อยให้เขาจับมือเธอเอาไว้ หลังจากออกบ้านตระกูลเย่ รถมอเตอร์ไซค์ที่ขับไปได้ครึ่งทางก็ได้หยุดลง
“เกิดอะไรขึ้น? ถึงแล้วเหรอ?” ติงยียีมองเย่ชูหวินเดินเข้าไปในร้านKFCอย่างแปลกใจ หลังจากนั้นไม่นานถือถุงอาหารเช้าร้อนๆที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆออกมาแล้ววางไว้บนมือของเธอ
ใจของติงยียีเองก็อบอุ่นเหมือนอาหารเช้าร้อนๆเช่นกัน เย่ชูหวินจากไปเมื่อถึงมหาวิทยาลัย ติงยียีกำลังคิดที่จะเดินไป รถเอสยูวีคันหนึ่งขับเข้าไปจอดในที่จอดรดพรวดเดียวแล้วโจ๋ไห่โจ๋ซวนก็ลงจากรถ
ติงยียีมองดูเขาจนไม่รู้ตัวว่าเขามายืนอยู่ข้างๆแล้ว และเขาไม่แม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อเลยด้วยซ้ำ เธอเอ่ยอย่างกังวลใจว่า : “โจ๋ซวน”
ไห่โจ๋ซวนหันหน้ามามองเธอ ใบหน้ายังคงบึ้งตึงจนน่ากลัว ติงยียีเอ่ยว่า : “ไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเหรอ?” ไห่โจ๋ซวนพยักหน้าอย่างเฉยเมย เขาตามหาทั้งคืน ชูฉิงไปอยู่ที่ไหนกันแน่?
ติงยียีเพิ่งจะมาถึงห้องเรียน หลังจากที่เห็นข้อความในมือถือแล้วก็วิ่งออกไปอีกครั้ง เธอวิ่งกระหืดกระหอบไปที่ริมทะเลสาปของมหาวิทยาลัยแล้วก็เห็นเย่ชูฉิงโดยหันหลังอยู่เงียบๆให้เธอ
“ชูฉิง!” ติงยียีทั้งวิ่งและตะโกนไปด้วย เย่ชูฉิงหันหน้ามาแล้วฝืนยิ้มให้ ใต้เบ้าตาทั้งหมดเป็นสีเขียวคล้ำจางๆที่ไม่ได้นอนทั้งคืน
“เธอไปที่ไหนมา เธอรู้ไหมว่าทุกคนกำลังตามหาเธอ” น้ำเสียงของติงยียีมีความเคร่งเครียดเล็กน้อย เย่ชูฉิงก้มหน้าลงแล้วพูดว่า : “ฉันขอโทษ”
“กลับไปกับฉัน” ติงยียีดึงมือเธอแล้วจะเดินไป เย่ชูฉิงก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวและเอ่ยคัดค้านว่า : “ฉันจะไม่กลับไป”
“งั้นอย่างน้อยบอกฉันทีใครว่าเมื่อวานนี้เป็นคนพาเธอไป?” ติงยียีสงบลงเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่เบี่ยงเบนความสนใจ ก็หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าตัวเองเงียบๆ
เย่ชูฉิงส่ายหัวและมีคนสองคนวิ่งเหยาะๆอยู่ไม่ไกลวิ่งเข้ามา ติงยียีมองดูเขาอย่างประหลาดใจ : “จางถัง เหยนหมิงเย้า?”
จางถังถือขวดน้ำสองขวดไว้ในมือแล้วยื่นขวดน้ำให้เย่ชูฉิงที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดกับเธอด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ : “ชูฉิง ไม่ได้นัดดูหนังกันไว้เหรอ อีกสองชั่วโมงจะเริ่มแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
เย่ชูฉิงเหลือบมองติงยียีอย่างลังเลแล้วหันหลังจะเดินไป ติงยียีคว้าแขนของเธอแล้วดึงไปที่ด้านข้างอย่างแรง : “ชูฉิง เธอพูดมาตามตรงว่าเขาทำอะไรกับเธอ?”
เย่ชูฉิงยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับส่ายหัว จางถังฉวยโอกาสนี้ดึงตัวเธอไป เหยนหมิงเย้าที่อยู่ด้านข้างขวางติงยียีที่คิดจะเดินไปด้านหน้าแล้วเอ่ยว่า : “เธอสัญญาแล้วว่าจะเป็นแฟนของจางถัง!”
“นายพูดอะไรน่ะ!” ไห่โจ๋ซวนเดินออกมาจากใต้ต้นไม้และมองไปที่เย่ชูฉิงอย่างไม่ละสายตา
ตัวเธอได้แจ้งกับเย่เนี่ยนโม่ไม่ใช่หรอกหรือ ทำไมไห่โจ๋ซวนถึงอยู่ที่นี่ ติงยียีหยิบโทรศัพท์มาดูแล้วถึงพบว่าเพราะว่าเธอรีบร้อนเกินไปจึงพิมพ์ชื่อผู้ติดต่อผิด
จางถังวางมือลงบนไหล่ของเย่ชูฉิงอย่างยั่วยุ ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูดก็ถูกไห่โจ๋ซวนรีบวิ่งเข้ามากระแทกหมัดใส่จนล้มลงบนพื้น
“เอามือสกปรกของแกออกไป” ไห่โจ๋ซวนพูดอย่างเย็นชา เย่ชูฉิงเริ่มแสดงออกถึงการตั้งตารออะไรบางอย่าง เธอมองดูเขาด้วยสายตากระตือรือร้น : “พี่โจ๋ซวน พี่เองก็ชอบฉันอยู่บ้างใช่ไหมคะเลยไม่ชอบที่คนอื่นมาแตะต้องฉัน?”
“พอได้แล้ว! ถ้าเธอไม่รักตัวเองขนาดนี้อย่างนั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว คิดถึงตัวเองให้ดีก่อนทำอะไร” ไห่โจ๋ซวนกวาดสายตามองจนเย่ชูฉิงสีหน้าขาวซีดทันทีทันใดแล้วสาวเท้าเดินจากไป
ใบหน้าของเย่ชูฉิงซีดเผือดหันกลับมาแล้วพูด ติงยียีจะเอ่ยปากพูด แต่เมื่อหันกลับมาแล้วเห็นสายตาที่สิ้นหวังของเธอก็พูดในสิ่งที่ตั้งใจจะพูดไม่ออก
เหยนหมิงเย้าคอยมองไม่ให้ติงยียีไล่ตามไปจนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าจางถังและเย่ชูฉิงเดินไปไกลแล้ว เขาถึงได้จากไป
เย่เนี่ยนโม่มาถึงพร้อมกับอ้าวเสว่อย่างรีบร้อน เมื่อเห็นติงยียีนั่งอยู่บนม้าหินเพียงลำพังก็รีบพูดว่า : “คนล่ะ?”
ติงยียีส่ายหน้า เย่เนี่ยนโม่ก้าวไปตรงหน้าแล้วคว้าไหล่ของเธอมาเขย่า : “ส่ายหน้านี่หมายความว่ายังไง น้องสาวฉันล่ะ!”
อ้าวเสว่รีบก้าวขึ้นมาด้านหน้าแล้วดึงมือของเขาที่กำลังกักขังตัวติงยียีอยู่ บนหน้ากลับมีประกายยินดีที่ติงยียีต้องโชคร้ายฉายออกมาแล้วเอ่ยว่า : “เธอคงจะไม่ได้ตั้งใจหรอกใช่ไหม ยียี?”
“ขอโทษด้วย” ติงยียีก้มหน้าลงพร้อมกับพูดออกมาแล้วหันหลังกลับเดินจากไป เย่เนี่ยนโม่มองดูเงาของเธอที่กำลังวิ่งหนีแล้วกระแทกหมัดไปบนต้นไม้
ติงยียีวิ่งอยู่พักหนึ่งถึงจะได้ต่อสายหาเย่ชูฉิงอีกครั้ง โทรศัพท์ถูกปิดเรียบร้อยแล้ว ความตื่นตระหนกขนาดใหญ่ได้พัดเธอจนม้วนกลิ้งไปแล้วจริงๆ เธอถูกสายตาที่สิ้นหวังของเย่ชูฉิงทำให้ตกใจจนปล่อยให้จางถังพาเธอไปได้อย่างไร?
ในใจยิ่งคิดยิ่งกังวล ติงยียีนึกถึงสิ่งที่จางถังพูดขึ้นได้ในทันที เขาพูดว่าอีกสองชั่วโมงหนังจะเริ่ม ตัวเองเพิ่งจะส่งข้อความตอนเก้าโมงเช้า งั้นก็ประมาณได้ว่าหนังน่าจะเริ่มฉายตอน 11 โมง
ติงยียีรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างรวดเร็วแล้วค้นหาตั๋วหนังที่ฉายตอน 11 โมง และพบว่ามีสามโรงภาพยนตร์ที่มีรอบการฉายในเวลานี้
ติงยียีหันหลังแล้ววิ่งออกไป ครั้งนี้เธอจะต้องพาเย่ชูฉิงกลับมาให้ได้ จากนั้นเธอก็นั่งรถแท็กซี่ไปจนถึงทางเข้าโรงภาพยนตร์โรงที่หนึ่ง ติงยียีรีบเดินว่อนภายในห้องโถงและถามผู้คนที่เดินผ่านไปมาทั่วทุกที่ แต่ไม่พบอะไรเลย ภายใต้ช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังเธอรีบโทรหาเย่เนี่ยนโม่อย่างรีบเร่ง
เย่เนี่ยนโม่ฟังอย่างสงบจนจบแล้วพูดเสียงเข้มว่า : “มันเป็นไปไม่ได้ที่ตามหาจะโรงหนังสามโรงภายในสองชั่วโมง ยอมแพ้เถอะ คลิก!” โทรศัพท์วางไปแล้วและมีเสียงสายไม่ว่างดังขึ้น
ณ. ริมทะเล
“การปฏิบัติต่อผู้หญิงหยาบคายแบบนี้ไม่ใช่พฤติกรรมของสุภาพบุรุษเลยนะ” หยูหลันวางเหยื่อปลอมไว้บนคันเบ็ดแล้วพูดเบาๆ เย่เนี่ยนโม่ที่นั่งอยู่ด้านข้างพูดอย่างไม่แยแสว่า : “พูดถึงเรื่องนี้แล้ว พวกเรามาพูดเรื่องหัวข้อคราวก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”
“เอาสิ คุยยังไงดีล่ะ” เขาวางคันเบ็ดลงบนพื้นพร้อมกับหันหน้าไปมองเย่เนี่ยนโม่แล้วผายมือออกทั้งสองข้าง : “สั้นๆเลยนะ มีคนจำนวนมากที่อยากจะร่วมงานกับผม พวกเราส่งทีมเทคนิคไปประจำอยู่ที่ไซต์งานก่อสร้างของพวกคุณเพื่อคอยให้คำแนะนำ แต่ว่าผมต้องการถือหุ้น แค่ถือหุ้นบางส่วน ไม่มากหรอก สามสิบเปอร์เซ็นต์ก็พอ”
เย่เนี่ยนโม่ครุ่นคิดอย่างหนักเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา หยูหลันมองดูทะเลสาบด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในใจรู้สึกผิดหวังอีกครั้ง เขาไม่เห็นข้อผิดพลาดที่ปรากฏชัดในสัญญาที่เขาเกือบลงนามไปครั้งล่าสุด ครั้งนี้มันดูอุกอาจยิ่งขึ้นไปอีก
หุ้นสามสิบเปอร์เซนต์จะว่าน้อยก็น้อย แต่ทันทีที่เทคโนโลยีติดตั้งแล้ว เขาสามารถทำอะไรก็ได้กับโปรเจกต์นี้ หุ้นทางเทคโนโลยีสามารถถอนออกมาได้ตลอดเวลา ถึงเวลานั้นหุ้นของบริษัทเย่ซื่อก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทั้งหมด หากไม่เข้าใจในจุดนี้ บริษัทเย่ซื่อก็ยังวางไว้ในมือเขาไม่ได้จริงๆ
เย่เนี่ยนโม่รู้สึกว่ามีบางอย่างที่คลุมเครืออยู่ในคำพูดของเขา จึงพูดอย่างรอบคอบว่า : “บริษัทของเราสามารถให้ผลประโยชน์และค่าตอบแทนด้านเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น”
ยังนับว่าไม่โง่เกินไป หยูหลันคิดแล้วพูดเสียงเบาว่า : “คุณแน่ใจหรือว่าผลประโยชน์และค่าตอบแทนผมจะจัดหาไม่ได้ หรือต้องการจะบอกว่าผมไม่สามารถหาได้มากกว่าได้งั้นเหรอ?”
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วแน่น เขาเองก็ไม่อยากบีบบังคับจนรัดแน่นเกินไป จึงผายมือทั้งสองข้างออกเช่นที่เคยทำ : “วันนี้ผมไม่อยากคุยอีก รอจนผมสนใจแล้วจะโทรหาคุณอีกครั้งแล้วกัน!”
เย่เนี่ยนโม่เดินกลับไปยังสถานที่ที่จอดรถไว้แล้วเตะประตูรถอย่างรุนแรง รู้สึกไม่ดีเลยที่ถูกคนปั่นหัวจนกลายเป็นคนโง่ แต่ว่าตอนนี้เขากังวลใจเรื่องชูฉิงอยู่ตลอดเวลา จึงไม่มีทั้งจิตใจและพละกำลังที่จะไปคิดเรื่องเหล่านี้เลยจริงๆ
ในเวลานี้เอง โทรศัพท์ได้ดังขึ้น เย่เนี่ยนโม่รับสาย : “ครับพ่อ”
“ฉันให้เวลาแกแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น ถ้าหากแกยังทำงานนี้ไม่สำเร็จอีกก็พูดได้แค่ว่าแกมันไร้ความสามารถ” เย่เชินหลินเอ่ย
“พ่อ ตอนนี้ที่ยังหาไม่เจอคือลูกสาวของพ่อ น้องของผมนะ พ่อยังจะเอาแต่พูดเรื่องธุรกิจแบบไร้หัวใจได้ยังไง” เย่เนี่ยนโม่เกลียดความเฉยเมยของเขาที่สุด ก่อนหน้านี้ก็ทำกับแม่แบบนี้ ตอนนี้ก็ยังทำแบบเดียวกันกับชูฉิง
“เหิมเกริมนักนะ! ระวังน้ำเสียงของแกด้วย!” เย่เชินหลินพูดอย่างเย็นชาจนจบแล้ววางสาย อุปนิสัยของเขาถูกครอบงำได้ง่ายดายเกินไป จะต้องใช้โอกาสนี้บีบบังคับเขาบ้าง เมื่อหยิบกรอบรูปบนโต๊ะขึ้นมา นิ้วหัวแม่มือของเย่เชินหลินลูบชูฉิงที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ในรูปและถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
ด้านนอกโรงหนัง ติงยียีดื่มน้ำอึกใหญ่ นี่เป็นโรงหนังที่สุดท้ายแล้ว ถ้าหาไม่เจอก็ทำได้แค่เฝ้าอยู่นอกห้องชั้นเรียนของจางถังทุกวันแล้วล่ะ
ทันใดนั้นร่างที่คุ้นเคยสองร่างปรากฏขึ้น เย่ชูฉิงและจางถังเดินออกมาจากโรงหนังด้วยกัน จางถังพยายามเกลี้ยกล่อมเธอ : “ชูฉิง เธอพูดว่าไม่อยากกลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าอย่างนั้นไปบ้านฉันกันเถอะ เธอก็เห็นแล้วว่าเมื่อวานนี้ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเธอเลยไม่ใช่เหรอ?”

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset