สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1428 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1328

เซี่ยชีหรั่นมองดูอ้าวเสว่ที่ที่มีท่าทางตื่นตะลึงแล้วคิดว่าเธอกังวลใจเรื่องเย่เนี่ยนโม่มากเกินไป เธอตบไหล่แล้วพูดว่า : “หนูออกไปสูดอากาศข้างนอกเถอะจ้ะ พวกเราอยู่ที่นี่เอง”
เธอพยักหน้าเบาๆและเปิดประตูออกไปอย่างเชื่อฟังแล้วได้เผชิญหน้าเข้ากับติงยียีที่ยืนอยู่ด้านนอก ติงยียีเองก็มองออกว่าอ้าวเสว่หนักอกหนักใจอย่างมาก เธอยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น
ขณะที่อ้าวเสว่เดินอย่างไร้จุดหมายอยู่ในโรงพยาบาล จนกระทั่งถูกคนกลุ่มหนึ่งขวางทางเอาไว้ ตรงหน้ามีผู้หญิงท้องโตคนหนึ่งโอบกอดคนที่ถูกห่อด้วยผ้าขาววางอยู่บนเปลหามแล้วร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง และมีเด็กชายที่ดูเหมือนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยยืนอยู่ข้างๆ “บาปกรรมจริงๆเลย ภรรยากำลังจะคลอดอยู่แล้ว และได้ยินว่ากำลังจะได้เลื่อนตำแหน่ง นึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาตายในกองเพลิงแบบนี้”
“โอ้ แล้วครอบครัวจะอยู่ต่อไปยังไง เด็กๆยังต้องไปโรงเรียนนะ!”
อ้าวเสว่ผงะเมื่อได้ยินเสียงคนที่นั่งอยู่ข้างๆตนเองพูดคุยกระซับซาบกัน ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามระเบิดขึ้นด้านหน้า : “ไม่ คุณเอาเขาไปไม่ได้นะ เขายังไม่ตาย เขาจะตายได้ยังไง!”
เธอจ้องไปที่ผู้หญิงที่กอดเปลหามเอาไว้อย่างว่างเปล่าไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ไปและเป็นไปหลายครั้ง
เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์บังคับดึงมือของหญิงสาวออกแล้วยกเปลเดินผ่านอ้าวเสว่ไป
อ้าวเสว่ก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของชายที่นอนอยู่บนเปลหามถูกผ้าขาวคลุมไว้ เนื่องจากรัดแน่นเกินไป ใบหน้าถูกบีบออกมา จนสามารถมองเห็นรูปร่างของมนุษย์ได้อย่างชัดเจน
“อ๊ะ!” เธอกรีดร้องเสียงแหบแห้ง เธอหันหน้าไปแล้วนั่งยองๆลงบนพื้นอย่างสั่นเทา ไหล่เธอถูกตบ เธอกระเด้งตัวขึ้นมาแล้วใช้กระเป๋าตีไปข้างหน้าอย่างตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก : “ฉันไม่ได้ทำร้ายคุณ อย่าเข้ามาใกล้ฉัน”
“เธอเป็นอะไรไป!” เหยนหมิงเย้าขมวดคิ้วแล้วจับมือของเธอที่โบกไปมาในอากาศ เขาไม่เคยเห็นเธอตื่นตระหนกขนาดนี้มาก่อน
อ้าวเสว่ปิดบังด้วยการรวบผมที่กระจัดกระจายตรงด้านหน้าไหล่ไปไว้ด้านหลัง จากนั้นก็ขยับตัวไปด้านหน้าอย่างประหม่า ราวกับว่ามันจะสามารถปกปิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเธอได้
“เปล่า ฉันไม่เป็นไร ฉันไปก่อนล่ะ” เธอขยับที่มุมปากเบาๆ จากนั้นเดินไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
ในตอนกลางคืน ชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าที่มองไม่เห็นถูกห่อด้วยถุงสีขาวและยืนอยู่บนกำแพง
ถุงสีขาวนั้นถูกมัดเพียงเชือกเส้นบาง ๆ ในไม่ช้าเชือกบาง ๆ ก็ไม่สามารถรองรับไว้ได้ มันค่อยๆคลายออก ถุงสีขาวค่อยๆเลื่อนตกลงไปไม่กี่เซนติเมตร แล้วเส้นผมสีดำโผล่ออกมา ตามมาด้วยกลิ่นเนื้อที่ไหม้เกรียมของมนุษย์จางๆ
“อ๊ะ!” อ้าวเสว่กรีดร้องแล้วสะดุ้งตื่น เธอตื่นกลัวแล้วเปิดไฟ หน้าต่างมืดสนิท ราวกับว่ามีใครบางคนแอบดูที่หน้าต่าง
เธอตัวสั่นในผ้าห่มขณะที่ห่อตัวแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายอย่างสั่นเทา
“ว่าไง” เสียงผู้หญิงในโทรศัพท์ตื่นขึ้นอย่างเกียจคร้าน “แม่คะ ฉันเกิดเรื่องแล้ว ช่วยฉันด้วย” อ้าวเสว่พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
ในบาร์ อ้าวเสว่ดื่มวิสกี้แก้วใหญ่หลายแก้วติดต่อกันโดยไม่เติมน้ำแข็ง สองมือสั่นเทาอย่างมากจนจับแก้วไม่ไหว ซือซือฟังอย่างสงบจนจบแล้วพูดว่า : “ยังไม่มีใครที่รู้เรื่องนี้บ้าง?”
เธอส่ายหัวอย่างว่างเปล่า ซือซือมองมาที่เธอ ในใจคิดคำนวณทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าตนเองเลี้ยงดูเธอ ถ้าหากเธอติดคุก นั่นจะต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบประวัติ ถึงเวลานั้นจะไม่สามารถรักษาทุกอย่างเอาไว้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นเธอเป็นอาวุธของตนเองในการจัดการกับตระกูลเย่ ไม่ว่ายังไงก็ต้องเก็บรักษาเธอเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังไงเธอกับนับว่าเป็นลูกสาวของตนเอง
“เดี๋ยวฉันจะจัดการให้ เธอหลบไปที่ต่างประเทศโดยเร็วที่สุดก็แล้วกันเพราะเท่าที่เธอเป็นอยู่ในตอนนี้ ไม่ต้องให้ตำรวจมาที่หน้าประตูเท้าของเธอก็โผล่ออกไปแล้ว” ซือซือเอ่ย
“ไม่ ฉันไม่ไป ฉันแยกจากเนี่ยนโม่ไปไม่ได้! ปึง!” อ้าวเสว่ปิดใบหน้าของตนเองแล้วพูด ซือซือเอามือลงแล้วพูดเสียงเข้มว่า : “ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา ช่วงนี้เธอก็ไปคิดหาวิธีที่จะทำให้เย่เนี่ยนโม่พึ่งพาเธอมากขึ้นก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นว่ายังมีท่าทางที่ไม่ยอมฝืนใจแล้ว ซือซือก็ถอนหายใจแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า : “รู้หรือเปล่า เซี่ยชีหรั่นแยกจากเย่เชินหลินไปสองปีนะ แต่หลังจากที่ทั้งสองคนกลับมาพบกันความรู้สึกก็ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น เขาจะไม่ลืมการจากไปของเธอ แต่ตรงกันข้ามจะเจ็บปวดเพราะเธอจากไป หลบภัยไปก่อน หลังจากนั้นสองสามปีแล้วค่อยกลับมา”
ข่าวการระเบิดของนิทรรศการเมืองตงเจียง กลายเป็นข่าวพาดหัวของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับอยู่หลายวัน ไม่เพียงแค่เป็นเพราะการปรากฏตัวของเซี่ยชีหรั่นนักออกแบบเครื่องประดับชื่อดังในที่เกิดเหตุ แต่ยังเป็นเป็นนโยบายการประชาสัมพันธ์ของตระกูลเย่ที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและเฉียบขาดด้วย
ตระกูลเย่ได้รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดสำหรับการได้รับบาดเจ็บในที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งทุกคนสามารถได้รับเงินหนึ่งหมื่นหยวนสำหรับค่าเสียหายทางจิตใจ สื่อต่างพากันชื่นชมวิธีการของบริษัทเย่ชื่อไม่หยุด เพราะถ้าพูดกันจากมุมมองที่เข้มงวดแล้ว ความรับผิดชอบสำหรับอุบัติเหตุครั้งนี้จะตกอยู่ที่ผู้จัดงานทั้งหมด ผู้จัดงานไม่พียงแค่ที่จะต้องรับผิดชอบทั้งหมดเท่านั้น ยังจำเป็นต้องจ่ายชดเชยความเสียหายที่เซี่ยชีหรั่นได้รับในครั้งนี้ด้วย
เย่เนี่ยนโม่ปิดทีวี รอยยิ้มเกิดขึ้นมุมปากของเขาเมื่อเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งที่ด้านนอกของห้องผู้ป่วยแวบผ่านไป เขากวักมือเรียกนางพยาบาลแล้วพูดว่า : “รบกวนช่วยบอกผู้หญิงที่เดินอยู่ข้างนอกว่าผมอยากกินเสี่ยวเฉ่า (อาหารประเภทผัด) ของ โรงอาหารมหาวิทยาลัยZ หน่อยครับ”
นางพยาบาลพยักหน้าแล้วเดินออกไป หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงประตูก็เปิดออก ติงยียีเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าที่เต็มไปด้วยกล่องอาหาร เธอเปิดกล่องอาหารจานด่วนเงียบๆแล้ววางลงบนโต๊ะ
เย่เนี่ยนโม่มองไปที่เนื้อผัดพริกหยวกในกล่อง มีพริกหยวกไม่กี่อัน แต่เนื้อเกือบจะเต็มกล่องข้าวอยู่แล้ว เขาพูดกับเธออย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า : “คุณป้าที่โรงอาหารเปลี่ยนเป็นใจกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ฉันพูดกับเธอว่าถ้าไม่ให้เนื้อเยอะๆ ฉันจะไปนั่งยองๆแล้วจ้องมองเหมือนจะตะครุบลูกชายของเธอที่หน้าโรงเรียนทุกวันเลย” ติงยียีรู้สึกละอายใจเล็กน้อยเมื่อคิดถึงคุณป้าที่โรงอาหารโกรธจนไขมันกระเพื่อม
“ฮ่าๆๆ” ตลกจริงๆเลย เย่เนี่ยนโม่หัวเราะ แรงดึงทำให้เจ็บที่ปากแผลจนต้องสูดหายใจ เธอรีบก้าวไปด้านหน้าเพื่อกดกริ่งเรียกนางพยาบาล แต่เย่เนี่ยนโม่คว้าข้อมือเธอไว้
“ไม่เป็นไรหรอก แค่เจ็บนิดหน่อยเท่านั้นเอง เย่เนี่ยนโม่เปลี่ยนเป็นท่าทางที่สบายๆแล้วพูด ประตูถูกผลักออก เย่ชูหวินสาวเท้ายาวๆเข้ามาแล้วคว้าติงยียีเข้าไปไว้ในอ้อมกอดทันที
“ฉันแทบจะบ้าเลยนะเธอรู้ไหม?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ถ้าไม่ใช้เพราะว่าเจอกับชูฉิงเข้า ตอนนี้เขาคงยังไล่หาไปทีละห้อง
“ขอโทษทีค่ะ” ติงยียีพลิกมือโอบเย่ชูหวินเอาไว้ สีหน้าของเย่เนี่ยนโม่เปลี่ยนไปอย่างมาก มองเห็นเธอกอดกับเย่ชูหวินแล้ว ภายในใจรู้สึกเจ็บแปลบอย่างไม่สามารถอธิบายได้
เย่ชูหวินเองก็รู้สึกแปลกใจกับปฏิกิริยาตอบสนองที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาของเธอเช่นกัน ในใจราวกับว่าได้กินน้ำผึ้ง เขาอ้อมผ่านศรีษะของเธอไปที่ข้างเตียงแล้วพูดว่า : “ไม่เป็นไรนะ”
“ไม่เป็นไร” เย่เนี่ยนโม่ยิ้ม เขาเอ่ยต่อไปว่า : “ขอบคุณนายมากนะที่ช่วยเธอไว้”
เย่เนี่ยนโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นพูดด้วยสถานะไร? แต่ว่าดูเหมือนว่าเธอก็คงจะมีใจให้กับเย่ชูหวินด้วยสินะ
“เจ็บแผลอีกแล้วเหรอ?” ติงยียีเห็นเขาขมวดคิ้วจึงรีบเดินเข้ามาตรวจดูอาการบาดเจ็บของเย่เนี่ยนโม่ ความกังวลที่อยู่ในดวงตาไม่สามารถหลอกใครได้เลย
เย่ชูหวินมองไปยังมือของเธอที่สัมผัสไหล่เปลือยเปล่าของเย่เนี่ยนโม่อย่างมีความนัยลึกซึ้งจนไม่สามารถอธิบายได้ ดวงตาของเขาเป็นประกายวาบแล้วเอ่ยว่า : “อาหารเย็นหมดแล้ว”
พอเขาพูดเช่นนี้ ติงยียีก็รีบจัดการกับอาหาร เมื่อมองเห็นความอ่อนโยนที่เปล่งประกายในดวงตาเย่เนี่ยนโม่แล้ว เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อยและคิดว่า “ดูเหมือนว่าเนี่ยนโม่จะใส่ใจยียีมากเกินไปหรือเปล่า?”
ติงยียีหยิบอาหารออกมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าวที่อยู่บนเตียงคนไข้ เย่เนี่ยนโม่ยกมือขึ้น การเคลื่อนไหวของแขนได้ดึงบาดแผลที่อยู่ด้านหลัง “ฟึ่บ” จนตะเกียบหล่นลงบนโต๊ะ
“อ้าวเสว่ไม่อยู่เหรอ?” ติงยียีถาม ถ้าเธออยู่ที่นี่ก็ดีเลยจะได้ช่วยป้อนอาหารให้เขา
เย่เนี่ยนโม่ส่ายหัวแล้วพูดว่า : “สองวันมานี้แม่ของฉันนอนฝันร้าย ฉันเลยให้เธอไปอยู่เพื่อนแม่”
ติงยียีหยิบตะเกียบขึ้นมาใหม่ พร้อมกับคีบเนื้อผัดพริกหยวกแล้วพูดว่า : “ถ้าอย่างนั้นฉันจะฝืนใจป้อนนายสักครั้งแล้วกัน”
เย่เนี่ยนโม่ตกตะลึงแล้วอ้าปากภายใต้การกระตุ้นจากสายตาของเธอ ทันใดนั้นเย่ชูหวินที่อยู่ถัดไปได้พูดว่า : “ได้ยินว่าซ่งเมิ่นเจ๋เพื่อนสนิทของเธอก็ได้รับบาดเจ็บด้วยนี่นา”
“ป๊อก!” ตะเกียบหล่นลงไปในกล่องอาหารทั้งหมด เย่เนี่ยนโม่มองดูเนื้อที่ใกล้จะถึงปากด้วยสีหน้าหดหู่ ท้องไส้ของเขาปั่นป่วน
“เธอเป็นยังไงบ้าง อยู่ที่โรงพยาบาลไหน” ติงยียีรีบถาม เย่ชูหวินพูดเสียงแผ่วเบาว่า “พ่อแม่มารับกลับบ้านไปแล้ว”
“ฉันจะไปหาเธอ” ติงยียีออกจากประตูไปอย่างรีบร้อน เย่ชูหวินเดินไปข้างๆเย่เนี่ยนโม่แล้วคีบพริกหยวกผัดพริกขึ้นมา ทั้งสองต่างฝ่ายต่างมองตากันเพราะไม่รู้จะทำยังไง เย่เนี่ยนโม่กล่าวว่า “ฉันควรเอาชนะตัวเองดีกว่า”
เขาพยักหน้าแล้วรีบวางตะเกียบลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่เย่เนี่ยนโม่กินอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเย่ชูหวินก็พูดขึ้นมาว่า “ฉันชอบติงยียี”
เย่เนี่ยนไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหว เขายังกินต่อไป หลังจากที่ท้องไม่ได้รู้สึกหิวมากขนาดนั้นแล้วหลังจากนั้นจึงหยุดตะเกียบลงแล้วเอ่ยว่า : “พี่ชาย นายต้องพูดเรื่องนี้กับติงยียี”
เย่ชูหวินเลิกคิ้วแล้วไม่พูดอะไร ติงยียีเพิ่งจะวิ่งออกมาจากโรงพยาบาล ติงต้าเฉินก็โทรเข้ามาแล้วบอกว่าเธอต้องรีบไปทำธุระ ไม่มีคนดูแลแพนด้าจึงเอาสุนัขวางไว้ใต้ต้นสนฉัตรเก่าแก่หน้าโรงพยาบาลแล้วถามว่าเธอเห็นหรือเปล่า
ใต้ต้นสนฉัตร เมื่อแพนด้ามองเห็นติงยียีก็แลบลิ้นออกมาอย่างมีความสุข อาการบาดเจ็บที่เท้าหายดีแล้ว มีเพียงหูที่ยังพันผ้าพันแผลอยู่เนื่องจากการติดเชื้อเท่านั้น
เธอทนไม่ได้ที่จะมัดแพนด้าไว้ตลอดเวลา ติงยียีพาแพนด้าไปที่บ้านตระกูลส้ง เมื่อคนและสุนัขไปถึงบ้านตระกูลส้ง ติงยียีกดกริ่งที่ประตูอย่างรุนแรง เซียวเสี่ยวลี่เปิดประตูพอเห็นเธอแล้วพูดด้วยอารมณ์ไม่ดีว่า : “ทำอะไร!”
“ซ่งเมิ่นเจ๋อยู่หรือเปล่า? ฉันอยากเห็นว่าเธอเป็นยังไงบ้าง?” ติงยียีเอ่ยถามที่ประตู เซียวเสี่ยวลี่ปิดประตูประตูอย่างหมดความอดทนพร้อมกับตะโกนไปด้วยว่า : “ไม่รู้ เธอไม่อยู่”
เมื่อเห็นว่าประตูกำลังจะปิด ติงยียีก็เหยียดเท้าเข้าไปที่ช่องของประตู แพนด้าแยกเขี้ยวเห่าใส่เซียวเสี่ยวลี่ เธอสะดุ้งตกใจกลัวจนปล่อยมือ ติงยียีฉวยโอกาสนี้แอบลอบเข้าไป
“เมิ่นเจ๋!” เธอตะโกนเสียงดังแล้ววิ่งเข้าไปในห้องของซ่งเมิ่นเจ๋ ห้องของเธอว่างเปล่า “ฉันบอกแล้วไงว่าเธอไม่อยู่” เซียวเสี่ยวลี่ยืนอยู่ไกลออกไปจากแพนด้า แล้วพูดอย่างสั่นเทา “พ่อของเธอพาเธอไปงานเลี้ยงแล้ว”
“เธอได้รับบาดเจ็บแล้วทำไมถึงพาเธอไปงานเลี้ยงล่ะ? ติงยียีพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ ดูเหมือนว่าแพนด้ารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเธอ จึงเห่าเสียงทุ้มต่ำใส่เซียวเสี่ยวลี่ขึ้นมาอีกครั้ง เซียวเสี่ยวลี่รีบพูดถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงออกมา
ภายในโรงแรมดวงดาว ในห้องส่วนตัวที่หรูหรามีบรรยากาศครื้นเครง ส้งซูหาวและผู้ชายคนอื่นๆอีกหลายคนดื่มเหล้าไปแล้วหลายขวด ใบหน้าแดงก่ำ
“เมิ่นเจ๋เอ๋ย ผู้อำนวยการจาง เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านอุตสาหกรรมการลงทุนเลยนะ อายุแค่สี่สิบก็ประสบความสำเร็จในอาชีพการงานแล้ว ฮ่าๆ แล้วผู้อำนวยการจาง ยังโสดด้วยนะ” ส้งซูหาวพูดพร้อมกับยิ้มแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วหันไปทางชายหนุ่มที่มีพุง

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset