สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1423 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1323

“พี่คะ พี่ยียีบอกพี่ว่าฉันอยู่บ้านของพวกเขาเหรอ?” เย่ชูฉิงมองดูสีหน้าท่าทางของเขา ท่ามกลางความตึงเครียดก็ยังมีความหวังอยู่เล็กน้อย
เย่เนี่ยนโม่พยักหน้าช้าๆ เขาไม่ต้องการโกหกเธอ เย่ชูฉิงกลับไปนอนคว่ำหน้าลงบนเตียงหันหลังให้เย่เนี่ยนโม่แล้วเอ่ยว่า : “พี่คะ ฉันง่วงมาก อยากพักผ่อนแล้ว”
เย่เนี่ยนโม่ถอนใจพลางหยิบโจ๊กที่เย็นชืดแล้วขึ้นมาและเดินออกไป ปล่อยให้ตัวเธอได้ลองคิดดูแล้วกัน
“ฉันเกลียดพี่มากที่สุดเลย พี่ยียี” เย่ชูฉิงรำพึงรำพันเสียงค่อย
ติงยียีไม่ได้ยินข่าวคราวของเย่ชูฉิงมาสองสามวันแล้ว เธอกังวลมากจริงๆ วันหนึ่งหลังเลิกเรียนในช่วงเย็น เธอไปที่ห้องภาษานานาชาติด้วยตนเอง เมื่อไห่โจ๋ซวนเห็นเธอก็ทักทายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ติงยียีเห็นเขาอ่อนโยนอยู่เสมอ แม้กระทั่งบางครั้งเธอยังสงสัยเลยว่าที่จริงแล้วเขารักหรือเกลียดเย่ชูฉิงกันแน่ ไม่อย่างนั้นจะทรมานเธอมากขนาดนั้นไปทำไม
“มาหาเนี่ยนโม่ใช่ไหม? เดี๋ยวเขาก็กลับมาแล้ว ฉันมีธุระต้องขอตัวก่อน” หลังจากที่ไห่โจ๋ซวนทักทายเธอแล้วก็เดินผ่ากลางจากไปเลย
ในทางเดินที่สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยของชุมชน รถสปอร์ตสีน้ำเงินขับเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักตัวรถได้หยุดลง และยังคงส่งเสียง “ปุๆ”
จางถังที่มีผ้าพันแผลพันอยู่บนหัวลงจากรถมาตรวจดู หลังจากที่มองเห็นกองตะปูกระจัดกระจายอยู่บนพื้น เขาก็เตะรถทันที ช่วงนี้เขาดวงซวยอะไรอย่างนี้ ถูกทุบตีอย่างไม่มีสาเหตุ ตอนนี้รถก็มายางระเบิดอีก
เงาสีดำค่อยๆปรากฏตัวขึ้นหลังเสาไฟฟ้า ไห่โจ๋ซวนมองไปที่จางถังที่กำลังก่นด่าสาปแช่งอย่างเฉยเมยแล้วมือขึ้นวางถุงกระสอบครอบหัวของเขา
“ใครน่ะ!” เสียงของจางถังที่ทั้งตกใจทั้งวิตกกังวลดังขึ้น ไห่โจ๋ซวนโจมตีลงบนกระสอบทันทีแล้วเตะลงไปอย่างเต็มที่อีกสองสามที ก่อนจะพูดเตือนด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “ต่อจากนี้ถ้าอยากไปมหาวิทยาลัยอย่างมีความสุขและกลับบ้านอย่างปลอดภัยอย่าได้ทำเรื่องแย่ๆให้มันมากนัก บางคนที่ไม่ใช่คนกากเดนแบบแกจะเสื่อมเสียได้”
“อย่าให้ฉันจับแกได้นะ!” จางถังก่นด่าขณะที่กลิ้งไปมาในกระสอบ ไห่โจ๋ซวนยิ้มแล้วถอยออกมาสองสามก้าวถึงจะเดินจากไป จับเขาได้งั้นเหรอ? เขาจะรอดูก็แล้วกัน
ในตอนนี้เอง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ไห่โจ๋วซวนหยิบขึ้นมารับสาย เมื่อตอบกลับไปด้วยเสียงราบเรียบสองสามคำ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วรีบขับรถจากไปทันที
ในตอนที่ไห่โจ๋ซวนรีบมาถึงนั้นกำลังมีควันหนาทึบพวยพุ่งอยู่บนชั้นสองของบ้านตระกูลเย่ นั่นคือสถานที่ที่เย่ชูฉิงอาศัยอยู่ แม่บ้านกำลังสั่งให้ครับใช้ยกน้ำไปดับไฟ
“เกิดอะไรขึ้น!” ไห่โจ๋ซวนตกใจและดึงเย่เนี่ยนโม่มาพูดอย่างรีบร้อน
“ไม่รู้ว่าเธอเผาอะไรจนทำให้เกิดไฟไหม้” เย่เนี่ยนโม่ตอบพร้อมกับมองเขาด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม
ไห่โจ๋ซวนตรวจดูรอบๆ “แล้วเธอล่ะ? เธอไม่ได้อยู่ในห้องหรอกนะ นายรีบพูดสิ!” เขาก็กังวลมากจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว ขณะที่ดึงคอเสื้อของเย่เนี่ยนโม่
“ตกลงแล้วนายชอบเธอหรือเปล่า” ในสายตาของเย่เนี่ยนโม่มีความสงสัยอยู่ลางๆ
ไห่โจ๋ซวนปล่อยมืออย่างหดหู่ ภายในใจสงบลงทันควัน ถ้าหากชูฉิงเกิดเรื่อง ตระกูลเย่ไม่สามารถจัดการโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรได้
ไห่โจ๋ซวนล้วงสองมือกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วเอ่ยด้วยจิตใจที่มั่นคงขึ้นมาเล็กน้อยแล้วว่า : “ ฉันเห็นเธอเป็นน้องสาวของฉันคนหนึ่ง ฉันจะรู้สึกผิดมากถ้าหากว่าเธอต้องเกิดเรื่องขึ้นเพราะฉัน”
เย่เนี่ยนโม่มองดูสายตาของเขาราวกับต้องการมองหาอารมณ์ที่แตกต่างออกไปแล้วตบไหล่เขาอย่างผิดหวังอยู่ครู่หนึ่ง : “ขอโทษที จากนี้ฉันจะพยายามป้องกันไม่ให้เธอไปไล่ตามนาย”
บนหน้าของไห่โจ๋ซวนที่กำลังยิ้มอยู่นั้น ภายในหัวใจกลับว่างเปล่า เพื่อการแก้แค้น เขาบังคับให้เด็กผู้หญิงดีๆคนหนึ่งต้องตกหลุมผู้ชายคนนี้ แต่เขาไม่มีทางให้ถอยแล้ว
ในโรงพยาบาล เย่ชูฉิงกำลังนอนอยู่บนเตียง เพราะว่าเธอสูดควันเข้าไปเล็กน้อย คุณหมอจึงแนะนำให้เธออยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการเป็นเวลาหนึ่งวัน เซี่ยชีหรั่นมองไปที่เธออย่างจริงจังแล้วถามเย่ชูฉิงว่า : “บอกแม่มา ลูกทำอะไรเมื่อกี้นี้?”
“หนูแค่อยากจะเผารูปของเขาเท่านั้นเองค่ะ” เย่ชูฉิงก้มหน้าลงแล้วพูดเบาๆ
เซี่ยชีหรั่นใจสั่นแล้วดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดของตนเอง “เด็กโง่ เอาแต่ไห่โจ๋ซวนนั่นเหรอ?”
เย่ชูฉิงพยักหน้า ในเปลวไฟ ความคิดแรกของเธอก็คือพี่โจ๋ซวน บางทีเธออาจจะหมดหวังแล้วจริงๆ
อ้าวเสว่ผลักประตูเข้ามา เซี่ยชีหรั่นเอ่ยด้วยความรู้สึกเสียใจว่า : “เด็กคนนี้นี้ ดึกขนาดนี้แล้วยังจะมาอีกทำไม?”
“น้าเชี่ยคะ ฉันถือว่าพวกคุณเป็นเหมือนคนในครอบครัว เมื่อคนในครอบครัวมีเรื่องฉันก็ต้องมาสิคะ” อ้าวเสว่รักษาสถานะของเธอให้มีความใกล้ชิดกับตระกูลเย่อย่างไม่กระโตกกระตาก และเมื่อกี้นี้เธอได้ส่งข้อความให้ติงยียีเรียบร้อยแล้ว คาดการได้ว่าตอนนี้เธอใกล้จะมาถึงโรงพยาบาลแล้ว ตอนนี้แค่รอให้น้าเชี่ยเดินออกไปก็ใช้ได้แล้ว
“น้าเชี่ยคะ ฉันเดินไปสนามเป็นเพื่อนคุณแล้วกันนะคะ คืนนี้ตื่นเต้นกันมากพอแล้ว ฉันคิดว่าชูฉิงเองก็อยากจะใช้สมาธิเช่นกัน” อ้าวเสว่กล่าว
เซี่ยชีหรั่นพยักหน้าแล้วยืนขึ้นจากนั้นออกไปกับอ้าวเสว่ ติงยียีวิ่งมาถึงโรงพยาบาลพอดี แล้วตามหาจนเจอห้องผู้ป่วยตามการชี้นำของคุณหมอ
“ชูฉิง เธอเป็นยังไงบ้าง? ดีขึ้นแล้วใช่ไหม?” ติงยียีถามอย่างปวดใจ เมื่อได้ยินอ้าวเสว่บอกว่าชูฉิงอยู่ที่โรงพยาบาล เธอก็รีบมาอย่างเร่งด่วนโดยไม่หยุดพักเลย
“เก็บท่าทางไร้สาระของเธอไปเถอะ” เย่ชูฉิงมองไปที่แสงจันทร์นอกหน้าต่างแล้วพูดกับเธออย่างเฉยชา
ติงอีอีผงะไปครู่หนึ่ง ชูฉิงเป็นอะไรไปแล้ว จู่ๆถึงพูดด้วยคำพูดที่ใจดำขนาดนั้นกับเธอ “เธอเป็นอะไรไป? ไม่สบายใจเหรอ?”
“ฉันบอกว่าเธอไม่ต้องมาอีกแล้ว ตอนนี้ฉันไม่อยากเจอเธอ!” เย่ชูฉิงพูดจบแล้วก็มุดเข้าไปอยู่ในผ้าห่มทั้งตัว
ติงยียีสับสนและยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง มือก็ถูกเย่เนี่ยนโม่ที่ไม่รู้ว่าเข้ามาตอนไหนคว้าเอาไว้ เขาพูดกับเธอว่า : “ออกมาเถอะ”
ในโถงทางเดิน ติงยียีถามว่า : “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” เย่เนี่ยนโม่บอกเรื่องนี้กับเธอคร่าวๆอีกรอบ
“ช่วงนี้ไม่ต้องมาหาเธอหรอก เธอน่าจะยังมีอารมณ์ขัดแย้งกับเธออยู่นิดหน่อย” เย่เนี่ยนโม่พูดแล้วไอแห้งๆสองสามครั้ง
ติงยียีออกจากโรงพยาบาลด้วยความมึนงง ตอนที่อยู่ตรงปากประตูก็ได้รับข้อความจากซ่งเมิ่นเจ๋ว่า “มาที่ร้านกาแฟที่พวกเราเจอกันบ่อยๆสิ”
ที่ร้านกาแฟ
ติงยียีเห็นซ่งเมิ่นเจ๋นั่งติดหน้าต่างและไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เธอบังคับให้บนหน้ามีรอยยิ้มแล้วเดินไปด้านหน้าของเธอ : “ทำไมวันนี้ถึงมีอารมณ์อยากจะมากินกาแฟกับฉันได้ล่ะ?”
“ยียี พวกเรารู้จักกันมาสี่ปีแล้วนะ” ซ่งเมิ่นเจ๋พูดเบาๆ เธอพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว ซ่งเมิ่นเจ๋พูดต่อไปว่า : “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องรู้ว่าฉันชอบไห่โจ๋ซวนมาก”
ติงยียียังคงพยักหน้าต่อถึงจะไม่รู้เหตุผล “แน่นอนว่าฉันรู้ และฉันก็หวังว่าเธอจะมีความสุข”
“เมื่อรู้แล้วทำไมเธอถึงยังช่วยชูฉิงไล่ตามโจ๋ซวนอยู่ล่ะ?” ซ่งเมิ่นเจ๋ถามด้วยน้ำเสียงอึมครึม สายตาจับจ้องไปที่เธอ มีความเศร้าและความไม่เชื่อถืออยู่ในดวงตานั้น
ในใจของติงยียีเต้นตึกตักตามมาด้วยสมองว่างเปล่า เธอพูดถูกทั้งหมด ตัวเธอช่วยชูฉิงไล่ตามโจ๋ซวนจริงๆ แต่ว่าซ่งเมิ่นเจ๋รู้ได้ยังไง!
ซ่งเมิ่นเจ๋มองดูเธอที่ประหลาดใจขนาดนั้นแล้วก็ฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า : “ฉันก็คิดอย่างนั้นแหละ เป็นเพื่อนกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเย่ย่อมดีกว่าเป็นเพื่อนกับลูกสาวนอกสมรสอย่างฉันอยู่แล้ว”
“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นนะ!” ติงยียีต้องการที่จะอธิบายอย่างเร่งด่วน ซ่งเมิ่นเจ๋ยกถ้วยกาแฟในมือขึ้นมาแล้วจิบก่อนจะเอื้อมมือออกไปนอกโต๊ะแล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า : “ฉันคิดว่าพวกเราไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันอีกต่อไปแล้ว”
“เพล้ง” แล้วแก้วก็ตกลงบนพื้นและแตกเป็นเสี่ยงๆ
เมิ่นเจ๋ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่ได้อยากทำร้ายพวกเธอคนใดคนหนึ่งเลย” ติงยียีต้องการเอื้อมมือไปจับมือเธอเอาไว้ กลับถูกเธอปัดออกอย่างแรง
“สิ่งที่ฉันให้อภัยไม่ได้ก็คือเธอไม่อยากทำร้ายใครเลย แต่ฉันคือเพื่อนสนิทของเธอ หรือว่าเธอไม่ควรยืนอยู่เคียงข้างฉันโดยไม่มีเงื่อนไขหรือไง?” ซ่งเมิ่นเจ๋ลุกขึ้นแล้วสาวเท้าเดินจากไป
ติงยียีลุกขึ้นแล้วไล่ตามไป ซ่งเมิ่นเจ๋ขึ้นรถและจากไปแล้ว เธอทรุดตัวนั่งลงบนขั้นบันไดของร้านกาแฟด้วยความรู้สึกงงงวย วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เพื่อนที่สนิทที่สุดของเธอก็เลิกคบเธอ เย่ชูฉิงก็พูดกับเธออย่างหยาบคาย
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาซ่งเมิ่นเจ๋ ตอนแรกไม่มีคนรับสาย สุดท้ายสายถูกตัดในที่สุด
นิ้วของติงยียีเลื่อนช้าๆอย่างไร้จุดหมายบนสมุดบันทึกที่อยู่ของโทรศัพท์ ในที่สุดก็หยุดอยู่บนหมายเลขของ “เย่ชูหวิน” เธอโทรออกโดยไม่รู้ตัว หลังจากได้ยินเสียง “ปี๊บๆๆ” เธอถึงได้มีสติกลับมาแล้วรีบตัดสายทิ้ง
หลังจากผ่านคืนที่สับสน วันต่อมาติงยียีไปที่บ้านตระกูลส้งแต่เช้าตรู่ หลังจากรออยู่สองชั่วโมง ประตูได้เปิดออก ซ่งเมิ่นเจ๋เดินออกมาด้วยใบหน้าเฉื่อยชา
“เมิ่นเจ๋” เธอก้าวไปข้างหน้าต้องการจะจับมือของซ่งเมิ่นเจ๋ ใบหน้าของซ่งเมิ่นเจ๋บึ้งตึงลงกว่าเดิม : “ตอนนี้เธอยังจะมาทำอะไรอยู่ที่นี่อีก ฉันไม่มีเพื่อนแบบเธอแล้ว”
“โอ๊ะโอ นี่ติงยียีไม่ใช่เหรอ ทั้งสองคนมายื้อยุดอะไรกันอยู่ที่ปากประตูโดยไม่รู้จักอายคนล่ะเนี่ย” เซียวเสี่ยวลี่ยืนอยู่ที่ปากประตูแล้วพูดจาเยาะเย้ยถากถางพวกเธอทั้งสองคน
“คุณป้าคะ เสียงของคุณดังมากจนได้ถึงไปถึงสองช่วงตึก ฉันคิดว่าคุณน่าจะอายมากกว่าอีกนะคะ” ติงยียีพูดกับเธออย่างขุ่นเคืองพร้อมกับปกป้องซ่งเมิ่นเจ๋
ซ่งเมิ่นเจ๋รีบเหลือบมองเธอ “ยุ่งเรื่องชาวบ้าน” พูดจบเธอก็ก้าวเท้าอย่างรวดเร็วเขาไปในรถและขับรถออกไป
ใบหน้าของเซียวเสี่ยวลี่ที่โกรธจนหน้าเขียวก็เป็นมืดครึ้มจนถึงเมฆมาก หลังจากมองดูเธออย่างเย้ยหยันแล้ว ถึงได้เดินบิดตัวหันกลับเขาไปในบ้าน
ติงยียีถอนหายใจอีกครั้งแล้วปลุกเร้าให้กำลังใจตนเอง ก่อนจะนั่งรถไปเยี่ยมเย่ชูฉิงที่โรงพยาบาล
เพิ่งจะไปถึงปากประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกบอดี้การ์ดเข้ามาขวางเอาไว้ “ด้านในไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปครับ” บอดี้การ์ดเอ่ย
“ฉันเป็นเพื่อนของคุณเย่ชูฉิงค่ะ รบกวนคุณช่วยไปบอกกับเธอว่าฉันต้องการพบเธอค่ะ” ติงยียีพูดพร้อมกับยิ้ม
บอดี้การ์ดกวาดสายตามองดูชุดที่ติงยียีสวมอยู่จนทั่วตัวอย่างสงสัย แล้วโบกมือซ้ำๆโดยไม่ไปรายงาน แล้วปล่อยให้เธอไป ในขณะที่พูดพึมพำกับอีกคนว่า : “บริษัทเย่ซื่อมีเงินมากขนาดนั้น จะมีเพื่อนเป็นคนสวมเสื้อผ้าที่ขายแผงข้างทางราคาไม่กี่สิบหยวนได้ยังไง”
เธอถอยหลังออกมาสองสามก้าวขณะที่ได้ยินคำพูดโหดร้ายของบอดี้การ์ด ไม่มีเงินแล้วมันเป็นยังไง ไม่มีเงินแล้วเป็นเพื่อนกับคนรวยไม่ได้งั้นเหรอ?
ผู้คนรอบๆต่างพากันมองเธออย่างแปลกๆ และเธอก็ยืนอยู่ที่เดิมอย่างกระอักกระอ่วน
“ยียีเหรอ?” อ้าวเสว่เดินเข้ามาจากโถงทางเดิน มองเห็นเธอยืนอยู่เดิมทั้งยังไม่ขยับเขยื้อนจึงเอ่ยด้วยความแปลกใจว่า : “ทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะ?”
เธอเดินไปที่ประตูและพูดว่า : “ฉันมาเยี่ยมชูฉิง เธออยู่หรือเปล่า?” บอดี้การ์ดเหลือบมองดูการแต่งกายของอ้าวเสว่แล้วเอ่ยว่า : “ไม่อยู่ครับ ไปทำการตรวจร่างกายแล้ว”
เธอพยักหน้าอย่างพึงพอใจแล้วเดินไปหาติงยียีพร้อมกับแสร้งทำเป็นเห็นใจ : “ยียี เธอก็รู้ว่าสังคมไม่ยุติธรรม คนจนจะโดนดูถูกเสมอ คนรวยและคนจนคบกัน คนอื่นก็จะมองว่าคนรวยนั้นจิตใจดีงาม แต่จะพูดว่าคนจนนั้นใฝ่สูง”
“ไม่ใช่อย่างนี้หรอก” เธอต้องการที่จะโต้แย้งแล้วพูดเสียงดังว่าเธอปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจ แต่ปากของเธอกลับพูดไม่ออกแล้วอ้าวเสว่ก็ตบไหล่ของเธอและเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยอย่างช้าๆ

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset