สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน – ตอนที่ 1433 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1333

“เย่เนี่ยนโม่ ฉันคือติงยียี!” ติงยียีทั้งโมโหทั้งร้อนใจ เย่เนี่ยนโม่ปวดศีรษะ เอ่ยซ้ำอีกรอบ “ติงยียี?”
เธอรีบผงกศีรษะ เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ฉันคือเพื่อนของนาย ติงยียี”
“เพื่อน? ไม่ผิด เป็นแค่เพื่อนกัน!” เย่เนี่ยนโม่เอามือก่ายหน้าผากที่ปวด พลางส่งเสียงครางออกมาเบาๆ และเขยิบเข้าใกล้ติงยียีอย่างเชื่องช้า เมื่อเข้าใกล้อีกนิด ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนก็เหลือเพียงแค่นิ้วมือเดียวจนสามารถได้ยินเสียงลมหายใจถี่กระชั้นของทั้งสองคนได้อย่างชัดเจน
ติงยียีหลับตาลงอย่างหมดอาลัยตายอยาก ผ่านไปครู่หนึ่งก็รู้สึกหนักที่ไหล่ ศีรษะของเย่เนี่ยนโม่ซบลงบนไหล่ของเธอหรือ กำลังหลับสบาย เธอถอนหายใจ รีบเช็ดตัวให้แห้งและประคองเย่เนี่ยนโม่ที่มีอาการเมามายกลับไปที่เตียงอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้น เย่เนี่ยนโม่กุมศีรษะลุกขึ้นนั่ง รู้สึกไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก เมื่อเลิกผ้าห่มออก ทั้งเตียงก็เปียกชุ่มไปด้านหนึ่ง ผ้าเช็ดตัวที่พันส่วนล่างของตัวเองและอยู่ภายใต้ผ้าห่มตลอดทั้งคืนยิ่งชุ่มน้ำยิ่งกว่า
เย่เนี่ยนโม่ยิ้มเยาะตัวเองที่หลายวันมานี้อยู่ในสภาพกึ่งเมากึ่งมีสติตลอดเวลา และลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า นอกห้องมีเสียงสิ่งของตกลงบนพื้นดังขึ้น
หรือว่าจะเป็นขโมย? เย่เนี่ยนโม่หยิบไม้เบสบอลหน้าประตูขึ้นมา ค่อยๆย่องไปเปิดประตู ประตูเพิ่งจะเปิดออกมาให้มีรอยแยกเล็กน้อย เบื้องหน้าเขาก็ดำมืด เงาร่างสีดำกระโจนเข้ามาหาเขา
เย่เนี่ยนโม่ถอยไปหลายก้าวอย่างไม่ทันได้ป้องกันตัวและล้มลงบนเตียงอีกครั้ง ที่แท้ก็เป็นสุนัขสีดำตัวหนึ่ง! แพนด้าหมอบอยู่บนแผงอกเขาร้องเห่าเสียงดัง เมื่อเย่เนี่ยนโม่คิดจะลุกขึ้น มันก็แยกเขี้ยวยิงฟันมองมาที่เขา
“โครม!” เสียงดังชัดลอยมาจากห้องรับแขกด้านนอก แพนด้ารีบวิ่งไปทางห้องรับแขก วิ่งไปได้ครึ่งทางก็หันศีรษะกลับมาจ้องเย่เนี่ยนโม่ คล้ายกับส่งสัญญาณให้ฝ่ายตรงข้ามตามไปด้วย
เมื่อเย่เนี่ยนโม่มาถึงห้องรับแขกก็เห็นติงยียีที่ล้มกองอยู่บนพื้น เสื้อยืดสีขาวที่คลุมต้นขาได้หมดก็เลิกขึ้นมาจนเห็นขาอ่อน
ในยามเช้าตรู่ เย่เนี่ยนโม่รู้สึกถึงปฏิกิริยาตอบสนองส่วนล่างของตัวเองได้อย่างชัดเจน จึงแอบลอบมองฝ่ายตรงข้ามแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเธอคล้ายกับว่าไม่มีวี่แววจะฟื้นขึ้นมาก็รีบกลับไปที่ห้อง จัดการเรื่องราวที่ทำให้ผู้คนรู้สึกกระอักกระอ่วนแล้ว เย่เนี่ยนโม่ก็นำผ้าฝ้ายฤดูร้อนเดินกลับมาที่ห้องรับแขก
“เฮ้ ติงยียี” เย่เนี่ยนโม่ตบแก้มเธอเบาๆ หลังจากได้เห็นใบหน้าแดงก่ำผิดปกติของเธอแล้วก็ตื่นตระหนกที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังมีไข้
“รอสักครู่ ฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาล” เย่เนี่ยนโม่อุ้มติงยียีขึ้นมา ผ้าห่มก็ลื่นหลุดลงไปเผยให้เห็นขาเรียวยาวของเธอ
เย่เนี่ยนโม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวางเธอลงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เบอร์โทรศัพท์ล่าสุดในโทรศัพท์มือถือที่ได้รับการรับสายยังคงกระพริบวูบวาบอยู่ คนที่เขาตามหาอย่างบ้าคลั่งมาหลายวันแต่กลับหาไม่พบ
เขาโยนโทรศัพท์มือถือทิ้งบนโซฟา ขยี้ผมแล้วเดินไปห้องน้ำเพื่อนำผ้าขนหนูเปียกมาให้ติงยียี
ผ้าขนหนูเปียกชื้นกระทบเข้ากับศีรษะจนเกิดเสียงดัง “แป๊ะ” เธอขมวดคิ้วส่งเสียงครางออกมา
แพนด้าที่อยู่อีกด้านแยกเขี้ยวยิงฟันมองเย่เนี่ยนโม่ เย่เนี่ยนโม่หยิบผ้าขนหนูเปียกขึ้นมาบิดจนแห้งแล้วค่อยวางลงบนหน้าผากเธอ
ติงยียีที่สติเลือนรางเพราะพิษไข้รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกบนหน้าผาก ก็ผล็อยหลับไป
ติงยียีไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไร เมื่อได้กลิ่นโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าลอยมาอย่างรางๆ ท้องก็ร้องจ๊อกๆ
เธอพยายามลืมตา สูดจมูกที่หายใจไม่ค่อยสะดวก กลางดึกมีไข้ทำให้ร่างกายของเธออ่อนแรง เธอมองแผ่นหลังเย่เนี่ยนโม่ที่กำลังยุ่งอยู่ในห้องครัวอยู่ครู่หนึ่งถึงนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน
เมื่อคว้าโทรศัพท์มือถือได้ โทรศัพท์มือถือก็ถูกข้อความและสายเรียกเข้าเบียดแน่นขนัดเต็มไปหมด ไม่เพียงแค่สายโทรศัพท์จากคุณพ่อที่ไม่ได้รับ ยังมีเย่ชูหวินด้วย
“ตื่นแล้วก็ทานโจ๊กเถอะ” เย่เนี่ยนโม่ประคองชามโจ๊กมาวางบนโต๊ะชามหนึ่ง เห็นท่าทางเร่งรีบในการกดข้อความบนโทรศัพท์มือถือแล้วก็อย่างเข้าใจว่า “ฉันใช้โทรศัพท์มือถือโทรหาคุณลุงแล้ว”
“ที่แท้ก็บอกแล้วนี่เอง” ติงยียีหยิบช้อนขึ้นมาคนโจ๊กพลางถามว่า “นอกจากคุณพ่อของฉัน นายยังบอกใครอีกไหมว่าฉันอยู่ที่นี่?”
“เย่ชูหวิน?” เขาเอ่ยอย่างตรงประเด็น ติงยียีผงกศีรษะ เอ่ยถามด้วยความวิตกกังวลเล็กน้อยว่า “นายบอกเขาหรือไม่”
“บอกแล้ว ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้” เย่เนี่ยนโม่ลุกขึ้นยืน หยิบขวดเบียร์ออกมาจากตู้เย็นแล้วดื่มต่อ ติงยียียื่นมือออกไปอย่างต้องการแย่งขวดเบียร์มา “ไม่ต้องดื่มแล้ว”
เย่เนี่ยนโม่โยกมือหลบการยื้อแย่งของเธอ พริบตาเดียวเบียร์ขวดหนึ่งก็ลงไปอยู่ในท้อง เขาจึงตัดสินใจหงายหลังนอนลงกับพื้น
“อ้าวเสว่จะต้องมีความกังวลใจอะไรอย่างแน่นอน” ติงยียีกุมหน้าผากที่ปวดจนศีรษะจะแตกเป็นเสี่ยงๆ พลางเอ่ย
เย่เนี่ยนโม่ควานหยิบไวน์องุ่นที่อยู่ด้านข้างมาอีกขวดหนึ่ง หลังจากดื่มเข้าไปอึกใหญ่ก็เอ่ยว่า “อย่าเอ่ยถึงชื่อเธอกับฉัน”
“อ้าวเสว่รักนายมากจริงๆ เพล้ง!” เย่เนี่ยนโม่ขว้างขวดแก้วเข้ากับกำแพง สีแดงคล้ำของไวน์องุ่นเปรอะเปื้อนบนกำแพง เขาจ้องติงยียีอย่างดุร้าย “ฉันบอกว่าอย่าเอ่ยถึงเธอ”
“ปังๆ!” ด้านนอกประตูมีเสียงเคาะประตูของเย่ชูหวินลอยเข้ามา “ยียี เธออยู่ข้างในหรือเปล่า”
เย่เนี่ยนโม่ยิ้ม พลางควานหยิบไวน์ขวดใหม่ ติงยียีลุกขึ้นยืน คิดจะหยุดเขา ขาก็อ่อนแรงกระแทกเข้ากับโต๊ะวางน้ำชาก่อให้เกิดเสียงดังสนั่น
“ยียี!” ในเวลาเดียวกันนั้นประตูถูกกระแทกให้เปิดออก เย่ชูหวินเห็นติงยียีหมดสติอยู่บนพื้นก็รีบวิ่งเข้าไป อุ้มคนเอาไว้ในอ้อมแขน ความร้อนที่แผ่ออกมาจากในอ้อมแขนทำให้เขาตกตะลึง จ้องมองไปที่เย่เนี่ยนโม่ด้วยโทสะแล้วลุกขึ้นยืนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เย่เนี่ยนโม่ที่มือค้างอยู่ในท่าทางอยากจะประคองติงยียี เมื่อได้ยินเสียงประตูลิฟต์โดยสารเปิดและปิดแล้วก็ปล่อยมือลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
ในตอนนี้เองที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เย่เนี่ยนโม่มองสายโทรศัพท์เข้าที่แสดงบนหน้าจอ สุดท้ายก็กดรับสาย
“อยู่ที่ไหน รู้ไหมว่าแม่ของลูกเป็นห่วงลูกมากแค่ไหน” เสียงเย่เชินหลินเย็นชาเสมอต้นเสมอปลาย เย่เนี่ยนโม่เอ่ยเรียบๆว่า “ไม่มีอะไรครับ บอกกับคุณแม่ว่าอีกไม่กี่วันผมจะกลับไป”
เย่เชินหลินที่ด้านหนึ่งก็ไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของลูกชาย อีกด้านก็รู้สึกสงสารลูกชายตัวเอง เขารู้สึกมาตั้งแต่เนิ่นๆแล้วว่าอ้าวเสว่ เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิดขนาดนั้น เขากลับปล่อยให้คนคนนั้นอยู่ข้างกายลูกชายตัวเอง เมื่อคิดถึงจุดนี้แล้ว เขาก็เอ่ยเสียงเข้มว่า “ด่านเข้าออกประเทศระบุว่าเธอไปประเทศอังกฤษ ลูกตัดสินใจเองแล้วกัน”
เย่เนี่ยนโม่วางโทรศัพท์ลง แรกเริ่มสุดเขาคิดอยากจะหาเธอให้พบจริงๆ เพื่อสอบถามว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ที่ไม่สามารถบอกเขาได้แต่เลือกที่จะหนีไปคนเดียว
เมามายไปสามวัน ครุ่นคิดไปสามคืน แต่กลับไม่ได้ผลลัพธ์อะไร เย่เนี่ยนโม่หยิบเบียร์ที่อยู่ข้างมือมากรอกเข้าปากต่อไป
ภายในโรงพยาบาล ติงยียีกำลังให้น้ำเกลือ พยาบาลที่อยู่ด้านข้างก็กำลังตำหนิเย่ชูหวิน “แฟนของตัวเองก็ไม่เอาใจใส่สักหน่อย ไข้ขึ้นตั้ง 38 องศาถึงได้พามาส่ง”
เย่ชูหวินไม่ได้แก้ตัว รับคำเอาไว้ รอจนพยาบาลเดินออกไปแล้วก็มองมาที่เธอด้วยแววตาสุกสว่าง ติงยียีถูกมองจนทำอะไรไม่ถูก เห็นอยู่ชัดๆว่าไข้ลดลงไปแล้วแต่กลับรู้สึกว่าใบหน้ายังคงเห่อร้อนอยู่
“ขอโทษนะ” ติงยียีก้มศีรษะยอมรับผิดอย่างว่าง่าย เดิมนึกว่าเย่ชูหวินจะโกรธ แต่คิดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่วางกระเป๋าน้ำแข็งที่อยู่ในมือลงบนหน้าผากเธอ พลางเอ่ยเสียงนุ่มว่า “พักรักษาตัวให้หายป่วยอย่างสบายใจเถอะ”
ติงยียีสัมผัสความรู้สึกของเขาไม่ได้ ตอนที่เห็นเขาจะจากไปก็รีบดึงแขนของเย่ชูหวินเอาไว้ อ้ำๆอึ้งๆว่า “พวกโจ๋ซวนล้วนหาเย่เนี่ยนโม่ไม่พบ ดังนั้นฉันจึงไปช่วยเกลี้ยกล่อม!”
เย่ชูหวินมองออกถึงความไม่สบายใจของเธอก็ลูบไปที่ผมของติงยียี เมื่อคืนเธอกับเย่เนี่ยนโม่ทำอะไร ทำไมเธอถึงรู้ว่าเย่เนี่ยนโม่อยู่ที่นั่น คำถามพวกนี้ล้วนไม่ได้ถามออกมาสักคำถาม
เย่ชูหวินอยู่เป็นเพื่อนติงยียีตลอดจนกระทั่งติงต้าเฉินมาถึงโรงพยาบาล ติงยียีรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยจึงให้เขากลับไปก่อน
เย่ชูหวินทักทายติงต้าเฉินนิ่งๆ หลังจากจูบหน้าผากติงยียีด้วยสายตาจริงจังแล้วก็จากไป
“ลูกสาว นี่พวกลูกเป็น?” ติงต้าเฉินเห็นเด็กหนุ่มท่าทางหล่อเหลาจากไปแล้วก็รีบเอ่ยถาม
ติงยียีใบหน้าแดงระเรื่อ ไม่ได้แก้ตัว จู่ๆก็นึกถึงเรื่องอะไรขึ้นมาได้จึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความให้กับเย่ชูหวิน “วันนี้นายจะมาอีกไหม”
ข้อความเพิ่งจะถูกส่งออกไป ในไม่ช้าก็ได้รับการตอบกลับ “อืม!”
ติงยียีอ่านบทสนทนาของทั้งสองคนอีกรอบ พลางกลิ้งตัวไปมาบนเตียง และฟาดไปโดนขวดน้ำเกลือจนทำให้ติงต้าเฉินและพยาบาลพากันร้อนใจ
กลางดึก ติงยียีดูโทรทัศน์อยู่ในห้องพักผู้ป่วยพลางลูบผมตัวเองอย่างลวกๆ สวรรค์ ทำไมถึงได้มันอะไรอย่างนี้!
เมื่อคิดได้ว่าอีกครู่หนึ่งเย่ชูหวินจะมาเยี่ยมตัวเองที่โรงพยาบาล เธอก็รีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำ ภายในห้องน้ำมีเพียงแค่สบู่ ติงยียีจุ่มทั้งศีรษะลงไปในอ่างล้างมือ หยิบสบู่มาใช้แทนยาสระผม พยาบาลที่เข้ามาวัดอุณหภูมิถูกการกระทำที่เปิดกว้างของเธอทำให้ตกใจ เอ่ยงึมงำว่า “ช่างมีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับวิธีการสระผมเสียจริง”
ตอนนี้เองที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ติงยียีคลำหาโทรศัพท์แล้วกดรับสาย เป็นเย่ชูฉิง เสียงของเย่ชูฉิงร้อนรนเป็นอย่างมาก “พี่ยียี พี่ชายหนูกลับบ้านแล้ว”
“อ่อ อย่างนั้นหรือ ดูท่าว่าเขาจะปลงตกแล้ว” ติงยียีถูสบู่บนศีรษะของตัวเองไปพลาง เอ่ยไปพลาง หลังจากนั้นก็ถูกประโยคหนึ่งของเย่ชูฉิงทำให้ตกใจ “แต่ว่าพี่ชายหนูพาผู้หญิงกลับบ้านมาด้วยคนหนึ่ง!”
ติงยียีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอีกรอบเพื่อยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิดไป เย่ชูฉิงที่อยู่ในสายโทรศัพท์เอ่ยขอร้อง “พี่ยียี พี่กับพี่อ้าวเสว่อยู่ชั้นเรียนเดียวกัน ค่อนข้างสนิทสนมกับพี่ชาย พี่จะมาเกลี้ยกล่อมเขาหน่อยได้ไหมคะ”
ติงยียีรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากช่วยเธอ เพียงแต่ว่าเมื่อคิดถึงเย่ชูหวินแล้วก็รู้สึกสับสนอยู่บ้าง “อยากไปไหม” เย่ชูหวินที่ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวที่หน้าประตูเมื่อใดโอบไหล่เธอเอาไว้แล้วมองมา
“ชูหวิน!” ติงยียีที่ทั้งศีรษะเต็มไปด้วยฟองสบู่มองเขาด้วยความกระอักกระอ่วน ห้านาทีหลังจากนั้น เธอก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญ เมื่อครู่เธอที่อยู่ในสภาพแปลกประหลาดจะต้องถูกมองเห็นหมดแล้วแน่ๆเลย
“อยากไปไหม” เย่ชูหวินเอ่ยถามอีกครั้ง เมื่อครู่ตอนติงยียีรับโทรศัพท์ได้เปิดลำโพง เขาล้วนได้ยินทั้งหมดแล้ว ด้วยความรู้สึกที่เข้าใจยากในจิตใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีเจตนาไม่ดีบังคับให้ติงยียีทำการตัดสินใจ
“เมื่อครู่นี้ชูฉิงขอร้องฉัน ฟังจากน้ำเสียงแล้วเธอกังวลใจมาก”
“อยากไปไหม”
“ถ้าหากว่าอ้าวเสว่ยังอยู่ล่ะก็ จะต้องไม่อยากเห็นเย่เนี่ยนโม่หมดสภาพแบบนี้แน่นอน”
“ที่ฉันถามก็คือเธออยากไปไหม”
เย่ชูหวินหยุดคำพูดของเธอเอาไว้ น้ำเสียงเรียบนิ่ง ติงยียีมองเขาแล้วผงกศีรษะ พลางเอ่ยว่า “บางทีฉันอาจจะเห็นว่าเขาเป็นเพื่อนแล้วจริงๆ”
เย่ชูหวินผงกศีรษะ ส่งเสื้อคลุมให้กับเธอ และเอ่ยว่า “ไปเถอะ ฉันจะไปส่งเธอ”
รถยนต์มุ่งหน้าไปยังตระกูลเย่ด้วยความเร็วสูง ติงยียีลงจากรถแล้วก็ถามว่า “ไปด้วยกันไหม”

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน

สาวใช้ส่วนตัวจะทำอะไร? เมื่อกินข้าวต้องมาเสิร์ฟ เมื่ออาบน้ำต้องมาเสิร์ฟ และเมื่อนอนยังต้องมาเสิร์ฟหรอ?เธอไม่อยากทำ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากครอบครอง เขาจะเอาทั้งหมด ไม่ว่าร่างกายหรือจิตใจ เขาจะเอามันทั้งหมด

Comment

Options

not work with dark mode
Reset