สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1425 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1325

เธอก้มหัวลงเพื่อดูสุนัขที่นอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลโดยไม่รู้ตัว สุนัขเองก็มองเธอเช่นกัน “งั้นก็เรียกว่าแพนด้า แล้วกัน หวังว่ามันจะได้พบกับคนที่เห็นมันเหมือนเป็นสมบัติล้ำค่า” ติงยียีลูบหัวของแพนด้า มันเลียเธอ ดูเหมือนว่าจะพอใจกับชื่อใหม่ของตนเอง
หลังจากทำแผลของแพนด้าเสร็จแล้ว เย่ชูหวินต้องการส่งเธอกลับแพนด้ากลับบ้าน ติงต้าเฉินที่มีธุระกระทันหันได้สังกำชับอยู่สองสามคำแล้วออกไป
ติงยียีอุ้มแพนด้า เอาไว้แล้วข้ามถนนพลางเล่นกับมันไปด้วย จึงไม่เห็นว่าสัญญาณไฟเขียวเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว เพิ่งจะก้าวเท้าออกไปได้ก้าวเดียวก็ถูกรั้งเอาไว้
“เธออยากทำให้ฉันตกใจตายหรือไง!” ความตื่นตระหนกบนใบหน้าของเย่ชูหวินยังไม่จางหายไป เธอยิ้มขอโทษ เย่ชูหวินดึงแพนด้ามาจากมือของเธอ โดยที่มือยังจับติงยียีไว้ไม่ยอมปล่อย
เมื่อไฟเขียว เย่ชูหวินดึงติงยียีข้ามถนน สายตาของติงยียีอยู่บนมือของทั้งสองคนที่จับมือของกันและกัน หัวใจก็เต้นตุบๆ คำสารภาพในห้องเก็บอุปกรณ์ได้โผล่กลับเข้ามาอีกครั้งในหัวสมอง
เย่ชูหวินจับมือเธอไปตลอดทาง ไม่มีใครพูดอะไร กลางฝ่ามือมีเหงื่อที่เหนียวเล็กน้อยไหลซึมออกมา ซึ่งแยกไม่ได้ว่าใครกันแน่ที่กำลังเป็นประหม่า
เย่ชูหวินจูงมือติงยียีเดินเข้าไปในซอยและฝีเท้าได้หยุดลง ติงยียีหันไปมองด้านข้าง เย่เนี่ยนโม่ยืนพิงประตูบ้านของเธอพร้อมกับเอาสองมือล้วงกระเป๋า เมื่อเห็นพวกเขาสองคน สายตาของเย่เนี่ยนโม่ก็ตกไปอยู่ที่สองมือของพวกเขาที่กุมกันไว้อัตโนมัติ
เย่เนี่ยนโม่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง ที่เขามาในวันนี้ก็เพื่อจะขอโทษติงยียี หลังจากที่มองเห็นมือของเธอกับเย่ชูหวิน ทันใดนั้นก็เกิดความโมโหขึ้นในใจ เขากดทับความรู้สึกไม่สบายใจเอาไว้ พลางยิ้มแล้วพูดว่า : “ดูเหมือนว่าฉันจะมาไม่ถูกเวลานะ”
ติงยียีปล่อยมือเย่ชูหวินโดยไม่รู้ตัว เย่เนี่ยนโม่เพิ่งจะทำเรื่องแบบนั้นกับเธอเมื่อวานนี้ วันนี้ก็มาจับมือกับชายหนุ่มอีกคน เธอรู้สึกแปลกๆ
เย่ชูหวินพูดกับเธอโดยไม่แสดงอาการว่า : “เนี่ยนโม่ พวกนายคุยกันไปเถอะนะ ฉันจะพาแพนด้า เข้าไปในบ้านก่อน”
ติงยียีพยักหน้าแล้วเข้าไปใกล้ด้านหน้าของเขาพร้อมกับลูบหัวแพนด้า มันช่างเป็นภาพที่ดูสนิทสนมกลมเกลียวกัน มือของเย่เนี่ยนโม่ที่อยู่ในกระเป๋ากำแน่นมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าหากว่านายจะมาขอโทษล่ะก็ ไม่จำเป็นหรอก เพราะว่าฉันโกรธมาก” ติงยียีก้มหน้าและแตะก้อนหินตรงข้างเท้า
“พวกเธอคบกันแล้วเหรอ?” เย่เนี่ยนโม่พูดโดยไม่แสดงอารมณ์ เธอส่ายหน้า แต่ที่มุมปากมีรอยยิ้มที่ไม่สามารถควบคุมได้ เย่เนี่ยนโม่พูดอย่างชัดเจนว่า : “วันนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ สำหรับฉันแล้วเป็นเพื่อนที่สำคัญมากของฉันมาตลอด ฉันไปก่อนล่ะ”
เย่เนี่ยนโม่ขับรถออกมาไกลแล้วถึงได้จอดและแตะที่หัวใจของตนเองโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกแปลกๆก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แถมมันยังรุนแรง รุนแรงจนเขาไม่อาจต้านทานได้
“เนี่ยนโม่ไปแล้วเหรอ?” เย่ชูหวินถามติงยียีขณะที่เล่นกับแพนด้า เธอพยักหน้า เมื่อกี้นี้เขาบอกว่าเห็นเธอเป็นเพื่อน มันน่าตลกจริงๆเลย
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอเหรอ?” เย่ชูหวินวางแพนด้า ลง พลางเดินไปตรงหน้าเธอแล้วเอ่ยขึ้น เธอส่ายหัว เพราะไม่ต้องการให้ปัญหาของเธอส่งผลกระทบถึงเย่ชูหวิน
เย่ชูหวินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและพูดอย่างรวดเร็วว่า : “พรุ่งนี้มีงานแสดงเครื่องประดับอยากไปด้วยกันไหม?”
“ของคุณน้าเชี่ยสินะ!” ติงยียีกลับมามีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม สำหรับเธอแล้วงานแสดงเครื่องประดับของเซี่ยชีหรั่นนั้นมีแรงดึงดูดอย่างมาก
เขาพยักหน้าและเอ่ยชวน : “ไปด้วยกันนะ” เมื่อเห็นท่าทางที่จริงจังของเขา ติงยียีก็ยิ้มพร้อมกับตอบตกลง : “โอเค!”
ในตอนเย็น ติงยียียังคงโทรหาซ่งเมิ่นเจ๋ แต่ก็ยังไม่มีคนรับสายเ เดาได้เลยว่าอีกฝ่ายใส่เธอเข้าไปในบัญชีดำแล้วสินะ
ดูเหมือนว่าแพนด้าที่อยู่ข้างๆจะรู้สึกได้ถึงความเศร้าของเธอ มันจึงแลบลิ้นออกมาแล้วเลียหลังมือเธอ ติงยียีลูบหัวแพนด้า แล้วเดินเข้าไปในตู้เสื้อผ้า
ตรงมุมตู้ยังมีชุดเดรสที่เย่เนี่ยนโม่มอบให้เธอวางไว้อยู่ เธอหยิบชุดออกมาแล้วทำท่าทางต่างๆอยู่หน้ากระจก เธอยิ้มขณะมองดูตนเองเหมือนเป็นคนแปลกหน้าในกระจก เธอนี่ไม่เหมาะกับการชุดเจ้าหญิงเลยจริงๆ
“ยียี มีพัสดุของลูกมาส่ง” ติงต้าเฉินเปิดประตูเข้ามาแล้วส่งพัสดุให้เธอ ติงยียีรับมาแล้วแกะห่อด้วยความแปลกใจ
ในกล่องของขวัญมีชุดเดรสสีชมพู รองเท้าส้นสูงประดับพลอยเม็ดเล็กๆและยังมีจดหมายที่เขียนสั้นๆง่ายๆฉบับหนึ่ง บนจดหมายมีตัวอักษรที่สัมผัสได้ถึงพลัง
“พรุ่งนี้เก้าโมงครึ่ง เย่ชูหวิน”
ติงยียีดึงหนังสือออกมาจากตู้หนังสือเล่มหนึ่งแล้วใส่จดหมายเข้าไปในหนังสือ แล้ววางกล่องของขวัญและชุดเดรสโดยไม่มีการแตะต้องใดๆไว้ที่มุมที่ลึกที่สุดของตู้เสื้อผ้า
วันรุ่งขึ้นเย่ชูหวินมองดูเธอที่สวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ธรรมดาๆแล้วไม่พูดอะไร และขับรถตรงไปยังที่สถานที่จัดงาน เย่ชูหวินขับรถไปจอด ขณะที่ติงยียีรอเขาอย่างหมดอาลัยตายอยาก
มีรถหรูสามคันขับมาที่ด้านหน้าและจอดพร้อมกัน เย่ชูฉิงและหลี่ยี่ซวนลงจากรถคันกลาง บอดี้การ์ดกระจายตัวคุ้มโดยรอบอย่างรวดเร็ว
“ชูฉิง!” ติงยียีเข้ามาหา เย่ชูฉิงไม่มองเธอ และเธอไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เลย
บอดี้การ์ดเข้ามาขวางตรงหน้าอย่างรวดเร็ว “คุณหนู นี่คือเพื่อนของคุณหรือเปล่าครับ?” บอดี้การ์ดคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ฉันไม่รู้จักเธอ” เย่ชูฉิงก้มหน้าแล้วรีบเดินเข้าไปยังห้องโถงนิทรรศการ หลี่ยี่ซวนมองดูทั้งสองคนอย่างสงสัยแล้วจึงเดินจากไป
ไห่โจ๋ซวนที่อยู่อีกด้านมองดูเย่ชูฉิงที่กำลังเดินก้มหน้า บนหน้าของเขามีรอยยิ้ม จนซ่งเมิ่นเจ๋ที่อยู่ข้างๆถามอย่างงงงวย : “ไห่โจ๋ซวน นายยิ้มอะไรเหรอ?”
เขาขยับเข้าไปใกล้ซ่งเมิ่นเจ๋ ซ่งเมิ่นเจ๋ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ไห่โจ๋ซวนยังคงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แล้วยื่นนิ้วโป้งไปเช็ดที่มุมปากของเธอและพูดเบาๆว่า : “มีอะไรเปื้อนที่ปากน่ะ”
สีหน้าของซ่งเมิ่นเจ๋เป็นสีแดงขึ้นมาทันทีแล้วก้มหน้าลงอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี และตอบอย่างระมัดระวัง : “จริงเหรอ?”
ขณะที่ไห่โจ๋ซวนยิ้มก็กวาดสายตาชำเลืองมองไปยังเย่ชูฉิงที่กำลังยืนอยู่หลังเสาและมองตนเองด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ชูฉิง” ติงยียีมองไม่เห็นไห่โจ๋ซวนและซ่งเมิ่นเจ๋ที่อยู่หลังเสา เธอเพียงแค่อยากถามว่าทำไมจู่ๆถึงมีทัศนคติแบบนี้กับเธอ
“ไปให้พ้น!” เย่ชูฉิงที่ใบหน้าขาวซีดเดินชนเธอ เธอเซถอยไปด้านหลังแล้วร้องออกมาสองสามคำ หลี่ยี่ซวนรีบเข้ามาประคองเธอเอาไว้ จนกระทั่งเธอยืนได้มั่นคงแล้วถึงได้ไล่ตามเย่ชูฉิงไป
ซ่งเมิ่นเจ๋เดินมาหาเธอที่ตรงหน้าแล้วพูอย่างเย็นชาว่า : “เธอทำแบบนี้ด้วยแล้ว เธอก็ยังจะยืนกรานโดยไม่ละอายใช่ไหม?”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ระหว่างฉันกับเธออาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยเท่านั้น!” ติงยียีรีบอธิบาย
“ระหว่างพวกเธอมีเรื่องเข้าใจผิดกัน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีความเข้าใจผิดระหว่างพวกเรานะ” ซ่งเมิ่นเจ๋รู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง พูดจบแล้วก็เดินไปหาไห่โจ๋ซวนโดยไม่หันกลับไป
ในโถงนิทรรศการห่างไปไม่กี่ร้อยเมตร นักข่าวต่างพากันแย่งถ่ายรูปเซี่ยชีหรั่นและเครื่องประดับในงาน เครื่องประดับที่เซี่ยชีหรั่นออกแบบเป็นที่ยกย่องว่าเป็นเครื่องมือบอกทิศทางของเส้นทางเครื่องเวลรี่ ถ้าหากมีข่าวของเธอ นิตยสารและหนังสือพิมพ์ก็หมดกังวลเรื่องการขายในวันพรุ่งนี้
ที่ห้องใต้ดินของโถงนิทรรศการ อ้าวเสว่มองไปที่ทางออกอย่างเป็นกังวล เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครจึงเอ่ยว่า : “ทำไมต้องเป็นฝ่ายมาหาฉันด้วย เดี๋ยวถ้าเย่เนี่ยนโม่มาเจอแล้วเกิดสงสัยขึ้นมาฉันจะทำยังไง”
จางถังสั่นบุหรี่ในมือไปมา สูดลมหายใจแล้วพ่นควันใส่เธอ อ้าวเสว่สำลักแล้วถอยไปด้านหลังติดๆกันหลายก้าว จางถังยิ้ม : “เย่ชูฉิงอยู่ที่บ้านตระกูลเย่ตลอดเวลาทำให้ ฉันลงมือไม่ได้ เธอต้องช่วยฉันนำตัวเธอออกมา”
“นายบ้าไปแล้ว นายคิดจะทำอะไรถึงให้เอาตัวเธอออกมา? เธอคือลูกสาวของบริษัทเย่ชื่อนะ” อ้าวเสว่พูดเตือนเขาเสียงค่อย ความร้อนแรงของตระกูลเย่นั้นไม่ต้องพูดหรอกว่าพ่อของเขาคืออาจารย์ใหญ่ของมหาวิทยาลัยZ แม้แต่นายกเทศมนตรีก็อาจจะสำลักได้
“วางยาแฝดเสร็จแล้วจบเรื่องก็หายตัวไป ใครจะไปรู้ล่ะว่าเป็นฉัน? เธอก็อยู่ข้างกายเย่เนี่ยนโม่และเพลิดเพลินกับความรักและทะนุถนอมของเขาต่อไปก็พอแล้ว” จางถังจงใจลากเสียงยาว และมีการข่มขู่คุกคามอยู่ในน้ำเสียงลางๆ
“ไปให้พ้น” อ้าวเสว่อดไม่ได้ที่จะระเบิดออกมา จางถังยักไหล่ ทิ้งก้นบุหรี่ในมือแล้วหันหลังเดินจากไป ทำยังไงดี ทำยังไงดีล่ะ เธอเดินวนไปมาอยู่ในห้อง มันเป็นขั้นตอนที่เสี่ยงมาก ถ้าไม่ทำให้เขาพอใจในสิ่งที่เขาร้องขอแล้วเขาไปบอกเนี่ยนโม่ว่าตนเองว่าตนเองเป็นคนทำเรื่องเหล่านี้จะทำอย่างไรดีล่ะ ไม่แน่ว่าเนี่ยนโม่ไม่ชอบที่ตนเองที่มีเล่ห์เหลี่ยมอาจจะทิ้งเธอไปเลยก็ได้
อ้าวเสว่เดินไปเดินมาจนเตะก้นบุหรี่ที่ตกลงบนพื้นเข้าไปในมุม ตรงมุมห้องได้วางโบรชัวร์เอาไว้กองหนึ่ง และถัดจากโบรชัวร์คือระบบควบคุมไฟฟ้าของทั้งอาคาร
ไฟตรงก้นบุหรี่ค่อยๆลุกไหม้มุมของโบรชัวร์ ในไม่ช้าโบรชัวร์ก็เผาไหม้จนเกิดกลิ่นฉุน ภายในเวลาไม่กี่นาที กองโบรชัวร์ที่สูงหนึ่งเมตรก็ถูกไฟเผา
อ้าวเสว่หันหน้าไปด้วยความประหลาดใจเมื่อได้กลิ่นไหม้ หลังจากเห็นไฟที่กำลังลุกไหม้แล้วก็มองหาไปรอบๆห้องอย่างรีบร้อน แล้วยกถังสีขาวขึ้นพร้อมกับเทของเหลวภายในถังลงไปในกองไฟโดยไม่ดูที่ฉลาก
กองไฟที่เดิมมีขนาดเล็กเกิดเสียงระเบิดขึ้นมาเล็กน้อยและไหม้รุนแรงมากยิ่งขึ้น อ้าวเสว่ถูกบีบบังคับให้ไปที่ประตู เมื่อเห็นไฟที่ลุกโชนขึ้นเรื่อยๆก็ตกใจสุดขีด รีบปิดประตูลงแล้วจากไป
ภายในงานนิทรรศการนั้นคลื่นลมยังคงสงบเรียบร้อยดี อ้าวเสว่รีบเดินไปหาเนี่ยนโม่ แล้วพูดออดอ้อนด้วยจิตใจที่มั่นคงแล้วว่า : “เนี่ยนโม่ คุณออกไปนั่งเป็นเพื่อนฉันที่ร้านกาแฟสักครู่หนึ่งได้ไหมคะ?”
“อีกสักพักได้ไหม?” ขณะที่เย่เนี่ยนโม่จับมือของเธอ สายตาก็มองบนเวทีต่อ อ้าวเสว่กังวลมากจนน้ำตาแทบจะร่วงลงมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า : “เนี่ยนโม่คะ พวกเราให้น้าเชี่ยกับคุณอาเย่ ไปด้วยนะคะ”
เย่เนี่ยนโม่มองดูเธอที่ผิดไปจากปกติอย่างสงสัยเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า : “เธอเป็นอะไร? ทำไมท่าทางตื่นตระหนกขนาดนี้?”
ในใจของอ้าวเสว่เต้นโครมคราม แต่แสร้งพูดอย่างสงบนิ่งว่า : “แค่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยน่ะค่ะ” อ้าวเสว่จับมือของเขาขึ้นมาแล้วมองตาปริบๆ
“ไปกันเถอะ” เย่เนี่ยนโม่จับมือของเธอและกวาดสายตามองติงยียีที่ยืนอยู่ทางด้านซ้าย เย่ชูหวินยืนอยู่ทางด้านหลังคอยคุ้มกันไม่ให้ฝูงชนเบียดมาชนเธอ
“เนี่ยนโม่คะ?” อ้าวเสว่ที่อยู่ข้างๆเอ่ยถามอย่างงงๆ เขายิ้มเมื่อได้สติกลับมาพร้อมกับพาเธอออกจากงานนิทรรศการ ไฟในห้องใต้ดินเริ่มลุกลามขึ้นเรื่อยๆ และไหม้สายไฟที่อยู่ข้างๆ แล้วโทรศัพท์ก็ถูกเผา
“พึ่บๆๆ” ทันใดนั้นไฟในห้องนิทรรศการทุกดวงก็ดับลง เกิดความโกลาหลภายในชั่วพริบตา เจ้าหน้าที่จัดงานรีบหยิบไมโครโฟนขึ้นมาและเอ่ยปลอบขวัญว่า : “ทุกคนไม่ต้องกังวล ในฤดูร้อนมีปริมาณการใช้ไฟมากเกินไป ก่อนหน้านี้ก็มีเหตุการณ์ไฟดับกะทันหัน เดี๋ยวก็ดีแล้วนะครับ”
หลังจากคนในงานได้ฟังต่างรวมตัวกันเป็นกระจุกแล้วสนทนาขณะที่รอให้ไฟมา ติงยียียืนอยู่ที่ด้านซ้ายของประตูก็ทำจมูกฟุดฟิดแล้วถามเย่ชูหวินที่อยู่ข้างๆว่า : “นายได้กลิ่นอะไรไหม?”
เขาเองก็ทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นด้วย หลังจากที่เห็นควันหนาทึบออกมาจากมุมห้องก็ดึงติงยียีพลางวิ่งออกไปข้างนอกและตะโกนว่า : “รีบออกไปเร็ว ไฟไหม้!”
“อะไรนะ ไฟไหม้!” สถานที่จัดงานเกิดเสียงหวีดร้องขึ้นเป็นอย่างแรกไปชั่วขณะ และไม่รู้ว่าใครวิ่งออกไปข้างนอกก่อน ทุกคนต่างพากันแย่งกันวิ่งออกไปข้างนอก

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset