สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1426 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1326

เสียงเอะอะโวยวายและเสียงคร่ำครวญไปทั่วห้องโถงนิทรรศการทันที หลังจากเกิดความหวาดกลัวแล้วผู้คนต่างแย่งกันออกไปข้างนอก มีบางคนล้มลงบนพื้นเพราะหลบไม่ทันแล้วถูกเหยียบไปเหยียบมา ควันหน้าทึบเริ่มพวยพุ่งออกมาจากทุกทิศทาง บอดี้การ์ดสองสามคนล้อมรอบตัวเซี่ยชีหรั่นแล้วคุ้มกันไปจนถึงข้างนอก
ในห้องแสดงนิทรรศการ ในขณะที่ไห่โจ๋ซวนถูกฝูงชนเบียดเสียดเข้าก็เริ่มมองหาเย่ชูฉิง เมื่อเห็นบอดี้การ์ดของตระกูลเย่เดินออกไปด้านนอกจนหมดแล้วก็คิดว่าเธอน่าจะถูกส่งไปอย่างปลอดภัยแล้วจึงวางใจแล้วกอดซ่งเมิ่นเจ๋เอาไว้
ซ่งเมิ่นเจ๋ถูกฝูงชนเบียดเข้ามาจนข้อเท้าแพลง อีกทั้งเพราะสูดฝุ่นควันเข้าไปบางส่วน จนรู้สึกเวียนหัวไปทั้งตัว ไห่โจ๋ซวนกอดเธอเอาไว้แล้วรีบออกมาจากฝูงชน มองเห็นร่างที่คุ้นเคยวิ่งไปที่บันไดอย่างลนลาน ด้านหลังนั้นเหมือนเย่ชูฉิงเล็กน้อย
“เป็นไปไม่ได้ ตระกูลเย่จะต้องคุ้มครองเธอแน่นอน” ควันรวมตัวหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ไห่โจ๋ซวนไม่มีเวลาครุ่นคิดแล้ว เขารีบออกไปข้างนอกพร้อมกับกอดซ่งเมิ่นเจ๋เอาไว้
ติงยียีเพียงแค่ถูกเย่ชูหวินจับมือไว้เท่านั้น เพราะว่าเป็นคนแรกที่เจอเพลิงไหม้ ทั้งสองคนจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เย่ชูหวินโน้มตัวลงเล็กน้อยพลางมองเธอแล้วพูดว่า : “ยียี ฉันไปช่วยงานที่โรงพยาบาลสัตว์มาตลอดเลยเข้าใจความรู้ทางการแพทย์พื้นฐานบ้าง ตอนนี้ฉันจะไปช่วยพวกเขา เธอสัญญาว่าจะอยู่ตรงนี้ดีๆแล้วไม่วิ่งหนีไปไหนได้ไหม?”
เธอมองไปที่เย่ชูหวินอย่างตกใจเล็กน้อย ขณะที่ได้ยินเสียงคร่ำครวญของฝูงชนโดยรอบที่ดังอยู่ไม่ขาดสายจึงพยักหน้าอย่างหนักแน่น “คุณน้า ชูฉิงล่ะครับ? ผมแยกกับเธอเมื่อกี้นี้ เธอควรจะอยู่กับคุณใช่ไหมครับ” หลี่ยี่ซวนออกมาจากฝูงชนและเอ่ยถาม เท้าของเขาเองก็ถูกเหยียบจนได้รับบาดเจ็บและทำได้เพียงแค่เดินกะเผลก
ใบหน้าของเซี่ยชีหรั่นซีดเผือดในพริบตาแล้วถามเสียงสั่นว่า : “ไม่ได้อยู่กับเธอตลอดเหรอ?” ทันทีที่เสียงสิ้นสุดลง สีหน้าทั้งสองคนเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง หลี่ยี่ซวนต้องการจะวิ่งเข้าไปในกองเพลิงก็ล้มลงบนพื้นหลังจากวิ่งไปแค่ไม่กี่ก้าว
“ลูกสาวของฉัน!” เซี่ยชีหรั่นร้องไห้พร้อมกับจะวิ่งเข้าไปในกองเพลิง แต่บอดี้การ์ดได้ขวางเอาไว้ เหล่าบอดี้การ์ดต่างมองหน้ากัน เพลิงไหม้มีขนาดใหญ่เกินไปและอันตรายมากที่จะเข้าไปตอนนี้ พวกเขาเป็นบอดี้การ์ดก็จริงแต่ว่าพวกเขาก็มีภรรยาและลูกด้วยเช่นกัน
“พวกคุณปล่อยให้ฉันไปช่วยเธอนะ!” เซี่ยชีหรั่นตัวสั่นและทรุดลงบนพื้น ติงยียียืนอยู่ไม่ไกลโดยตลอด มองเห็นเธอโศกเศร้าขนาดนั้นแล้ว ในใจของเธอก็ปวดแปลบเช่นกัน
“ฉันจะไปค่ะ” ติงยียีกัดฟันแล้วคว้าเอาถังน้ำมาจากคนที่กำลังเตรียมเอาไปดับไฟแล้วรดน้ำทั้งหมดลงบนตัว ในตอนที่คนในที่เกิดเหตุยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับคืนมาเธอก็เข้าไปในจุดที่เกิดเพลิงไหม้แล้ว
ติงยียีเข้าไปในโถงนิทรรศการ โถงนิทรรศการชั้นแรกอยู่ใกล้กับห้องใต้ดินมากที่สุดและถูกควันหนาทึบล้อมรอบเรียบร้อยแล้ว วอลเปเปอร์เองก็ทยอยหลุดร่วงลงมาเพราะได้รับความร้อน “ชูฉิง!” ทันทีที่เธอตะโกนก็สำลักควันหนาจนตัวงอ
ถ้าหากชูฉิงปลอดภัยดีจะต้องไม่อยู่ที่ชั้นนี้ เธอกลั้นหายใจแล้ววิ่งไปที่ชั้นสอง ที่ปากบันไดของชั้นสองมีเก้าอี้ล้อมไว้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเพื่อต้านทานควันหนาทึบ บางคนยืดหัวออกมามองดูเธอ
“ฉันจะไปตามหาคน รบกวนให้ฉันขึ้นไปด้วยค่ะ!” ติงยียีตะโกนเสียงดัง บางคนมองดูเธออย่างเห็นอกเห็นใจและยิ่งดึงดูดให้คนรู้สึกด้านชามากขึ้น ในขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับความเป็นและความตายล้วนแต่ต้องการรักษาชีวิตเอาไว้
ติงยียีไม่มีหนทางใดแล้วทำได้เพียงแค่ย้ายเก้าอี้ออก ด้านบันไดมีคนวิ่งออกมาแล้วตะโกนว่า : “ไฟไหม้ชั้นสองแล้ว รีบขึ้นไปชั้นสามเร็ว”
ฝูงชนเกิดความโกลาหลอีกครั้ง หลังจากนั้นเบียดเสียดไปทางบันไดแล้วต่างแย่งกันด้วยความหวาดกลัว “อ้า อย่าเบียดสิ!” เสียงร้องแหลมและรันทดดังขึ้นแล้วจมหายไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว
“ชูฉิง!” ติงยียีฟังออกว่าเสียงที่ร้องเมื่อกี้นี้คือชูฉิง ในขณะที่ใช้เสียงเรียกเธอ มือก็เร่งความเร็วในการย้ายเก้าอี้
“พี่ยียี” เย่ชูฉิงถูกเบียดจนล้มลงบนพื้น เพราะสูดคาร์บอนมอนอกไซด์เข้าไปมากเกินไป ตัวเธอก็ไร้เรี่ยวแรงและทำได้เพียงแค่มองดูติงยียีวิ่งมาข้างๆตนเองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา
“เกาะไว้นะ!” เปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากทางเดิน ติงยียียกเธอขึ้นแล้ววิ่งไปที่ชั้นสาม ทันทีที่ถึงตีนบันไดชั้นสาม ฝ้าเพดานแผ่นหนึ่งก็หล่นลงมาปิดทางของทั้งสองคน “จะทำยังไงดี?” เย่ชูฉิงกำแขนเสื้อของติงยียีแน่น
ติงยียีกัดฟันแล้วพาเธอกลับไปที่ชั้นสองอีกรอบแล้ววิ่งไปทางทางเดินที่มีควันน้อยลง วิ่งไปได้ครึ่งทางก็เห็นป้ายห้องน้ำ ทั้งสองเข้าไปในห้องน้ำที่สะอาดแล้วช่วยกันออกแรงปิดประตูลง ติงยียีเปิดก๊อกน้ำ น้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกทำให้ทั้งคู่ถอนหายใจ
เย่ชูฉิงนั่งบนพื้นเปียกๆแล้วเอ่ยถามด้วยดวงตาที่แดงก่ำ : “จะมีคนมาช่วยพวกเราไหมคะ?”
ติงยียีรู้สึกว่าปอดของเธอสูดควันหนักมากจนหายใจอึดอัด แต่ทำเพื่อให้เธอสบายใจ จึงแสร้งทำท่าทางว่าไม่เป็นไรแล้วพูดอย่างมั่นใจว่า : “ต้องมีคนมาช่วยเราแน่นอน”
“แย่แล้ว รีบไปช่วยกันเร็ว ที่ห้องจัดงานเกิดไฟไหม้” ในร้านกาแฟมีคนถูลู่ถูกังวิ่งเข้ามาและตะโกนเสียงดัง
เมื่อเย่เนี่ยนโม่ได้ยินก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว อ้าวเสว่ลุกขึ้นและจิตใต้สำนึกต้องการจะตามไป แต่หลังจากนั้นก็ทรุดตัวนั่งลงไป ดวงตาทั้งสองข้างมองดูควันที่ลอยคละคลุ้งอยู่ไม่ไกลอย่างว่างเปล่า
“จะมีคนมาช่วยพวกเราจริงๆใช่ไหมคะ?” เย่ชูฉิงนั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมห้อง ไม่มีน้ำไหลออกจากก๊อกแล้วและอุณหภูมิก็สูงขึ้นเรื่อยๆ
ติงยียีเอาเสื้อคลุมที่จุ่มน้ำจนชุ่มสวมลงบนตัวแล้วนั่งยองๆตรงหน้าเธอพร้อมกับพูดอย่างจริงจังว่า : “ชูฉิง ตอนนี้ถ้าอยู่ที่นี่กว่าจะได้รับการช่วยเหลือพวกเราอาจจะถูกเผาไปแล้ว ฉันจะออกไปหาหน่วยกู้ภัยแล้วบอกกับพวกเขาว่าพวกเราอยู่ที่นี่ เธออยู่ที่นี่รอฉันไปเรียกคนมาได้ไหม ข้างนอกอันตรายเกินไป”
เย่ชูฉิงส่ายหัวพร้อมกำแขนเสื้อแน่นไม่ยอมปล่อยขอร้องว่า : “ฉันกลัว!”
ติงยียีช่วยเช็ดน้ำตาให้เธอแล้วพูดเกลี้ยกล่อมอย่างอดทนว่า : “เธอไม่ชอบไห่โจ๋ซวนเหรอ? เธอไม่เข้มแข็งก็จะไม่ได้เห็นพี่โจ๋ซวนของเธอแล้วนะ”
เห็นว่าเธอพยักหน้าอย่างสั่นเทาเล็กน้อยแล้ว ติงยียีก็ถอนใจยาวแล้วรีบเปิดประตูกระโจนออกไป บนลานที่เปิดโล่ง รถดับเพลิงและรถพยาบาลจอดลง ณ ที่เกิดเหตุทีละคัน
หลังจากที่ไห่โจ๋ซวนส่งซ่งเมิ่นเจ๋ไปถึงรถพยาบาลแล้ว ในใจยังคงกังวลเรื่องเย่ชูฉิงอย่างมาก เมื่อมองไปรอบๆก็เห็นเซี่ยชีหรั่นยืนอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เกิดเพลิงไหม้
ในใจของเขาเต้นโครมครามแล้วระงับความวิตกกังวลเอาไว้ วิ่งเหยาะๆไปหาเซี่ยชีหรั่นแล้วเอ่ยว่า : “คุณน้า ชูฉิงไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
เซี่ยชีหรั่นชี้ไปที่กองเพลิงอย่างไร้วิญญาณ ความกังวลในใจขยายใหญ่ขึ้นทวีคูณ เขามองไปยังห้องโถงนิทรรศการที่มีควันพวยพุ่ง ในใจจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับโหวงเหวงไปส่วนหนึ่ง
ไม่สิ เขายังล้างแค้นไม่เสร็จเลย เธอจะตายได้ยังไง ไห่โจ๋ซวนผลักนักดับเพลิงแล้ววิ่งเข้าไปในด้านใน ไฟด้านในเล็กลงมาก แต่ฝ้าเพดานไหม้เกรียมจนหมดแล้ว ไห่โจ๋ซวนวิ่งไปที่ชั้นสองขณะที่หลบแผ่นไม้ที่หล่นลงมา
พนักงานดับเพลิงใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงดับไฟโดยตรงที่ชั้นหนึ่ง โดยทั่วไปไฟถูกควบคุมเอาไว้ได้แล้ว แต่บนชั้นสองมีไฟขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย
“เย่ชูฉิง ชูฉิงเธออยู่ที่นี่ไหม!” ไห่โจ๋ซวนตะโกนเสียงดังลั่นและหวังว่าจะมีคนตอบตนเอง “ช่วยพวกเราด้วย พวกเราอยู่บนชั้นสาม!” หลายคนที่ชั้นสามตะโกนไม่หยุด ที่ตีนบันไดถูกด้วยแผ่นไม้ที่ตกลงมาจากเพดานขวางไว้ คนบนชั้นสามลงมาไม่ได้และคนบนชั้นสองก็ขึ้นไปไม่ได้
“เห็นเด็กผู้หญิงที่สวมชุดกระโปรงสีขาวหรือเปล่า!” เขาตะโกนดังลั่นขึ้นไปชั้นบน ข้างบนมีเสียงดังอื้ออึงจนไม่ได้ยินเลยจริงๆ “พี่โจ๋ซวน” ประตูที่โถงทางเดินเปิดออก ใบหน้าที่ร้องไห้จนพร่าเลือนไปด้วยน้ำตาปรากฏขึ้น
ริมฝีปากของเธอขยับแล้วเป็นลมล้มลง “ชูฉิง!” ไห่โจ๋ซวนวิ่งเข้าไปอุ้มเธอขึ้นโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น ในที่เกิดเหตุ รถสิบกว่าคันต่างจอดเรียงแถว บุคลากรทางการแพทย์กลุ่มหนึ่งลงจากรถ แล้วกระจายตัวเข้าทำการช่วยเหลือทั่วทุกจุดอย่างรวดเร็ว
เย่เชินหลินสาวเท้ายาวๆพาหมอเดินไปหาเซี่ยชีหรั่น เธอโผเข้าสู่อ้อมกอดของเขาแล้วร้องไห้ : “ชูฉิงอยู่ข้างในค่ะ”
เย่เชินหลินตบหลังปลอบใจเธอแล้วมองไปที่กองเพลิงด้วยท่าทางที่ไม่อาจจะปิดบังความกังวลใจเอาไว้ได้อีก
“แม่ครับ” เย่เนี่ยนโม่วิ่งมาหาทั้งสองคนแล้วถามอย่างรีบเร่ง : “แม่ไม่เป็นไรนะครับ”
ยังไม่ทันที่จะเธอจะเอ่ยปากพูด ไห่โจ๋ซวนก็รีบอุ้มเย่ชูฉิงออกมา เซี่ยชีหรั่นผลักฝูงชนออกไปแล้วเข้าไปหาพวกเขาทั้งสอง
“หมอ!” เย่เชินหลินตะโกนเสียงดัง หมอที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีก้าวมาด้านหน้าทันทีแล้วรับคนจากมือของไห่โจ๋ซวน
มือของเย่ชูฉิงจับไห่โจ๋ซวนไว้แน่น หมอก็แยกไม่ออก ไห่โจ๋ซวนกัดฟันแล้วแกะมือที่เกาะกุมตัวเองเอาไว้ออกอย่างใจร้าย เมื่อกี้นี้เขายั้งสติไม่อยู่และจะต้องไม่เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
เซี่ยชีหรั่นปาดน้ำตาและขณะที่เดินอยู่ข้างๆเย่เชินหลินและกำลังจะรีบไปที่โรงพยาบาลได้หันหน้ากลับมาคล้ายกับนึกถึงเรื่องกังวลใจบางอย่างขึ้นมาได้ : “เด็กผู้หญิงที่ชื่อติงยียีคนนั้นก็เข้าไปช่วยชูฉิงด้วยไม่ใช่เหรอ? โจ๋ซวน คุณไม่เห็นเธอเหรอ?”
“ติงยียีอยู่ข้างในงั้นเหรอ?” เย่เนี่ยนโม่เสียงแหบแห้ง ที่ด้านหลังฝ้าเพดานถล่มลงมาจนเกิดเสียงดังลั่น ไห่โจ๋ซวนมองออกว่าเขาต้องการจะทำอะไรพร้อมกับดึงไหล่ของเขาแล้วพูดว่า “นายอย่าได้คิดที่จะเข้าไป!”
“เนี่ยนโม่!” อ้าวเสว่กรีดร้องอยู่ทางด้านหลังของเขา เธอกลัวมากและต้องการได้รับการปลอบโยน เมื่อไห่โจ๋ซวนเห็นเขาไม่พูดอะไรก็ดึงอ้าวเสว่มาแล้วพูดว่า : “นี่คือแฟนของนาย น้องสาวของนายก็อยู่บนรถ แล้วก็แม่ของนายด้วย เธอเป็นแค่เพื่อนของนายนะ!”
“ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ฉันก็ปล่อยให้เธอโดดเดี่ยวอยู่ข้างในไม่ได้!” เย่เนี่ยนโม่สาวเท้ายาวๆแล้ววิ่งเข้าไปในโถงนิทรรศการ อ้าวเสว่กรีดร้องอย่างเศร้าใจแล้วคว้าแขนของเขาเอาไว้พร้อมกับเอ่ยขอร้อง : “อย่าไปเลยนะคะ”
“ไปเถอะ” ทันใดนั้นเย่เชินหลินก็พูดขึ้นแล้วโอบเซี่ยชีหรั่นที่กำลังร้องไห้เอาไว้ นี่คือหนี้ที่ตระกูลเย่ติดค้างผู้อื่น ไม่ว่ายังไง เขาก็ควรจะไป
“แค่กๆๆ” ติงยียีหลบเลี่ยงควันที่พวยพุ่งขึ้นมาจากตีนบันได เธออยู่ที่ตำแหน่งตรงกลางของมุมสามเหลี่ยมระหว่างกำแพงสองด้าน ทางด้านหน้าถูกขวางด้วยเส้นเหล็กที่ร่วงลงมา
เสื้อผ้าแนบชิดกับผิวหนังและกำลังจะไหม้ เธออดกลั้นต่อความรู้สึกไม่สบายแล้วย่อตัวไปยังหน้าต่างที่อยู่ถัดไปและสูดอากาศที่ทะลุหน้าต่าง ท่ามกลางความรู้สึกอย่างเลือนรางว่ามีเงาของคนวิ่งขึ้นมา แต่เพราะควันหนาทึบอีกฝ่ายจึงมองไม่เห็นเธอแล้วรีบวิ่งไปที่ชั้นสาม
“ช่วยฉันด้วย” เธอตะโกนอย่างอ่อนแรงแล้วไม่นานก็สำลักอีก มองไม่เห็นเงาที่มุมห้องอีกแล้ว ด้านนอกหน้าต่างเป็นเสียงของนักดับเพลิง คนบนชั้นสามถูกรับขึ้นบันไดแบบเลื่อนได้และส่งไปยังสถานที่ปลอดภัย
“ตรงนี้ยังมีคนอยู่นะ!” ติงยียีส่งเสียงพึมพำขณะที่นอนขดตัวอยู่บนพื้นที่ร้อนระอุ
เย่เนี่ยนโม่วิ่งไปตลอดทางจนถึงชั้นสาม ในชั้นสามมีผู้คนอยู่เป็นจำนวนไม่มากนักประมาณสิบกว่าคนและกำลังจะออกไปภายใต้การแนะนำของพนักงานดับเพลิง
“เห็นติงยียีไหม?” เขารีบคว้าไหล่ของชายคนหนึ่งแล้วเอ่ยถาม
“ติงยียีคือใคร?” ชายหนุ่มปัดมือของเขาออกอย่างไม่เข้าใจและกลัวว่าเย่เนี่ยนโม่จะทำใหการช่วยชีวิตของตนเองจะต้องล่าช้า ชั้นสามของโถงนิทรรศการเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่ เธอไม่อยู่ที่นี่ อย่างนั้นต้องอยู่ชั้นสองแน่ๆ!

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset