สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1427 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1327

เย่เนี่ยนโม่รีบวิ่งลงมาอีกครั้ง “เฮ้ คุณอย่าวิ่งเพ่นพ่าน!” พนักงานดับเพลิงคว้าไหล่ของเขา เย่เนี่ยนโม่หันหน้ามา ภายในดวงตาที่เย็นชา ความวิตกกังวลและยังมีความหนาวเย็นทำให้พนักงานดับเพลิงสะดุ้งตกใจและปล่อยมือโดยไม่รู้ตัว
ติงยียีที่นอนขดตัวอยู่บนพื้นมองดูร่างหนึ่งวิ่งลงมาที่ชั้นล่างอีกครั้ง ครั้งนี้เธอมองเห็นได้ชัดเจนแล้ว เป็นเย่เนี่ยนโม่! “เย่ชูฉิงอยู่ในห้องน้ำชั้นสอง!”
ติงยียีคิดว่าเขาจะต้องมาตามหาเย่ชูฉิงอย่างแน่นอน มองเห็นเขาควานหาอยู่ในซากปรักหักพังอยู่ลางๆ กระจกหลายแผ่นร่วงลงมา เธอเงยหน้าขึ้น มองเห็นว่าโคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ที่อยู่บนฝ้าเพดานไม่สามารถทนต่อการเผาไหม้ของผนังได้อีกต่อไป มันกำลังโงนเงน!
“ระวัง! ตูม!” กระจกกระแทกกับพื้นจนเกิดเสียงดังลั่น ติงยียีกระโจนใส่เขาในเสี้ยววินาทีสุดท้าย เย่เนี่ยนโม่ใช้หลังมือโอบติงยียี ทั้งสองคนกลิ้งไปด้านข้าง หัวของติงยียีใกล้จะชนกับราวบันไดที่ถูกเผาจนเป็นสีแดง
เย่เนี่ยนโม่ตื่นตกใจ เขาพลิกตัวเปลี่ยนตำแหน่งกับติงยียีแล้วกอดติงยียีไว้ในอ้อมแขนของเขา ส่วนแผ่นหลังประทับลงไปบนเสาที่ถูกไฟเผาจนเป็นสีสนิมเข้าไปตรงๆ
“อืม” เขาส่งเสียงคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ผ้าที่ไหม้ติดกับกล้ามเนื้อนำมาซึ่งความเจ็บปวดอย่างมาก ติงยียีไม่เห็นถึงความผิดปกติใดๆ รู้สึกเพียงแค่ตัวของเย่เนี่ยนโม่กระตุกอยู่ครู่หนึ่ง เธอเอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า : “นายบาดเจ็บหรือเปล่า?”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เย่เนี่ยนโม่จึงได้เอ่ยว่า : “ไม่เป็นไร แค่โดนกระแทก เธอยังมีแรงเดินออกไปหรือเปล่า?”
เธอส่ายหัว เธอสูดคาร์บอนมอนอกไซด์มากเกินไปจึงหมดแรงไปทั้งตัวและได้ใช้แรงทั้งหมดไปกับการโถมตัวเมื่อสักครู่นี้แล้ว
เย่เนี่ยนโม่ยืนขึ้น ร่างนั้นส่ายไปมา โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ที่ตกลงมาได้ปกคลุมกองไฟตรงกลางห้องเอาไว้ ทั้งสองคนใช้โอกาสนี้ย้ายไปที่หน้าต่าง หน้าต่างก็ร้อนอบอ้าวเช่นกันและมีควันหนาทึบลอยออกมาไม่หยุด
“เฮ้! ยังมีคนอยู่ที่ชั้นสอง!” เย่เนี่ยนโม่ตะโกนเสียงดังไปที่หน้าต่าง เขาได้ยินเสียงที่โกลาหลวุ่นวายที่ชั้นล่าง แต่ไม่ได้ยินใครตอบกลับมา
ที่ลานกว้าง เซี่ยชีหรั่นมองดูคนถูกรับตัวลงมาทีละคน แต่หลังจากรออยู่นานก็ยังไม่เห็นร่างของเย่เนี่ยนโม่
“ข้างในมีคนโดนเหล็กเส้นกระแทกจนตาย” ข้างๆตัวมีคนพากันพูดไม่หยุด ใบหน้าของเซี่ยชีหรั่นขาวซีด เย่เชินหลินก็ไม่ได้ดีเท่าไร่ เธอมองดูนาฬิกาอย่างหงุดหงิด ใบหน้าขาวซีดของอ้าวเสว่ยังคงสั่นเทาไม่หยุด
“ตูมๆๆ!” เสียงแตกร้าวดังลั่นอีกครั้งและครั้งนี้ได้ปิดกั้นทางเข้าเอาไว้ทั้งหมด พนักงานดับเพลิงทั้งหมดต่างถอยออกมา “ผู้จัดงานบอกว่าด้านในยังมีดอกไม้ไฟและประทัดจำนวนหนึ่งรอใช้ในงานฉลองตอนเย็น เมื่อกี้นี้จะต้องเป็นของพวกนี้ที่ระเบิดแน่ๆ ตอนนี้เข้าไปไม่ได้แล้ว” พนักงานดับเพลิงกล่าว
ทันทีที่เสียงจบลง ไม่ไกลนักมีรถทหารเจ็ดถึงแปดคันขับเข้ามา ทหารสิบสามนายลงจากรถแล้ววิ่งเหยาะๆไปหาเย่เชินหลินพร้อมกล่าวว่า : “ประธานเย่ครับ ได้รับการชี้แจงถึงสถานการณ์ข้างต้นแล้ว”
“เร็วเข้า!” เย่เชินหลินสั่งเสียงเข้ม ทีมทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเคลื่อนตัวลงมา เตรียมอุปกรณ์ครบมือและเริ่มขยับเข้าใกล้ห้องโถงนิทรรศการอย่างเป็นระเบียบ
ที่ชั้นสอง “ฉันรู้สึกอึดอัดมากเลย ฉันฝืนต่อไปไม่ไหวแล้ว” ติงยียีบ่นพึมพำแล้วหลับตาลงช้าๆ เย่เนี่ยนโม่รีบตบที่แก้มของเธอเบาๆ : “ตื่นสิตื่น อดทนอีกหน่อย”
“อืม” เธอตอบเบาๆและยังคงไม่ลืมตา เธอสัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้นบนริมฝีปากที่แห้งผากของเธอ เธอลืมตาขึ้นมาทันที
เย่เนี่ยนโม่นึกว่าเธอหมดสติไปแล้ว จึงจับกรามของเธอแล้วบังคับให้เธออ้าปากแล้วให้อากาศผ่านเข้าไปในปากของเธอ ติงยียีกระพริบตา ในไม่ช้าก็เข้าใจถึงความตั้งใจของเขา เธอพยายามผลักเขาออกไปแต่มือกลับอ่อนแรง
เมื่อสังเกตได้ถึงการขัดขืนที่อ่อนแรง เย่เนี่ยนโม่คิดว่าการเป่าปากช่วยหายใจนี้ได้ผลจึงทำต่อไป และรู้เมื่อเห็นว่าติงยียีจ้องมองเขาด้วยลูกตาสีขาวและดำ
“เธอดีขึ้นแล้วใช่ไหม?” เย่เนี่ยนโม่พูดอย่างเป็นกังวล “ทำไมหน้าถึงแดงกว่าเมื่อกี้นี้ล่ะ?”
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว!” ติงยียีเบือนหน้าหนี จูบเมื่อกี้นี้ทำให้สติของเธอฟื้นคืนมาโดยสมบูรณ์ เย่เนี่ยนโม่สังเกตดูสถานการณ์โดยรอบแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า : “ไม่ได้การแล้ว พวกเราต้องเอาตัวรอด ด้านนอกมีต้นไม้อยู่ ระยะห่างจากชั้นสองถึงพื้นดินไม่สูงมากนัก พวกเราสามารถใช้ต้นไทรด้านนอกเป็นตัวกันกระแทกได้”
“แล้วถ้ากระโจนไปไม่ถึงต้นไม้ล่ะ?” ติงยียีถามเสียงสั่นเครือ เมื่อเย่เนี่ยนโม่เห็นเธอเป็นเช่นนี้ถึงนึกขึ้นได้ว่าเหมือนว่าเธอเคยบอกว่ากลัวความสูงตอนที่ชิงช้าสวรรค์ในสวนสนุก
ที่หัวของติงยียีสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน เมื่อแหงนหน้าขึ้นก็ตกลงสู่ความอ่อนโยนในดวงตาและรอยยิ้มของเขา เขาพูดว่า : “เชื่อฉันเถอะ”
เย่เนี่ยนโม่หยิบเก้าอี้ขึ้นมาทุบกระจก จนกระจกแตกกระจายรอบด้าน เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนขอบหน้าต่าง พลางสังเกตระยะห่างของต้นไม้และหน้าต่างที่ตนเองอยู่ พลางเหยียดมืออีกข้างไปทางติงยียีแล้วพูดว่า : “จับไว้นะ ฉันจะกระโดดแล้ว”
ไม่มีเสียงตอบรับ เขาหันหน้ากลับมา ติงยียีย่อตัวลงแล้วก้มหน้าตัวสั่นห่างจากเขาสองสามก้าว เย่เนี่ยนโม่ถอนหายใจแล้วกลับมาหาเธออีกรอบ เขาย่อตัวลงแล้วพูดเบาๆว่า : “ไม่ได้กล้าหาญมาตลอดงั้นเหรอ? กล้าอีกครั้งเถอะนะ”
ติงยียีส่ายหัว จะให้เธอกระโดดลงไปล่ะก็เธอยอมถูกเผาเป็นเถ้าถ่านอยู่ที่นี่ดีกว่า ขณะที่กำลังคิดฟุ้งซ่าน มือของเธอก็ถูกยกขึ้นแล้วมีเสื้อผ้าพันรอบ
เย่เนี่ยนโม่ผูกปลายข้างหนึ่งเอาไว้ที่มือของเธออย่างระมัดระวังแล้วผูกปลายข้างหนึ่งไว้แน่นที่มือของเขาแล้วแกล้งพูดอย่างผ่อนคลายว่า : “ตอนนี้ชีวิตของฉันผูกติดอยู่กับเธอ เธอไม่ต้องกลัวที่จะต้องกระโดดลงไปแล้วนะ”
น้ำตาหยดใหญ่ร่วงลงมาจากเบ้าตาของติงยียีกระทบลงบนหลังมือของเย่เนี่ยนโม่ ร่างที่โงนเงนเริ่มลุกขึ้น ทั้งสองคนมาถึงหน้าต่าง
“กอดฉันไว้” เย่เนี่ยนโม่รวบตัวเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขาแน่น เพื่อไม่ให้เธอเห็นภาพด้านนอกแล้วกระซิบว่า : “สู้ๆนะติงยียี!”
“มีคนกระโดดลงมา!” ไม่รู้ว่าใครตะโกนเช่นนี้ ทุกคนต่างมองไปทางต้นเสียง ที่หน้าต่างชั้นสองของห้องโถงนิทรรศการมีร่างของคนสองคนพุ่งไปบนต้นไม้ต้นอย่างรวดไปเร็ว กิ่งไม้ที่รับน้ำหนักไม่ไหวได้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมาดังสนั่น
“เนี่ยนโม่!” เซี่ยชีหรั่นและกลุ่มคนรีบเดินเข้าไปหา บนพื้นหญ้า ติงยียีนอนคว่ำอยู่บนตัวของเย่เนี่ยนโม่ มือทั้งสองข้างจับหลังของเขาไว้แน่น
หลังที่ถูกลวกและบวกกับแรงกระแทกที่ปะทะกับต้นไม้เมื่อกี้นี้ เมื่อถูกเธอกอดไว้แน่นขนาดนี้ เย่เนี่ยนโม่เจ็บปวดจนแทบจะเป็นลม
เมื่อรู้สึกได้ถึงสองมือที่สั่นเทาของติงยียี ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงร่องรอยของความสงบ ข้างหูได้ยินเสียงเรียกตนเองอย่างเลือนลาง เขานอนหงายเผชิญหน้ากับแสงอาทิตย์พอดี ไม่มีเมฆเลย ดวงตาของเขาค่อย ๆ เคลื่อนไปอย่างเลื่อนลอยและเขามองเห็นเพียงร่างที่เคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้าเขาอย่างเลือนราง ทันใดนั้นเย่เนี่ยนโม่ก็ยิ้มแล้วพูดเบาๆว่า :
“ติงยียี พวกเราทำสำเร็จแล้ว”
“ไฟไหม้ที่เกิดขึ้นที่โชว์รูมหนึ่งชายฝั่งตะวันตก ในครั้งนี้ ขณะนี้มีพนักงานเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1รายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 5 ราย จากการสอบสวนเบื้องต้นสาเหตุมาจากการลุกไหม้ของโบรชัวร์ในชั้นใต้ดิน โดยสาเหตุที่แท้จริงทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงติดตามและทำการสอบสวนอยู่”
ติงยียีนั่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลและดูรายงานข่าวล่าสุด รีโมทคอนโทรลในมือถูกหยิบออกไป ติงต้าเฉินปิดทีวีแล้วหยิบแอปเปิ้ลที่หั่นแล้วยื่นให้เธอ : “ลูกเอ๋ย ครั้งนี้ลูกทำให้พ่อตกใจกลัวแทบตายจริงๆนะ ตั้งใจเรียนเถอะนะ คราวหน้าอย่างไปยุ่งที่ไหนอีก”
“พ่อคะ เนี่ยนโม่เป็นยังไงบ้าง?” ติงยียีถามขณะที่แทะแอปเปิ้ล ตัวเธอสูดออกซิเจนก็ไม่มีปัญหาแล้ว แต่เมื่อสอบถามบุคลากรทางการแพทย์หลายคนแล้วล้วนแต่ไม่มีใครรู้ถึงอาการของเย่เนี่ยนโม่
ติงต้าเฉินถอนหายใจและพูดว่า : “ได้ยินว่าถูกไฟไหม้นะ”
แอปเปิ้ลในมือของติงยียีร่วงลงพื้น เธอรีบลงจากเตียงแล้วพูดว่า : “ทำไมถึงถูกไฟไหม้ล่ะ ไม่ได้ล่ะหนูจะต้องไปหาเขา!”
ติงต้าเฉินรีบดึงเธอเอาไว้แล้วเอ่ยโน้มน้าวว่า : “ตอนนี้ลูกก็เข้าไปไม่ได้ เขาอยู่ในห้องปลอดเชื้อ ได้ยินว่าตระกูลเย่กำลังเตรียมตัวบินตรงที่ลอส แองเจลิสเพื่อรับการรักษา”
ติงยียีกลับไปนั่งลงบนเตียงอย่างว่างเปล่า ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้งและถามอย่างตื่นตระหนก : โอ้พระเจ้า แล้วชูฉิงล่ะ! ชูฉิงอยู่ในห้องน้ำชั้นสอง ได้รับการช่วยเหลือออกมาไหมคะ?”
“พี่ยียี” เย่ชูฉิงยืนอยู่นอกประตูมาโดยตลอดและลังเลว่าจะเข้าไปดีไหม เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงอดไม่ได้จะพูดออกไป ติงต้าเฉินหยิบแอปเปิ้ลที่อยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วโยนลงไปในถังขยะ แล้วหยิบแอปเปิ้ลอีกสองลูกจากตระกร้าแล้วพูดว่า : “ฉันจะไปล้างแอปเปิ้ลอีกสองลูก พวกเธอคุยกันนะ”
ประตูปิดลง เย่ชูฉิงอยากจะถามว่าอาการของเธอเป็นอย่างไรบ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี นึกถึงเรื่องแย่ๆที่ตนเองได้ทำกับเธอก่อนหน้านี้ ในใจยิ่งรู้สึกผิดมาก แต่กลับเป็นติงยียีที่เอ่ยปากก่อน : “เป็นยังไงบ้าง? เท้าของเธอดีขึ้นแล้วใช่ไหม?”
เย่ชูฉิงรีบพยักหน้าแล้วโน้มตัวลงพร้อมกับพับขากางเกงขึ้นและเอ่ยว่า : “ไม่เป็นไรแล้ว แค่ข้อเท้าแพลงเท่านั้นค่ะ”
บรรยากาศรอบๆตัวของทั้งสองคนนั้นอึดอัดใจอยู่ชั่วครู่ เย่ชูฉิงนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งทันใดนั้นก็พูดว่า : “ก่อนหน้านี้ฉันโกรธเพราะเธอบอกพ่อกับแม่ของฉันว่าฉันไปที่ไหน อันที่จริงถ้าหากว่าเธอไม่ชอบให้ฉันอยู่ที่บ้านของเธอ ฉันไปก็ได้นะ”
“ฉันไล่เธอตอนไหนกัน” ติงยียีเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อเลย เธอเคาะหัวเด็กผู้หญิงคนนี้จริงๆเพื่อดูว่าก้นสมองบรรจุแต่เต้าหู้หรือเปล่า
“แต่ว่าพี่ชาย” เย่ชูฉิงได้ยินเธอพูดเช่นนี้ก็ยิ่งสับสนมากขึ้น พี่ชายไม่โกหกตัวเองหรอก เมื่อได้ยินถึงเขา ติงยียีรีบถามว่า : “พาฉันไปเจอพี่ชายเธอได้หรือเปล่า?”
เย่ชูฉิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย : “อนุญาตให้เข้าไปได้สามคนเท่านั้น ตอนนี้มีพี่อ้าวเสว่และพ่อกับแม่ของฉันอยู่ข้างใน แต่เธอสามารถมองจากข้างนอกได้นะคะ”
ติงยียีพยักหน้าอย่างรวดเร็ว มองจากข้างนอกได้ก็ดีเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่สามารถหลับได้อย่างสงบ เมื่อเธอเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย เธอถึงได้พบว่าไฟไหม้ครั้งนี้ดูเหมือนจะร้ายแรงกว่าที่เธอคิด ในโถงทางเดินมีคนที่ได้รับการรักษาบาดแผลเรียบร้อยแล้วกำลังนั่งหลับตาฟื้นฟูจิตใจ
ภายในห้องปลอดเชื้อ เย่เนี่ยนโม่นอนคว่ำอยู่ และยังคงสามารถยิ้มเพื่อปลอบใจอ้าวเสว่ที่กำลังน้ำตาไหลไม่หยุดอยู่ข้าง ๆ : “ฉันไม่เป็นไรแล้ว เธอไม่ต้องห่วงนะ”
“ฉันติดต่อโรงพยาบาลที่ลอส แองเจลิสไว้เรียบร้อยแล้ว อีกเดี๋ยวก็ไปได้แล้ว” เย่เชินหลินกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“พ่อครับ ผมไม่ได้เป็นหนักขนาดนั้น แค่โดนไฟลวกสองแผ่นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นผมไม่อยากละทิ้งโปรเจกต์ที่กำลังพูดคุยกันอยู่ด้วย” เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วและพูดในสิ่งที่เขาคิด แล้วคิดว่าจะต้องใช้น้ำลายมากมายขนาดไหนเพื่อพูดโน้มน้าวเขา คิดไม่ถึงเลยว่าเย่เชินหลินจะครุ่นคิดเพียงชั่วครู่แล้วตอบตกลง
อ้าวเสว่มองดูแผลที่น่าสยดสยองทั้งสองแผ่นบนหลังของเขาที่ถูกราวบันไดลวก เธอตำหนิตัวเองอยู่ในใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเธอและจางถัง ตอนนี้เขาก็ไม่ต้องประสบกับเคราะห์ร้ายแบบนี้

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset